ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 493 ทำไมถึงเป็นสีเขียว?
บทที่ 493 ทำไมถึงเป็นสีเขียว?
นอกจากจะมีร่างกายเป็นมนุษย์แล้ว ตอนนี้โม่จวินเจ๋อยังมีลักษณะที่เหมือนต้นไม้ปรากฏอยู่ทั่วร่าง ชัดเจนที่สุดคือผมและดวงตา ผมหยักศกเปลี่ยนจากสีเงินเป็นสีเขียวเข้ม ม่านตาเป็นสีเขียวหยก เส้นเอ็นสีทองเข้มซ่อนตัวอยู่ด้านใน ผิวดูกระจ่างใสเปล่งประกายสีเขียวอ่อน ๆ
“ทำไมถึงเป็นสีเขียวล่ะ?”
โม่จวินเจ๋อรู้สึกสับสนยิ่งนัก ตอนนี้เขาได้สัมผัสความรู้สึกของการเป็นต้นไม้อีกครั้ง ความรู้สึกนี้… ยากจะบรรยายยิ่งกว่าตอนเป็นมังกรปีศาจ ลูกปลาหมัวอิน พืช และสัตว์วิญญาณเสียอีก…
ที่สำคัญคือ ร่างแท้ของหลิงเยว่เป็นสีทอง แต่ทำไมเขาถึงกลายเป็นสีเขียว?
“นี่ก็ดูดีไม่ใช่หรือ?”
หลิงเยว่ตอบไม่ตรงคำถาม พลางสำรวจโม่จวินเจ๋อไปมา ไม่คิดว่าเขาจะดูดีขนาดนี้ พอร่างของเขาเป็นสีเขียวเข้ม ดูงดงามประณีตราวกับเหล่าภูต เมื่อรวมเข้ากับบุคลิกเย็นชาแล้วช่างดูดียิ่งนัก
โม่จวินเจ๋อไม่พูดอะไรแล้วจ้องมองหลิงเยว่อยู่อย่างนั้น
เขาไม่ได้ถามสักหน่อยว่าดูดีหรือไม่?
“เพราะร่างแท้ของข้าเป็นสีเขียวไง ต้นไม้ส่วนใหญ่ก็เป็นสีเขียวนี่นา!” หลิงเยว่ลังเลเล็กน้อย ไม่กล้าสบตากับโม่จวินเจ๋อตรง ๆ
“แล้วทำไมร่างของเจ้าถึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดเลยล่ะ?”
นางเป็นต้นไม้แห่งชีวิตตัวจริง แต่เหตุใดกลับเป็นเขาที่เปลี่ยนแปลง?
โม่จวินเจ๋อคิดไม่ตก
“ข้าก็ไม่รู้…”
หลิงเยว่กะพริบตาอย่างไร้เดียงสา ตอนนั้นนางปิดกั้นประสาทสัมผัสทั้งหมดราวกับเป็น ‘ศพ’ แล้วจะรู้ได้อย่างไรเล่า?
โม่จวินเจ๋อ “…”
ดูเหมือนนางจะไม่รู้จริง ๆ
ขณะที่ทั้งสองถามตอบกันอยู่นั้น วิหารทำลายเทพก็ถูกฟาดมากขึ้น พร้อมเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดที่ดังระงม
หลิงเยว่มองผ่านดวงตาของโม่จวินเจ๋อ เห็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ภายนอก
หน้าตาช่าง… น่าขนลุกและน่าเกลียดเหลือเกิน
โม่จวินเจ๋อเล่าเรื่องคร่าว ๆ เกี่ยวกับ ‘อีกครึ่งหนึ่ง’ ของหลิงเยว่ที่ถูกพลังแห่งความตายทำให้เป็นมลทิน ที่ตอนนี้กำลังออกไปฆ่าฟัน ไล่ล่าสังหารวิหารทำลายเทพ แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
“!!!”
วังที่หนีด้วยขายาว ๆ กับอีกครึ่งหนึ่งที่คลุ้มคลั่งตกเป็นปีศาจ…
“แล้วเทพปีศาจเล่า? เขาถูกอีกครึ่งหนึ่งกลืนกินไปแล้วใช่ไหม?”
นี่คือสิ่งที่หลิงเยว่สนใจที่สุด ถ้าเป็นเช่นนั้นถือว่าได้แก้แค้นครั้งใหญ่แล้ว แม้ว่าเทพปีศาจจะไม่ได้ถูกนางฆ่าด้วยมือตัวเอง แต่อีกครึ่งหนึ่งก็มีความเกี่ยวข้องกับนางอยู่บ้าง ถือว่านางได้ฆ่าเขาทางอ้อมเช่นกัน
ช่างเถอะ! อย่าไปเกี่ยวข้องกับอีกครึ่งหนึ่งที่คลุ้มคลั่งเลย ขอเพียงรู้ว่าเทพปีศาจตายแล้วก็พอ!
“เขาคงไม่ตายง่าย ๆ หรอก”
คำพูดของโม่จวินเจ๋อทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิงเยว่แข็งค้างทันที
ใช่แล้ว เทพปีศาจมีร่างแยกมากมาย แม้จะถูกกลืนกินไป แต่อีกฝ่ายยังมีร่างแยกอีกร่างให้ใช้งาน
ด้านนอก ‘อีกครึ่ง’ ของหลิงเยว่นั้นบ้าคลั่งเหลือเกิน แน่นอนว่าคงไม่ปล่อยปละละเลยเทพปีศาจที่เคยกลืนกินมันไปแน่ ก่อนหน้านี้โม่จวินเจ๋อได้เห็นวิหารเชิญเทพที่ปรักหักพังผ่านช่องใบไม้ คาดว่าทั้งสองคงปะทะกันไปแล้ว
แม้เทพปีศาจอาจจะยังไม่ตาย แต่ก็คงต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด ทำให้จิตใจน้อย ๆ ของหลิงเยว่รู้สึกดีขึ้นบ้าง ดีแล้ว! เมื่อถึงเวลานางจะลงมือซ้ำ แล้วส่งเขาไปสู่สุคติด้วยตัวเอง!
“เช่นนั้นพวกเราจะไปพาพี่สี่และท่านบรรพจารย์ออกจากที่นี่หรือ?”
หลิงเยว่ยอมรับว่าตนเองสู้ ‘อีกครึ่ง’ ในตอนนี้ไม่ได้ หากรอจนกว่านางเติบโตจนสามารถต่อกรได้ แล้วค่อย…
“เป้าหมายของอีกครึ่งคือเจ้า”
ความหมายของโม่จวินเจ๋อคือ ตอนนี้นางคือผู้ที่ตกอยู่ในอันตรายที่สุด การพาผู่ตานและบรรพจารย์เล่อเหอไปด้วย เท่ากับพาพวกเขาไปเป็นอาหารเพิ่มให้อีกครึ่ง
“…”
“ข้าสามารถใช้วิชาพรางตัวได้”
“ไร้ประโยชน์ เจ้ากับอีกครึ่งแต่เดิมเป็นหนึ่งเดียวกัน เจ้าหามันได้ มันก็หาเจ้าได้ง่ายเช่นกัน”
คำพูดของหลิงเยว่ที่เพิ่งเริ่มต้นกลับหยุดชะงักทันที
โม่จวินเจ๋อรอฟังคำพูดแต่ยังมองตามสายตาของหลิงเยว่ขึ้นไป แล้วเขาก็เห็นชายคนหนึ่งกำลังยิ้มโบกมือทักทายพวกเขาอยู่ที่หน้าต่างบนยอดวิหารสีทองเข้ม
ใบหน้าน่าชังของชายผู้นั้นประทับอยู่ในดวงตาของหลิงเยว่อย่างลึกซึ้ง
ที่บอกว่าต้องเอาชีวิตรอดอย่างทุลักทุเลนั้นเป็นอย่างไรกัน?
ตอนนี้สภาพของเทพปีศาจไม่เหมือนอย่างที่พูดเลย เพียงแต่สีหน้าซีดเซียว ดูอ่อนแรงลงเล็กน้อยเท่านั้น
อีกครึ่งหนึ่งช่างไร้ประโยชน์จริง ๆ!
พี่ชายศพปากเย็บที่คอยสังเกตต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ด้านล่างอยู่ตลอดเวลาก็มองไปยังชั้นบนสุดเช่นกัน แต่มันยังเหมือนตอนที่ปรากฏครั้งแรก ประตูใหญ่ปิดสนิท ไม่มีอะไรเลย
แต่ทำไมต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ถึงจ้องมองอยู่ตลอดเวลา?
ไม่สิ ทำไมเขาถึงสามารถมองมันได้โดยไม่ถูกป้ายอักษรนั่นทำร้าย?
“ตัวอักษรนั้นอ่านว่าอะไร?”
“เขาสมควรหรือ?!”
หลิงเยว่ตาเบิกกว้างจนแทบจะหลุดออกมา เจ้าปีศาจร้ายกาจเช่นนี้ยังจะเข้าวิหารต้อนรับเทพอีกหรือ ต้อนรับผีสิไม่ว่า!
แน่นอนว่าไม่สมควรเลย!
วิหารเชิญเทพบวกกับวิหารต้อนรับเทพที่อยู่เหนือวิหารทำลายเทพนี้ ดูก็รู้ว่าไม่ใช่วิหารเทพที่แท้จริง เป็นเพียงจินตนาการของผู้อยู่เบื้องหลังเท่านั้น
ส่วนวิหารทำลายเทพ… ก็ทำลายเทพที่มีคุณสมบัติเทพไปไม่น้อยจริง ๆ
เช่น ดวงตาคู่นั้นที่กำลังจ้องมองอยู่ ช่างคล้ายกับดวงตาของเทพหยางที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ซึ่งดวงตาของเขาจะมีขนาดไม่เท่ากัน
“ท่านว่าสามปีศาจที่อยู่ชั้น 144 เคยเป็นเทพมาก่อนหรือ?” หลิงเยว่ตกตะลึง
“นอกจากพวกเขาแล้ว น่าจะมีอีกไม่น้อยที่ไม่มีคุณสมบัติพอจะกลายเป็นปีศาจได้”
หรือบางทีอาจมีเหตุบางอย่างทำให้พวกเขากลายเป็นอาหารของวิหารทำลายเทพ
เพราะดูเหมือนว่าพวกเขาจะออกจากวิหารทำลายเทพนี้ไม่ได้
“ถ้ารู้วิธีออกไป พวกเขาจะยังอยู่ที่นี่ด้วยสภาพเช่นนั้นได้อย่างไร?”
“บางทีสิ่งที่สำคัญที่สุดอาจจะหายไป เลยออกไปไม่ได้?” โม่จวินเจ๋อเอียงศีรษะสบตากับดวงตาเป็นประกาย
ส่วนสำคัญที่สุดนี้ อาจจะเป็นหลิงเยว่ก็ได้
โม่จวินเจ๋อเคยหาทางออกจากชั้นล่างสุดมาก่อน แต่ไม่พบ ตอนนี้หลิงเยว่ตื่นแล้ว บางทีกายาต้านหายนะของนางอาจจะเริ่มทำงาน ทำให้เข้าออกได้อย่างอิสระ
ศพปากเย็บกำลังเย็บผิวหนังของตัวเอง พลางมองดู ‘ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์’เมื่อเห็นอีกฝ่ายขยับ เขาก็หยุดการกระทำในมือทันที
ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์… จะออกมาแล้วหรือ?
เขาเห็นเพียงเส้นเอ็นสีทองคล้ายเส้นใบไม้ที่ซ่อนอยู่ในร่างของโม่จวินเจ๋อกำลังวาบขึ้นบนใบหน้าและมือไม่หยุด เขาเดินมาที่บันไดชั้นแรก แล้วยกเท้าขึ้นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เท้าขวาของเขาผ่านเข้าไปในกำแพงได้สำเร็จ แต่ยังไม่ทันที่จะยกเท้าซ้ายขึ้น ก็ต้องหยุดชะงักด้วยดวงตาขนาดใหญ่และเล็กที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าอย่างกะทันหัน
“ศิษย์น้อง ศิษย์น้อง!”
ผู่ตานที่ถูกพามาที่บันไดชั้นแรกร้องตะโกน แต่น่าเสียดายที่เสียงไม่ได้เข้าไปถึงหูของหลิงเยว่
อย่างไรก็ตาม การได้เห็นพี่สี่กระโดดโลดเต้นอยู่ก็ทำให้หลิงเยว่รู้สึกพอใจมากแล้ว
“เจ้าแน่ใจจริง ๆ หรือว่านี่คือศิษย์น้องหญิงของเจ้า?”
เมื่อมองใกล้ ๆ พี่ชายศพปากเย็บยิ่งแน่ใจมากว่าคนตรงหน้านี้เป็นผู้ชายแท้ ๆ!
แม้ว่าจะมีใบหน้างดงามราวกับเทพเจ้า แต่ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าเขาเป็นผู้ชายได้
โม่จวินเจ๋อที่อ่านริมฝีปากของผู่ตานและอีกฝ่ายออก ไม่สามารถควบคุมมุมปากที่กระตุกรัวของตัวเองได้
อีกฝ่ายเรียกเขาว่าศิษย์น้องหญิง…