ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 484 ความสงบก่อนพายุมา
บทที่ 484 ความสงบก่อนพายุมา
พลังแห่งความตายในวิหารกำลังรวมตัวกันที่ชั้นล่างสุด ทำให้พลังแห่งความตายในห้องของคนหนังกระดาษเบาบางลง
เพื่อหาสาเหตุ คนหนังกระดาษที่ตื่นขึ้นในวิหารทั้งหมดจึงมายืนอยู่หน้าระเบียง สายตาจับจ้องไปที่ตรงกลางชั้นล่างสุด
นั่นคือต้นตอที่ทำให้พลังแห่งความตายเบาบางลง
พี่ชายศพปากเย็บที่เมื่อครู่อยู่ชั้นบนสุดได้ส่งตัวเองมาที่ชั้นหนึ่งแล้ว ห่างจากชั้นล่างสุดตรงกลางเพียงไม่กี่ก้าว แต่ระยะทางเพียงไม่กี่ก้าวนี้กลับขวางกั้นทุกคนไว้ รวมถึงเขาเองก็ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อีก
ดวงตาขนาดไม่เท่ากันที่หม่นหมองของพี่ชายศพปากเย็บจ้องมองไปที่ชั้นล่างสุดตรงกลาง แววตาของเขาค่อย ๆ สว่างขึ้น สิ่งที่สามารถดูดซับพลังแห่งความตายมหาศาลเช่นนี้ได้ มีเพียงเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เขารอคอยมาตลอดหนึ่งแสนปีเท่านั้น…
ในบรรดาคนหนังกระดาษ มีเพียงสามคนที่รู้เรื่องเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ พี่ชายศพปากเย็บเป็นหนึ่งในนั้น ส่วนอีกสองคนกำลังยืนอยู่สองข้างของเขา
จะอธิบายลักษณะของสองคนนั้นอย่างไรดี… คนหนึ่งดูเหมือนลูกบอลที่ถูกอัดลมไว้แน่น มีแขนขาและหัว แต่ไม่มีอวัยวะอย่างปาก หู จมูก ตา แต่ถูกแทนที่ด้วยจุดดำเล็ก ๆ ดูไม่น่ากลัว ดูมีกลิ่นอายของความตลกขบขันอยู่บ้าง
แต่เมื่อพวกคนหนังกระดาษเห็นคนผู้นี้ ต่างรีบหลบสายตาอย่างรู้งาน ผู้ที่ช้าไปหน่อยก็ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ดวงตาถูกควักออกทั้งเป็น เหลือเพียงโพรงตาว่างเปล่า
คนหนังกระดาษที่ถูกควักตาร้องครวญครางพลางกอดลูกตาที่แตกเป็นผงของตัวเอง แล้วหนีไปอย่างทุลักทุเล
อีกคนหนึ่งดูเหมือนลำไม้ไผ่ ตั้งแต่คอลงไปเป็นขาทั้งหมด ส่วนหัวถูกตัดออกไปหนึ่งในสาม
เมื่อมองดูเช่นนี้ พี่ชายศพปากเย็บที่ยืนอยู่ตรงกลางพลันดูหล่อเหลาขึ้นมาทันที…
ผู่ตานนึกถึงคำพูดของพี่สาวศพแบนอีกครั้ง ว่าตั้งแต่ชั้นสิบลงไปและชั้นร้อยขึ้นไปนั้น ล้วนมีแต่สัตว์ประหลาดจิตใจชั่วร้ายอาศัยอยู่ สมกับคำกล่าวจริง ๆ… ไม่มีคนกระดาษรูปร่างปกติสักคนเดียว
โอ้! คนหนังกระดาษที่เขาพบครั้งแรกนั้นยังดูเป็นคนอยู่บ้าง เป็นเพราะเขายังไม่ถูกวิหารทรมานใช่หรือไม่?
ผู่ตานที่ถูกเรียกมายังชั้นหนึ่งยืนอยู่ที่มุม ขาทั้งสองอ่อนแรง สายตาจ้องแต่เท้าของตน กลัวว่าศพตัวกลมจะควักดวงตาอันงดงามของเขา
สามผู้ยิ่งใหญ่ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น คนอื่น ๆ ที่อยู่ชั้นหนึ่งต่างถอยหนีไปทันที แม้ว่าผู้อาศัยอยู่ในชั้นหนึ่งจะมีพลังมาก แต่ก็ยังมีช่องว่างอยู่บ้างเมื่อเทียบกับผู้ที่อาศัยอยู่ชั้นบนสุด
ศพตัวกลมชำเลืองมองผู่ตาน “เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?”
“ข้าน้อยจะรีบไปเดี๋ยวนี้ จะรีบไปเดี๋ยวนี้…” ผู่ตานที่ถูกเรียกชื่อตกใจจนหัวใจเต้นรัว คิดจะส่งตัวเองไปยังชั้นบนสุด แต่ผลคือ… ไม่สำเร็จ
“เขาเป็นบ่าวของข้า จงสุภาพหน่อย”
“นางอยู่ตรงนั้นใช่หรือไม่?” แม้จะเป็นคำถาม แต่แววตาของศพปากเย็บกลับดูมั่นใจยิ่งนัก
เมื่อถูกจ้องมองโดยสามยักษ์ใหญ่พร้อมกัน ผู่ตานจึงพยักหน้าอย่างยากลำบาก พวกเขาออกไปไม่ได้ ส่วนอีกฝ่ายก็รู้อยู่แล้ว จะทำอย่างไรได้ล่ะ?
หลังจากขายเพื่อนร่วมทีมไปแล้ว ผู่ตานก็ปลอบใจตัวเอง ทำให้รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
“เจ้ารู้จักเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์หรือ?”
ตั้งแต่ปรากฏตัวจนถึงตอนนี้ ศพไม้ไผ่ที่ไม่เคยพูดสักคำก็เอ่ยประโยคแรกออกมา เสียงแหลมจนแก้วหูของผู่ตานแทบแตก ไม่พูดก็แล้วไป พอพูดทีเกือบเอาชีวิตคนไปด้วยแล้ว!
“หากท่านหมายถึงผู้สืบทอดต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิต นาง… คือศิษย์น้องของข้าเอง”
เมื่อสบตากับดวงตาสองสีดำขาวของศพไม้ไผ่ ผู่ตานราวกับถูกสะกดจิต สองตาเหม่อลอยพูดความจริงออกมา
“นางมาจริง ๆ ด้วย!”
ศพตัวกลมรู้สึกว่าผู่ตานน่ามองขึ้นมาทันที ในเมื่อเป็นศิษย์พี่ของเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ เขาต้องสุภาพหน่อยแล้ว!
“นางสามารถต้านทานการปนเปื้อนของพลังแห่งความตายได้หรือ?”
“ข้าไม่ทราบ”
ศพปากเย็บส่ายหน้าเบา ๆ หากถูกมลทินแล้วก็คงต้องสังหารเสีย จะปล่อยให้นางตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้าวิหารไม่ได้เด็ดขาด!
สายตาของสามผู้ยิ่งใหญ่เปลี่ยนเป็นน่ากลัว
พอได้สติ ในสมองของผู่ตานก็มีแต่คำว่า ‘จบแล้ว’ ดังก้องไปมา แต่เดิมเขาคิดว่าสามท่านนี้อาจต้องการความช่วยเหลือจากศิษย์น้อง และน่าจะปกป้องนาง แต่ตอนนี้พวกเขากลับเต็มไปด้วยไอสังหารราวกับจะฉีกหลิงเยว่เป็นชิ้น ๆ เสียอย่างนั้น
โม่จวินเจ๋อที่ถูกพลังแห่งความตายปกคลุมรู้สึกถึงไปสังหาร จึงลืมตาขึ้นทันที ดวงตาถูกพลังแห่งความตายที่พลุ่งพล่านปกคลุมในพริบตา ไม่อาจมองเห็นสิ่งใดได้และยิ่งไม่อาจแยกแยะว่าไอสังหารมาจากทิศทางใด แม้อยากจะกำจัดภัยคุกคามก็ไร้หนทาง
“ไปกันเถอะ รอให้นางดูดซับพลังแห่งความตายในวิหารทั้งหมดก่อน นางก็จะปรากฏตัวเอง”
พี่ชายศพไม้ไผ่พูดจบก็หายวับไป ตามด้วยพี่ชายศพตัวกลม ส่วนพี่ชายศพปากเย็บหยุดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหิ้วผู่ตานจากไป ทำให้เขาไม่อาจไปชั้นหกเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกับบรรพจารย์เล่อเหอได้
พอสามผู้ยิ่งใหญ่หายไป ชาวเมืองชั้นแรกก็กลับมา พวกเขาพยายามมองว่ามีอะไรอยู่ตรงกลางชั้นล่างสุด แต่น่าเสียดายที่… เบื้องหน้ามีเพียงพลังแห่งความตายมากเกินไป
ดังนั้นพวกเขากำลังดูอะไรอยู่เมื่อครู่ และมีสิ่งใดที่ดึงดูดพลังแห่งความตายได้มากมายเช่นนั้น?
ไม่มีผู้ใดตอบคำถามของพวกเขา คนหนังกระดาษในวังหายตัวไปอีกครั้ง พวกเขาจำเป็นต้องเก็บสะสมพลังแห่งความตายให้เพียงพอก่อนที่มันจะหมดไป แล้วรอคอยการตื่นของวิหารเชิญเซียนและวิหารทำลายเทพอย่างเงียบ ๆ
อีกฉากหนึ่งของสงครามนรกกำลังจะเริ่มขึ้น…
หลังจากดูละครจบ พี่สาวศพแบนจึงเดินกลับห้อง โยนอดีตเจ้าอาวาสพุทธวิหารให้กับเล่อเหอที่ตามเข้ามา จากนั้นประตูใหญ่ก็ปิดลง โดยที่ทั้งสองคนถูกกักไว้นอกประตู
“แล้วพวกข้าจะทำอย่างไรเล่า?!”
เล่อเหอตะโกนใส่ประตูที่ปิดสนิท ของก็รับไปแล้ว ทำไมถึงไม่ให้เขาเข้าไปด้วยเล่า?!
“ตราบใดที่พวกเจ้าไม่ออกจากชั้นหกก็จะไม่มีอันตราย” พี่สาวศพแบนทิ้งคำพูดนี้ไว้แล้วเข้านอน ร่างแบนราบของนางแทบจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกับเตียง
นอกประตู อดีตเจ้าอาวาสและเล่อเหอจ้องตากันเลิ่กลั่ก ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
ตอนนี้พวกเขาเป็นผู้อยู่ชั้นต่ำสุดของวิหาร ผลลัพธ์ของการเดินไปมาอย่างไร้จุดหมายนั้นคาดเดาได้ไม่ยาก
“ตอนนี้พวกเราได้แต่รอความตายเท่านั้นหรือ?”
เล่อเหอพิงประตูพลางถอนหายใจ
“ข้าได้พบหลิงเยว่แล้ว เจ้าคิดว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่…”
เล่อเหอยังคงไม่ยอมละทิ้งความหวัง เมื่อนึกถึงว่าตนเองอาจต้องกลายเป็นคนหนังกระดาษในอนาคตก็ไม่อาจยอมรับได้ สู้ถูกจัดการไปเลยยังดีกว่า!
“ตัวแปรมาถึงแล้วหรือ?”
อดีตเจ้าอาวาสที่หลับตาอยู่พลันลืมตาขึ้น “ข้าเข้าใจแล้ว พวกเขากำลังรอนาง”
เพียงแค่นางตื่นขึ้น วิหารที่ยังคงหลับใหลนี้จะตื่นขึ้นพร้อมกัน เมื่อถึงตอนนั้น… จะเกิดอะไรขึ้น อดีตเจ้าอาวาสไม่กล้าคาดเดาอีกต่อไป
“ท่านหมายถึงพวกเขากำลังรอเสี่ยวเยว่หรือ? รอนางเพื่ออะไรเล่า? เพื่อฟื้นคืนชีพพวกเขางั้นหรือ?”
เล่อเหอรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้แน่นอน อีกอย่างตอนนี้หลิงเยว่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แล้วจะฟื้นคืนชีพคนมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร?
ไม่สิ… นางสามารถฟื้นคืนชีพคนได้จริงหรือ?
ถ้าอย่างนั้นนางสามารถคืนชีพให้ชิงยวนได้หรือไม่?
อดีตเจ้าอาวาสไม่ได้ตอบ แต่หลับตาลงอีกครั้ง ทั้งวิหารจมดิ่งสู่ความเงียบสงัด
นี่คือความสงบก่อนพายุจะมาเยือนอย่างนั้นหรือ?
เล่อเหอหมดอารมณ์ที่จะพูดคุย เขาจึงทิ้งตัวลงนอนกับพื้นและผล็อยหลับไป
……….