ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 485 เขาคือใคร?
บทที่ 485 เขาคือใคร?
ในขณะที่วิหารทำลายเทพหรือวิหารเชิญเซียน วิหารเชิญเทพหรือวิหารเชิญปีศาจจมอยู่ในความเงียบ โลกผู้บำเพ็ญเซียนภายนอกกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวายและการนองเลือด
กลุ่มซากศพเดินได้ที่เกิดจากวิญญาณของต้นไม้หน้าคนปรากฏตัวขึ้น พวกมันกระโจนเข้าใส่ทันทีที่ได้กลิ่นสิ่งมีชีวิต กัดกินเนื้อและเลือดของเหยื่อ ฉีกทึ้งวิญญาณของพวกเขา
เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานและเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังขึ้นไม่หยุด
น่าเสียดายที่ไม่มีใครสามารถช่วยพวกเขาได้ ผู้บำเพ็ญพลังปีศาจและผู้บำเพ็ญพลังวิญญาณที่ไม่ทันได้เข้าไปในวิหารเชิญเซียนและปีศาจ ล้วนถูกซากศพเดินได้ล้อมไว้ทั้งหมด
ซากศพมีประสาทสัมผัสที่ไวมาก เคลื่อนที่ได้เร็วและยังสามารถซ่อนพลังงานได้ บางส่วนถึงขั้นมีภูมิต้านทานต่อเคล็ดวิชาต่าง ๆ บางส่วนแทงไม่เข้าและแข็งแกร่งราวกับวัตถุวิเศษ
เพียงแค่ถูกพวกมันข่วนหรือกัด บาดแผลก็ไม่มีทางหาย ร่างกายเหมือนลูกบอลที่รั่ว ไม่ว่าจะดึงพลังเซียนเข้าสู่ร่างกายอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ ได้แต่รอคอยความตายอย่างทรมาน
“ช่วยข้าด้วย…”
มีเพียงส่งเขาไปอีกทางหนึ่งเท่านั้น เพื่อให้เขาพ้นจากความทุกข์ทรมาน
เมื่อ ‘คน’ ตรงหน้าสิ้นใจ ร่างกายกลับกลายเป็นของเหลวสีน้ำตาลเข้มในพริบตา มันค่อย ๆ ไหลลงบนพื้น เหมือนกับของเหลวในป่าต้นไม้มนุษย์ไม่มีผิด
ร่างแยกหมายเลขเจ็ดอุทานเบา ๆ เขาย่อตัวลงเพื่อศึกษาอย่างละเอียด แต่พอยังไม่ทันได้แตะต้องของเหลว พวกมันเหมือนเห็นสิ่งน่าสะพรึงกลัวแล้วรีบหนีออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว แล้วซึมหายลงใต้ดินไปอย่างรวดเร็ว
เป็นเช่นนี้อีกแล้ว?
ร่างแยกหมายเลขเจ็ดชักมือกลับ เหลือบมองไปยังกลุ่มต้นไม้หน้าคนที่ล้อมเข้ามา พวกมันก็รีบหันหลังกลับแล้วใช้ความเร็วสูงสุดในชีวิตแสดงละครหนีตายฉากใหญ่ หายวับไปในพริบตา ราวกับไม่เคยมาที่นี่
“?”
ทำไมพวกมันถึงกลัวเขา?
หรือว่านี่เป็นผลงานของร่างจริง?
ไม่นาน ร่างแยกหมายเลขเจ็ดก็ปฏิเสธข้อสันนิษฐานนี้ หากเป็นฝีมือของร่างจริง เหตุใดเขาจึงไม่รู้?
นับแต่เขาไปยังทะเลเถ้าวิญญาณ การสื่อผ่านร่างของพวกเขากลับใช้ไม่ได้ เขา… ไม่รู้อะไรเลย เพียงแต่รู้สึกว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก
จะไม่แย่ได้อย่างไรเล่า?
เทพปีศาจและโม่จวินเจ๋อประสบชะตากรรมเดียวกัน พวกเขาถูกบังคับให้เป็นสถานีขนถ่ายพลังแห่งความตาย
พลังแห่งความตายจะเข้าสู่ร่างของพวกเขารอบหนึ่งก่อน แล้วจึงเข้าสู่เมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์
ทุกครั้งที่เทพปีศาจเตรียมจะระเบิดร่าง เมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์กลับดูดซับพลังแห่งความตายทั้งหมดไปอย่างทันท่วงที ตอนนี้แสงทองแห่งการปกป้องจางลงไปมาก สิ่งเดียวที่น่ายินดีคือเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์กลับเติบโตขึ้น
เหนือหัวใจของเขา ถูกต้นไม้เล็ก ๆ ครึ่งต้นยึดครองและแผ่ขยาย เหลืออีกเพียงหนึ่งในสามก็จะห่อหุ้มหัวใจของเขาได้อย่างแน่นหนา
เพียงแต่… เหตุใดจึงเปลี่ยนจากสีทองอร่ามเป็นสีทองเทาเล่า?
เป็นเพราะการดูดซับพลังแห่งความตายจำนวนมากทำให้กลายพันธุ์หรือ?
เทพปีศาจรู้สึกว่าการกลายพันธุ์เช่นนี้ช่างผิดปกตินัก แต่เขาไม่อาจหยุดยั้งได้ ได้แต่มองดูพลังแห่งความตายกลืนกินแสงทองไปเรื่อย ๆ
“เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่?”
เมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ที่เติบโตเป็นต้นไม้เล็ก ๆ ไม่เพียงมีวิญญาณใหม่ แต่ยังสามารถสื่อสารกับเทพปีศาจได้ด้วย
“จริงหรือ…?”
เทพปีศาจยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เสียงของเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์นั้นเย็นเยียบ มันไม่ควรเป็นเช่นนี้สิ?
“แน่นอน!”
การสนทนาจบลงเพียงเท่านี้ เทพปีศาจเหม่อมองไปยังพลังแห่งความตายอันไร้ที่สิ้นสุดเบื้องหน้า และมองเห็นวิญญาณที่ร่ำไห้นับไม่ถ้วนจากในนั้น
เมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ควรเป็นสิ่งที่ช่วยเหลือสรรพชีวิต แต่บัดนี้กลับสามารถดูดซับพลังแห่งความตายที่รวมตัวกันจากชีวิตนับไม่ถ้วนได้โดยไร้ความรู้สึกผิด… เมื่อนางเติบโตเต็มที่ นางจะยังคงเป็นต้นไม้แห่งชีวิตที่เขาต้องการอยู่หรือไม่?
คงไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแล้ว…
เทพปีศาจพยายามแยกเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ที่หลอมรวมอยู่กับหัวใจของเขาออก เขากลัวว่าเมื่อต้นไม้ครึ่งต้นนี้เติบโตขึ้น มันอาจจะลงมือกับเขาเป็นคนแรก
“ไร้ประโยชน์ เจ้ากับข้าได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว” เสียงเย็นเยียบดังก้องภายในร่างของเทพปีศาจ
แน่นอนว่าเทพปีศาจอยากสร้างโลก แต่ถ้าเทียบกันแล้ว เมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ครึ่งหนึ่งที่เหมือนถูกแทนที่ด้วยสิ่งสกปรก อีกครึ่งหนึ่งกลับดูน่าเชื่อถือกว่า
เมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์เหมือนได้ยินเสียงในใจของเทพปีศาจ “อีกครึ่งหนึ่งงั้นหรือ? นางก็เป็นเช่นเดียวกับข้าในตอนนี้”
“…”
ไม่รู้ว่าทำไมเทพปีศาจรู้สึกว่าเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองนั้นแตกต่างกัน อย่างน้อยอีกฝั่งยังมีศัตรูคู่อาฆาตของเขาอยู่ หลิงเยว่ไม่น่าจะถูกแทนที่ด้วยสิ่งสกปรกได้เร็วขนาดนั้น
ความจริงเป็นไปตามที่เทพปีศาจคาดการณ์ไว้ นับตั้งแต่หลิงเยว่ให้ลูกแก้ววิญญาณห่อหุ้มตัวเองเป็นดักแด้ สิ่งสกปรกที่เกิดจากพลังแห่งความตายก็ไม่สามารถรุกรานวิญญาณของนางได้ ส่วนร่างแท้ของนางก็ถูกโม่จวินเจ๋อกลืนเข้าไปชำระล้างด้วยแก่นปราณแสงอย่างต่อเนื่อง สิ่งสกปรกจึงไม่สามารถหาช่องทางเล็ดลอดเข้าไปได้เลย
จุดสีเทาที่ปกป้องแสงสีทองได้หายไปไร้ร่องรอย แม้ว่าร่างของโม่จวินเจ๋อจะถูกพลังแห่งความตายโจมตีอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงรักษาสีทองเจิดจ้าไว้ได้ ซึ่งตรงข้ามกับสีทองปนเทาในร่างของเทพปีศาจโดยสิ้นเชิง
พลังแห่งความตายในวิหารทำลายเทพกำลังลดลงเรื่อย ๆ ส่วนนอกวิหารในโลกผู้บำเพ็ญเซียน นอกจากพลังปีศาจและพลังเซียนแล้ว ยังมีพลังแห่งความตายเพิ่มขึ้นมาด้วย
พลังแห่งความตายกำลังกลืนกินพลังปีศาจและพลังเซียน มันพยายามจะเปลี่ยนโลกผู้บำเพ็ญเซียนให้กลายเป็นโลกแห่งความตาย!
ตลอดทางมีเสียงกรีดร้องและการต่อสู้ดังมาไม่ขาดสาย ผู้คน ปีศาจ และสัตว์ในโลกผู้บำเพ็ญเซียนกำลังลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว บางทีในไม่ช้าที่นี่อาจไม่มีสิ่งมีชีวิตเหลืออยู่เลย
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการหรอกหรือ?
ร่างแยกควรจะรู้สึกดีใจ แต่กลับรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ร่างแยกหมายเลขเจ็ดที่เพิ่งมาถึงทะเลเถ้าวิญญาณยังไม่ทันได้มองดูให้ละเอียด ทะเลที่แห้งเหือดก็มีวิหารสีทองเข้มค่อย ๆ ลอยขึ้นมา ประตูใหญ่เปิดกว้าง ราวกับกำลังเชื้อเชิญให้เขาเข้าไป
วิหารหลังนี้ไม่ใช่วิหารเชิญเทพที่ร่างจริงเข้าไป เขาจะเข้าไปดีหรือไม่?
ร่างแยกลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเข้าไป บางทีวิหารทั้งสามอาจเชื่อมถึงกันก็ได้?
จนถึงตอนนี้เขายังไม่เข้าใจว่าทำไมของเหลวสีน้ำตาลเข้มและพวกต้นไม้หน้าคนถึงกลัวเขา…
เมื่อประตูใหญ่ปิดลง ร่างของร่างแยกหมายเลขเจ็ดก็หายไป ป้ายชื่อของวิหารสีทองเข้มค่อย ๆ ปรากฏตัวอักษร คำว่า “วิหารต้อนรับเทพ” แสงสีทองสว่างวาบขึ้นแล้วหายไปในพริบตา
วิหารต้อนรับเทพจมลงพื้นดินอีกครั้ง นอกจากร่างแยกหมายเลขเจ็ดแล้วไม่มีใครเห็นวังหลังนี้อีก
แท้จริงแล้วเขาคือใครกันแน่?
ปัญหานี้ยังไม่มีทางแก้ไข เช่นเดียวกับกลุ่มมนุษย์และปีศาจที่ถูกบังคับให้เข้าไปในวิหารเชิญปีศาจและวิหารเชิญเซียน พวกเขาจ้องมองประตูที่ปิดสนิทแต่ละบาน เครื่องหมายคำถามเริ่มเพิ่มมากขึ้น
“ผ่านไปนานเท่าไรแล้ว?”
“หนึ่งเดือน หนึ่งปี? หรือสามปี?”
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก ข้ารู้สึกว่าผ่านไปร้อยปีแล้ว!”
ผู้บำเพ็ญที่ตกเป็นทาสรับใช้พวกคนหนังกระดาษ ดวงตาไร้ประกายราวกับซากศพเดินได้
……….