ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 489 นั่นคืออะไร?!
บทที่ 489 นั่นคืออะไร?!
“มีเพียงเจ้ากับข้าเท่านั้นที่มองเห็นเขาได้?”
พี่สาวศพแบนลูบคางพลางจ้องมองชายที่อยู่ชั้นล่างสุดของตึก จมอยู่ในภวังค์ความคิด ปากพึมพำว่า “เหตุใดกันหนอ เหตุใดจึงมีเพียงข้ากับเจ้าเท่านั้นที่มองเห็นเขาได้?”
พวกเขาทั้งสองมีอะไรที่แตกต่างกันหรือ?
อาหารวิญญาณ?!
คงไม่ใช่เพราะสิ่งนี้กระมัง?
หากเป็นเช่นนั้นจริง ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้นที่มองเห็นชายที่อยู่ชั้นล่างสุด แต่ยังรวมถึงสหายของเล่อเหอและตัวประหลาดที่อยู่ชั้นบนสุดด้วย
ไม่รู้ว่าพี่สาวศพแบนที่มีร่างกายเป็นแผ่นกระดาษแบน ๆ และใบหน้าแตกละเอียดมีความกล้าที่ไหนมาเรียกผู้อื่นว่าตัวประหลาด?
ชายผู้นี้เป็นใคร?
โม่จวินเจ๋อพยายามออกไปข้างนอก เดินวนไปรอบหนึ่งแต่ก็ไม่พบทางออก จึงกลับมายังจุดเดิม ไม่สามารถออกไปได้ชั่วคราวก็ดีเหมือนกัน เช่นนี้เขาจะได้ช่วยหลิงเยว่ชำระพลังแห่งความตายได้อย่างช้า ๆ แม้ว่าตอนนี้พลังแห่งความตายจะเบาบางลงแล้ว แต่คงไม่มีวิธีที่จะเร่งให้เร็วขึ้นได้เช่นกัน
สิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ได้ด้วยปริมาณพลังแห่งความตายมหาศาล พลังแห่งความตายจำนวนมากเช่นนี้อาจสร้างเทพได้หลายสิบองค์ แต่สำหรับหลิงเยว่แล้วมันเป็นเพียงของว่างเท่านั้น
ผู้อยู่เบื้องหลังคงไม่คิดว่าหลิงเยว่จะ ‘กิน’ ได้มากขนาดนี้?
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้อยู่เบื้องหลังคงไม่คิดว่าพวกเขาจะเลือกชำระล้างก่อนแล้วค่อยดูดซับกระมัง?
โม่จวินเจ๋อยิ้มน้อย ๆ แล้วหลับตาลงอีกครั้ง จำเป็นต้องชำระล้างพลังแห่งความตายทั้งหมดโดยเร็ว!
เขาไม่ได้ยินเสียงของหลิงเยว่มานานมากแล้ว อีกทั้งยังไม่ได้พูดคุยกับนางมานาน ช่าง… คิดถึงเหลือเกิน
เมื่อโม่จวินเจ๋อหลับตาลง วิหารทำลายเทพ วิหารเชิญเทพก็จมสู่ความเงียบอีกครั้ง พวกคนหนังกระดาษที่ยืนอยู่ในระเบียงทางเดินรู้สึกทรมานอย่างยิ่ง
พวกเขาทรมานจนอยากจะบุกเข้าไปในวิหารสีทองเข้มนั่นพร้อมกัน แม้จะเป็นการเข้าไปหาความตายเองก็ยังดีกว่ารอคอยความตายที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ มันทรมาน ‘คน’ เกินไปแล้ว!
สถานการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย!
สายตาทุกคู่ถูกดึงดูดไปยังประตูใหญ่ที่เปิดกว้าง แม้แต่บนศีรษะของสามผู้ยิ่งใหญ่ก็มีเครื่องหมายคำถามปรากฏไม่หยุด ปีนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
พลังแห่งความตายที่เดิมทีเบาบางได้ถูกเติมเต็ม ยังไม่ทันที่พวกคนหนังกระดาษจะดูดซับพลังแห่งความตาย มันก็พุ่งเข้าสู่ชั้นล่างสุดอย่างรวดเร็ว
โม่จวินเจ๋อที่เดิมทีใบหน้าเริ่มมีสีเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อย กลับซีดขาวทันทีที่พลังแห่งความตายจำนวนมากไหลบ่าเข้ามา คิ้วที่คลายออกกลับขมวดแน่นอีกครั้ง ร่างกายถูกปกคลุมด้วยพลังแห่งความตายที่รุนแรงและเชี่ยวกราก
แล้วร่างของเขาก็หายไปจากสายตาของพี่ชายศพปากเย็บ พี่สาวศพแบน ผู่ตานและเล่อเหออีกครั้ง
มาอีกแล้ว?!
“คราวนี้เจ้าวิหารทำลายเทพไม่คิดจะเหลือคนเป็นไว้ในโลกผู้บำเพ็ญเซียนสักคนเลยหรือ?” พี่ชายศพปากเย็บย่อมรู้ว่าพลังแห่งความตายครั้งที่สองมาจากไหน มันมาจากโลกผู้บำเพ็ญเซียนไม่ใช่หรือ?
พลังแห่งความตายมากมายขนาดนี้ แสดงว่าโลกผู้บำเพ็ญเซียนคงเหลือคนเป็นไม่มากแล้ว มันกำลังจะกลายเป็นโลกแห่งความตาย!
“หมายความว่า… อย่างไร?” ผู่ตานเข้าใจแล้ว แต่เขาแค่หวังว่าตนจะเข้าใจผิดไปเอง
แม้ว่าใบหน้าของพี่ชายศพตัวกลมจะมีเพียงจุดดำเล็ก ๆ สี่จุด แต่ผู่ตานกลับรู้สึกได้ถึงสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ของอีกฝ่ายได้ชัดเจน
อารมณ์ของพี่ชายศพตัวกลมนั้น เมื่อเทียบกับการไม่เป็นคนไม่เป็นผี แม้แต่การดูดซับพลังความตายก็ยังต้องกำหนดปริมาณ การมีชีวิตอยู่โดยไร้อิสรภาพเช่นนี้ ทำให้เขายิ่งอยากกลับไปใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีเหมือนแต่ก่อน
น่าเสียดายที่ตอนนี้การมีชีวิตอยู่อย่างอิสระสำหรับพวก ‘สัตว์ประหลาด’ เหล่านี้เป็นความปรารถนาที่ห่างไกลนัก ทุกวันนี้แค่การมีชีวิตอยู่ก็ใช้ความคิดและพละกำลังจนหมดสิ้นแล้ว
“แล้วถ้าพลังความตายไม่พอล่ะ จะเป็นอย่างไร?”
ผู่ตานรู้ว่าทุกครั้งที่หลิงเยว่ต้องการจะก้าวข้ามขอบเขต ปริมาณของพลังวิญญาณ พลังเซียนหรือแม้แต่พลังปีศาจที่ต้องการนั้นมหาศาล แต่เขาไม่คิดว่าพลังความตายของวังใหญ่โตขนาดนี้จะไม่เพียงพอสำหรับนาง…
ตอนนี้เขารู้สึกตื่นตระหนกอยู่บ้าง หากโลกผู้บำเพ็ญเซียนยังไม่เพียงพอ เจ้าของวิหารจะยื่นอุ้งมือปีศาจไปยังโลกแห่งการบำเพ็ญหรือไม่?
เขากลัวว่าหลิงเยว่จะรู้ว่าตนเองเป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้โลกผู้บำเพ็ญเซียนกลายเป็นโลกแห่งความตาย แล้วจะสังหารเขาเสียตรงนั้น
“แน่นอนว่าต้องสร้างพลังความตายต่อไป…” พี่ชายผีร่างผอมเหมือนไม้ไผ่พูดด้วยสายตาที่มีความหมายลึกซึ้ง
“สร้างจากที่ไหน?” ผู่ตานไม่ทันสังเกตว่าน้ำเสียงของตนเองเปลี่ยนไป
พี่ชายศพปากเย็บพูดสิ่งที่ผู่ตานไม่อยากได้ยินที่สุดออกมา
จะทำอย่างไรดี? เขาควรไปหาโม่จวินเจ๋อเพื่อให้เขาบอกเรื่องนี้กับศิษย์น้องหรือไม่?
ดูเหมือนว่าการบอกคงไม่มีประโยชน์ เพราะศิษย์น้องก็เป็นเหยื่อเช่นกัน นางถูกบังคับให้ดูดซับพลัง แม้ว่าสองโลกจะกลายเป็นโลกแห่งความตายเพราะเรื่องนี้ก็คง… ไม่เกี่ยว… กับนาง… กระมัง?
“แน่นอน นอกจากโลกเบื้องล่างแล้ว ความตายของพวกข้าสามารถให้พลังแห่งความตายได้เช่นกัน” ศพปากเย็บพูดไปพูดมาก็หัวเราะ หากเจ้าของวิหารต้องการฆ่าล้างให้สิ้นซากก็ขอให้ความปรารถนาของเขาล้มเหลวเถิด!
พลังสังหารอันรุนแรงทำร้ายผู่ตานผู้อ่อนแอ จนเขากระอักเลือดออกมา แล้วล้มลงกับพื้นด้วยใบหน้าซีดขาว
“ช่าง… อ่อนแอเสียจริง ทั้งที่เป็นเผ่าหงส์แท้ ๆ”
ศพปากเย็บรีบเก็บพลังกลับไป จึงไม่ถึงกับทำให้ผู่ตานตายคาที่
น้ำเสียงดูแคลนเกือบจะส่งผู่ตานไปสู่สุคติแล้ว ตอนนี้เขาเพิ่งอยู่ขอบเขตเซียนแท้ เมื่อเทียบกับศพปากเย็บที่มีสถานะเทพในชาติก่อน ผู่ตานก็อ่อนแอจริง ๆ รอให้เขาเป็นเทพเมื่อไหร่ เขาจะฆ่าคนผู้นี้เสีย! ฮึ!
ผู่ตานครางในลำคออย่างขุ่นเคือง พยายามลุกขึ้นจากพื้นด้วยตัวสั่นเทา แต่ยังไม่ทักได้ลุกก็ถูกแรงสั่นสะเทือนของพื้นอาคารพัดล้มอีกครั้ง ไม่เพียงแต่ล้มหน้าคะมำเท่านั้น เขายังกระอักเลือดออกมาอีกครั้งต่อหน้าทุกคน
ผ่านประตูใหญ่ออกไป พวกเขาเห็นต้นไม้ยักษ์สีเทาขาวครึ่งต้นพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ลำต้นหนาใหญ่กำลังยืดยาวออกไปเรื่อย ๆ กิ่งก้านสาขาแตกออกมาอย่างรวดเร็ว หากมองให้ละเอียดจะเห็นว่ากิ่งไม้ที่แผ่กว้างออกไปนั้นดูเหมือนจะกำลังม้วน ‘คน’ อยู่?
ราวกับต้นไม้ยักษ์สีเทาที่ถูกผ่าครึ่งยังไม่หยุดเติบโต มันได้เติมเต็มประตูใหญ่ของวิหารเชิญเซียนหรือวิหารเชิญปีศาจจนเต็ม ตรงหน้าพวกเขามีกิ่งไม้และใบไม้กำลังเคลื่อนไหวไปมาไม่หยุด
พื้นดินยังคงสั่นสะเทือนต่อไป และรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ที่มีสายตาดีสามารถมองเห็นวิหารสีเทาด้านหลังผ่านช่องว่างของใบไม้ได้
เพียงวิหารนำเซียนหลังเดียวก็ครอบคลุมพื้นที่หนึ่งในสี่ของโลกผู้บำเพ็ญเซียนแล้ว ลองคิดดูว่าหากไม่ถูก ‘ตัด’ ไปครึ่งหนึ่ง ต้นไม้ทั้งต้นจะใหญ่ขนาดไหน…
บางทีทั้งโลกผู้บำเพ็ญเซียนอาจไม่สามารถบรรจุมันไว้ได้กระมัง?
เมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ครึ่งหนึ่งที่ถูกเทพปีศาจกลืนกินกลับถูกพลังแห่งความตายทำให้เน่าเสียไป
โม่จวินเจ๋อก้มหน้าลง หากรู้เช่นนี้แต่แรกเขาควรทำลายเมล็ดพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ครึ่งนั้นเสียตั้งแต่ตอนที่เทพปีศาจอ่อนแอ น่าเสียดายนัก
“สวรรค์! นั่นคือต้นไม้อะไรถึงใหญ่ขนาดนี้…?”
“เพียงครึ่งเดียวก็สามารถบดบังวิหารเชิญปีศาจได้ ต้องเป็นสิ่งที่เหนือกว่าเทพแน่นอน!”
คนหนังกระดาษตกตะลึง เมื่อเห็นกิ่งไม้และใบไม้ที่เคลื่อนไหวไม่หยุด