ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 482 นาง… นาง… หนีไปแล้ว!
บทที่ 482 นาง… นาง… หนีไปแล้ว!
สิ่งที่ทำให้ผู่ตานและเล่อเหอประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ พี่สาวศพไม่ได้แบนเหมือนเดิมแล้ว แม้ว่าไม่อาจเห็นได้อย่างชัดเจนนัก
อาจเป็นไปได้ว่าชาสมุนไพรวิญญาณและสมุนไพรปีศาจสามารถช่วยให้นาง ‘พองตัว’ ได้หรือ?
“ตอนนี้ท่านสามารถตอบคำถามของข้าได้แล้วใช่หรือไม่?”
พี่สาวศพแบนดูเหมือนจะพอใจกับการเปลี่ยนแปลงของตัวเองมาก นางจึงตอบว่า “แน่นอนว่ามีคนอื่น ๆ ด้วย พวกเขาจะถูกโยนเข้าไปในชั้นต่าง ๆ แบบสุ่ม ส่วนคนที่ถูกจัดให้อยู่เหนือชั้นร้อยหรือต่ำกว่าชั้นสิบ ตอนนี้คงกลายเป็น…”
พูดถึงตรงนี้ พี่สาวศพแบนรีบปิดปากของตัวเอง แล้วมองซ้ายมองขวา
“โอ๊ะ! ข้าพูดมากไปแล้ว…”
ผู่ตานและเล่อเหอเข้าใจแล้ว คนแรกหน้าดำทะมึนพลางหยิบอาหารปีศาจออกมามากมาย
ครั้งนี้ไม่เพียงแต่มีชาสมุนไพรปีศาจเท่านั้น ยังมีเนื้อสัตว์อสูรย่าง ขนมสมุนไพรปีศาจ ซาลาเปาและอื่น ๆ อีกด้วย
นอกจากจะดำและมีหน้าตาไม่ค่อยดีแล้ว แต่กลิ่นยังหอมมากจริง ๆ!
แม้ว่าพี่สาวศพจะยังคงรังเกียจ แต่การกระทำของนางกลับไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย นางเก็บทุกอย่างไปจนหมด เหลือไว้เพียงห่อเนื้อสัตว์อสูรสีดำเท่านั้น
“เมื่อเห็นว่าพวกเจ้ามีความจริงใจเช่นนี้ ข้าจะยอมให้พวกเจ้าถามสักสิบ… ไม่สิ สักแปดคำถามแล้วกัน” พี่สาวศพกล่าว
นางอ้าปากที่ว่างเปล่า ไร้ฟันไร้ลิ้น แล้วกัดห่อเนื้ออสูรคำหนึ่ง
ไม่ถูกต้องสิ เมื่อครู่พวกเขาเห็นนางแลบลิ้นเลียสุราวิเศษและชานมสมุนไพรปีศาจอยู่แท้ ๆ แล้วทำไมตอนนี้ลิ้นถึงหายไปเล่า?
พี่สาวศพที่ไร้ฟันไร้ลิ้นเคี้ยวห่อเนื้อต่อหน้าทั้งสอง ยิ่งเคี้ยวดวงตายิ่งเปล่งประกาย จนกระทั่งนางกินเนื้อห่อใหญ่เท่าฝ่ามือจนหมด และเริ่ม ‘เติมลม’ ให้ร่างกายอีกครั้ง ผู่ตานและเล่อเหอจึงได้สติกลับมา
“ต้องกินอาหารร่างกายถึงจะฟื้นฟูได้เร็ว ถ้าวัตถุดิบที่ใช้ทำมีคุณภาพสูงกว่านี้ ผลลัพธ์คงจะดีกว่า” พี่สาวศพแลบลิ้นสีแดงเข้มเกือบดำเลียมุมปาก พลางรำพึง
“หากพวกเจ้าคิดไม่ออกว่าจะถามอะไร ข้าจะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องระวังในวิหารเชิญเซียน…”
“ทางออกอยู่ที่ไหน?” ผู่ตานรีบถามอย่างร้อนรนก่อนที่พี่สาวศพจะพูดจบ
“ทางออก?!” พี่สาวศพทำเหมือนได้ยินเรื่องตลกอะไรสักอย่าง นางหัวเราะอย่างสุดเสียงจนใบหน้าแตกออก
“ดูข้าสิ เผลอหัวเราะดีใจเกินไปจนทำให้พวกเจ้าตกใจใช่หรือไม่?” พี่สาวศพแบนรีบซ่อมแซมใบหน้าที่แยกออกของตัวเอง แต่ยิ่งซ่อมก็ยิ่งน่ากลัว
จนพวกเขาไม่สามารถมองใบหน้านั้นได้อีกต่อไป…
ผู่ตานและเล่อเหอกลืนน้ำลายเงียบ ๆ แล้วถอยหลังพร้อมกันด้วยความตกใจ
มันช่างน่าสยดสยองเหลือเกิน!
“เข้ามาในวิหารเชิญเซียนแล้วยังคิดจะออกไปอีกหรือ?”
พี่สาวศพแบนยอมแพ้ที่จะซ่อมแซมใบหน้าของตัวเอง กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “คนใหม่ที่เข้ามาที่นี่ จะต้องกลายเป็นแบบพวกเรา หรือไม่ก็กลายเป็นอาหารของพลังแห่งความตาย แน่นอนว่ายังมีอีกทางเลือกหนึ่ง นั่นคือการกลายเป็นเครื่องมือสังหารที่ไร้ความคิดและจิตวิญญาณ”
“ไม่มีใครสามารถออกไปจากที่นี่ได้หรอก”
นางกล่าวย้ำอีกประโยคหนึ่ง
“สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำตอนนี้คือรับใช้ผู้คนที่นี่ให้ดี… พยายามให้แขกผู้ทรงพลังสนใจพวกเจ้า เพื่อแลกกับการคุ้มครองจากพวกเขา พวกเจ้าจึงจะมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น”
ช่างเป็นข้อเสนอที่ยากจะยอมรับเหลือเกิน!
“ที่นี่อันตรายมากหรือ? ถึงต้องแสวงหาที่พักพิงจึงจะอยู่รอดได้?”
“อันตรายหรือ? เมื่อวิหารเชิญเซียนฟื้นคืนสู่สภาพเดิมอย่างสมบูรณ์ ที่นี่จะกลายเป็นนรก! ไม่สิ เป็นสนามรบที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่านรกเสียอีก!”
สนามรบ…
ผู่ตานและเล่อเหอรู้สึกหวั่นใจขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ พวกเขาถึงกับเห็นความหวาดกลัวในดวงตาของพี่สาวศพตรงหน้าด้วย
“ถือโอกาสตอนนี้ ใช้อาหารในมือของพวกเจ้าติดสินบนเอาใจคนแข็งแกร่งเสียเถิด…”
พี่สาวศพแบนพูดพลางแกล้งจัดผมหน้าม้าของตัวเอง แถมยังทำท่าทาง ‘ยั่วยวน’ อีกด้วย
นางเป็นหนึ่งในสิบยอดฝีมือที่อยู่ต่ำกว่าชั้นสิบ ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในชั้นหก นางสามารถปกป้องสองคนตรงหน้านี้ได้แน่นอน แม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วคราว แต่อย่างน้อยก็ทำให้พวกเขามีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น
“ท่านไม่ได้บอกหรือว่า พวกเราไม่สามารถเข้าไปต่ำกว่าชั้นสิบและสูงกว่าชั้นร้อยได้? แล้วทำไมก่อนหน้านี้ถึงให้ข้าไปหาท่านที่ชั้นหก…”
“ข้าได้ทำเครื่องหมายไว้บนตัวเจ้าแล้ว เจ้าสามารถเข้าออกชั้นหกได้อย่างอิสระ” พี่สาวศพแบนส่งสายตายั่วยวนไปทางผู่ตาน ทำให้เขาตัวสั่นไปทั้งร่าง
พี่สาวศพแบนคงไม่ได้สนใจเขาและต้องการให้เขา ‘เสียสละ’ กระมัง?
“คำพูดของท่านเป็นความจริงหรือ?”
หากสิ่งที่พี่สาวศพแบนพูดเป็นความจริง ตอนนี้การมีชีวิตรอดสำคัญที่สุด ขอเพียงมีชีวิตรอดเท่านั้นจึงจะมีโอกาสหาทางออกและออกไปจากที่นี่ได้
แม้ว่า… แทบไม่มีโอกาสเลย แต่อย่างน้อยฝ่ายของพวกเขามีสองตัวแปรสำคัญ นั่นคือหลิงเยว่และโม่จวินเจ๋อ!
ไม่รู้ว่าทำไมเล่อเหอถึงมีความรู้สึกว่าทั้งสองคนจะต้องพาพวกเขาออกไปได้แน่นอน แต่ก่อนอื่นพวกเขาต้องมีชีวิตรอดก่อน
“แน่นอน ข้าไม่เคยโกหก ข้าเป็นคนที่มีชื่อเสียงในวิหารเชิญเซียนว่าเป็นคนสวย ใจดีและแข็งแกร่ง”
ผู่ตานและเล่อเหอ “…”
คนสวยหรือ?
นางรู้ความหมายของคำที่นางพูดใช่หรือไม่?
หรือว่าที่นี่ถือว่าความน่าเกลียดคือความงาม ยิ่งน่าเกลียดยิ่งมีพลังมาก?!
คราวนี้เล่อเหอตัดสินใจมอบของสะสมสองในสามของตนออกไป อาหารวิญญาณจำนวนมากมายถูกนำออกมา กลิ่นหอมแทบจะทำให้พี่สาวศพแตกสลาย
พี่สาวศพกำลังจะแตกสลายจริง ๆ ปากของนางอ้ากว้างไปถึงท้ายทอย
เป็นการอ้าถึงท้ายทอยจริง ๆ! จนหัวใจดวงน้อยของผู่ตานแทบจะทนไม่ไหวแล้ว!
อาหารวิญญาณถูกพี่สาวศพเก็บไปอย่างรวดเร็ว นางยิ้มและพยักหน้าให้เล่อเหอ “ข้าจะปกป้องเจ้าอย่างเต็มที่!”
จากนั้นนางเหลือบมองไปทางผู่ตาน “แล้วเจ้าล่ะ? หากไม่ต้องการ ข้าจะพาคนไปแล้วนะ”
“ข้า… ข้า… แทบไม่เหลืออะไรแล้ว…”
แน่นอนว่าผู่ตานไม่อยากแยกจากเล่อเหอ ขณะที่เขากำลังจะหยิบอาหารวิญญาณออกมา จู่ ๆ ก็มีคนหนังกระดาษหน้าตาแปลกประหลาดปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า
มันมีดวงตาขนาดไม่เท่ากัน รอบดวงตาถูกล้อมด้วยสีดำ ใบหน้ามีรอยแยกมากมาย ไม่มีจมูก ส่วนปากถูกเย็บด้วยเส้นด้ายสีขาว ดูน่าขนลุกอย่างยิ่ง!
“มอบอาหารที่ทำจากเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์บนร่างเจ้าให้ข้า แล้วข้าจะปกป้องเจ้า”
มันรู้ได้อย่างไร?!
ในตอนนั้นผู่ตานกำลังจะหันไปมองขอความช่วยเหลือจากพี่สาวศพ แต่กลับพบว่านางและเล่อเหอหายไปแล้ว
หายไปแล้ว!
ทั้งสองทิ้งเขาไว้และหนีไปแล้ว!
“ข้า… ข้า… ข้า…”
ผู่ตานพูดติดอ่าง ชายผู้นี้ทำให้พี่สาวศพแบนหนีไปด้วยความกลัว หมายความว่าพลังของคนตรงหน้าต้องแข็งแกร่งกว่าแน่นอน แต่อีกฝ่ายจะไม่เอาของไปแล้วหนีจริง ๆ หรือ?
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เขารู้ได้อย่างไรว่าศิษย์น้องเป็นเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์?
“ข้าได้กลิ่นของเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ที่หลงเหลืออยู่บนอาหาร ช่างหอมหวานเหลือเกิน ในที่สุดนางก็มาถึงแล้ว…”
เมื่อพี่ชายศพปากเย็บพูด ท้องของเขาขยับเล็กน้อย ราวกับใช้ท้องเปล่งเสียง
“รีบเอามาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้น… พอวิหารทำลายเทพตื่นขึ้นเจ้าจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงวันแน่!”
ผู่ตานจะทำอย่างไรได้ นอกจากยอมจำนนต่ออำนาจชั่วร้าย เขารีบหยิบอาหารวิญญาณที่หลิงเยว่ทำด้วยตัวเองออกมา
แน่นอนว่าเขาอยากใช้ของที่นักปรุงยาคนอื่นทำมาหลอก แต่… ท่านผู้นี้สามารถดมกลิ่นของศิษย์น้องจากอาหารได้ จึงไม่มีทางหลอกได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังเรียกตัวเองว่าเทพ ตอนมีชีวิตอยู่คงเป็นเทพที่มีตำแหน่งแน่นอน คิดได้ดังนั้นผู่ตานก็ยิ่งไม่กล้า…
โอ๊ย! ชีวิตของเขาช่างน่าสงสารเหลือเกิน ทำไมบรรพจารย์ถึงไม่พาเขาไปด้วยเล่า!