ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 50 เมื่อเกิดภัยพิบัติทุกคนก็หนีไป
บทที่ 50 เมื่อเกิดภัยพิบัติทุกคนก็หนีไป
บทที่ 50 เมื่อเกิดภัยพิบัติทุกคนก็หนีไป
เมื่อรู้สึกถึงอันตรายหลิงเยว่จึงตอบสนองอย่างรวดเร็ว พลันพลิกตัวกลับไปต้านรับฝ่ามือยักษ์ที่กำลังประทับลงมา ฝ่ามือของเด็กสาวกำลังเปล่งด้วยแสงสีทองจาง ๆ ทว่ากำลังแขนไม่อาจต้านได้ไหว ใบหน้าของนางแดงก่ำขึ้น
หลิงเยว่ใช้แก่นปราณทองคำของนางต้านรับ แต่น่าเสียดายที่นางสามารถยืนหยัดได้เพียงพริบตาเดียว ทว่าเท่านั้นก็เพียงพอให้นางกลิ้งตัวหลบฝ่ามือยักษ์แล้ว จากนั้นร่างเล็ก ๆ ก็หนีอย่างบ้าคลั่งไปตามช่องว่างระหว่างตัวของสัตว์อสูร
ประสบการณ์ที่เกือบจะถูกบดขยี้จากฝ่ามือยักษ์ทำให้หลิงเยว่หวาดผวา มาตอนนี้เด็กสาวดีใจที่ได้ฝึกฝนกับศิษย์ชั้นยอดจากยอดเขาบำเพ็ญกายา และถูกซ้อมจนร่างกายของนางแข็งแกร่งกว่าที่ควรเป็นมาเป็นเวลานาน
หลิงเยว่ผู้ตามล่าเป้าหมายภารกิจหลบหนีความตายได้อย่างหวุดหวิด ไม่กล้าที่จะแสวงหาความตื่นเต้นอีกต่อไป นางต้องทำทุก ๆ อย่างแบบค่อยเป็นค่อยไป
ดอกไม้สีดำน้อยที่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่เมื่อครู่กลับมาเหี่ยวเฉาด้วยความสิ้นหวังอีกครั้ง ถ้าเจ้าของคนที่สองตายมันก็จะสามารถไปหาเจ้าของใหม่ที่เหมาะสมมากกว่าได้
ตอนนี้ความฝันของมันพังทลายลงเสียแล้ว
หลิงเยว่ที่ยังไม่ได้ทำสัญญาผูกกับราชาดอกไม้ แน่นอนว่าเด็กสาวไม่รู้ว่าเจ้าดอกไม้สีดำน้อยนี้กำลังคิดอะไรอยู่ แต่ถึงแม้จะรู้นางก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ ท้ายที่สุดแล้วจุดประสงค์ในการเอาดอกไม้นี้ออกไปก็เพื่อทำให้มันกลายเป็นอาหารวิญญาณที่ล้ำค่าแสนอร่อย สรุปคือทั้งสองฝ่ายต่างก็รอคอยวันที่อีกฝ่ายจะตายนั่นเอง…
“ราชาดอกไม้นี้ไร้ประโยชน์เสียจริง เมื่อหลิงเยว่ออกมาให้นางใช้มันทำอาหารเสีย”
“อืม” หลงหว่านโหรวสนับสนุนคำพูดของชิงยวน
“ผู่ตานก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน รอให้เขาออกมาค่อยไล่เขาออกจากยอดเขาของเรา”
คราวนี้หลงหว่านโหรวไม่เห็นด้วย หากนางพูดสนับสนุนตามใจอาจารย์ ผู่ตานจะถูกไล่ออกจากยอดเขาแน่ ๆ
ดวงตาของหลงหว่านโหรวกลับไปมองที่คันฉ่องสวรรค์
หลิงเยว่ที่รอดพ้นจากฝูงสัตว์อสูรได้พิงลำต้นของต้นไม้พลางหายใจหอบ นางเคยมีประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้ในชีวิตที่ใดบ้าง?
นางกินน่องไก่ทอดก่อนเพื่อคลายอาการตื่นตระหนก
พื้นดินด้านหนึ่งสั่นสะเทือน แต่อีกด้านกลับมีน่องไก่ทอด ซาลาเปา และชานม ช่างเป็นเวลาเงียบสงบเสียจริง
“ตูม!”
ศพที่มีหัวเป็นเสือและตัวเป็นสิงโตหล่นลงต่อหน้าหลิงเยว่
“ปัก ปัก ปัก!”
ก่อนที่หลิงเยว่จะได้มีเวลาตกตะลึง ซากศพของสัตว์อสูรอีกหลายตัวก็ถูกโยนมากองตรงหน้านาง สภาพการตายของพวกมันช่างน่าสังเวช เห็นได้ชัดว่าพวกมันต้องทนทุกข์ทรมานก่อนจะตาย
“เก็บมันไว้!”
ชายผู้กระหายเลือดเดินโซซัดโซเซมาทางหลิงเยว่ และจานอาหารในมือของนางก็ตกไปอยู่ในมือของผู่ตาน
หลิงเยว่ไม่สนใจ และเก็บศพสัตว์อสูรไปไว้ในถุงเก็บของอย่างมีความสุข ได้เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ตอนนี้นางเหลือแค่ต้องหาสมุนไพรวิญญาณอีกเพียงสามชนิดเท่านั้น ก็จะสามารถออกจากมิติลับได้ นางทนอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วจริง ๆ!
ผู่ตานซึ่งกินน่องไก่เป็นครั้งแรกเหลือบมองหลิงเยว่แปลก ๆ แล้วยกมุมปากขึ้น บางทีเขาอาจจะไม่ใช่คนแปลกประหลาดคนเดียวของยอดเขาหลักในอนาคต
หลังจากกินและดื่มแล้ว ทั้งสองก็มองหน้ากันด้วยความสับสน หลิงเยว่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหยิบดอกไม้อัสดง บุปผาวารี และดอกเกล็ดหิมะที่นางรวบรวมมามอบให้กับผู่ตาน
นี่คืออะไร? ศิษย์น้องห้ายังเด็กเกินไปนัก…
จากนั้นสมุนไพรวิญญาณที่ต้องใช้ในภารกิจทั้งหกชนิดก็กองอยู่ตรงหน้าหลิงเยว่
ผู่ตานภูมิใจในตัวเอง
“ว้าว! ศิษย์พี่สี่ ท่านยอดเยี่ยมที่สุดเลยเจ้าค่ะ!”
การจ้องมองอย่างชื่นชมของหลิงเยว่ทำให้ผู่ตานพึงพอใจมาก แต่แม้ว่านางจะน่าเอ็นดูสักเพียงใด เขาก็จะไม่มอบสมุนไพรวิญญาณให้นางเด็ดขาด แค่เขาช่วยล่าสัตว์อสูรก็ถือเป็นการแสดงน้ำใจอย่างยิ่งแล้ว
ความตื่นเต้นอยู่ไม่นานนักก็สลายหายไปอย่างฉับพลัน เมื่อสมุนไพรวิญญาณหายไปต่อหน้าต่อตา หัวใจของหลิงเยว่ก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“ศิษย์พี่สี่…” หลิงเยว่รู้สึกผิดหวังอย่างแรงและพยายามปลุกเร้าความสงสารของผู่ตาน
น่าเสียดายที่ชายหนุ่มรูปงามไม่หวั่นไหวเลย ซ้ำยังเปลี่ยนเป็นเย็นชาและโหดเหี้ยม
“ไม่! ข้าได้พวกมันมาด้วยความสามารถของข้า”
นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงเยว่ได้ยินอันธพาลที่ปล้นของจากคนอื่นพูดอย่างภาคภูมิใจ เปลี่ยนคำจากการปล้นผู้อื่นให้ดูเป็นสิ่งชอบธรรม เช่นได้มันมาด้วยความสามารถตัวเองงั้นหรือ!
“ศิษย์พี่สี่ ท่านช่วยพาข้าไปด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ”
ผู่ตานรู้สึกขบขันกับรอยยิ้มที่ประจบประแจงของหลิงเยว่
“ก็ได้ แต่ข้าจะไม่ช่วยเจ้าลงมือ อย่างมากที่สุดข้าจะชี้แนะบางอย่างแก่เจ้าเท่านั้น”
พูดอีกนัยหนึ่งคือปล่อยให้นางไปปล้นคนเดียวหรือ?
ทว่าเทียบระหว่างการปล้นและการหลงเข้าไปในแดนมายา แน่นอนว่าหลิงเยว่เลือกอย่างแรก ต้องลองก่อน และถ้าไม่ได้ผลก็ค่อยไปหาเอาเอง
ฝูงสัตว์อสูรได้เคลื่อนตัวออกไปจากที่นี่แล้ว และหลิงเยว่ก็เต็มไปด้วยพลังพร้อมต่อสู้
“มีคนกำลังมา”
ผู่ตานหลบซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ ปล่อยให้หลิงเยว่อยู่ตามลำพัง เพื่อเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามชุดสีน้ำเงินสามคนที่กำลังเข้ามาหานาง
ลืมเรื่องที่อีกฝ่ายมีสามคนไปได้เลย นางไม่สามารถมองเห็นระดับการบำเพ็ญของอีกฝ่ายได้สักคนด้วยซ้ำ ถ้านางไม่หนีในตอนนี้จะรอให้ถูกปล้นก่อนหรือ?
หลิงเยว่วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเล ทำให้ผู่ตานผู้ซึ่งซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลพูดไม่ออก
หืม แบบนี้ยังอยากปล้นผู้อื่นอีกหรือ?
ผู่ตานหัวเราะด้วยความโกรธ อีกฝ่ายมันก็แค่สองคนที่อยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นแปด ส่วนอีกคนหนึ่ง… เป็นคนที่เขาเองก็มองไม่เห็นระดับเช่นกัน แต่คาดว่าน่าจะอยู่ในขั้นเก้า เพราะตัวเขาตอนนี้ระดับถดถอยมาอยู่ที่ขั้นแปด… เอ่อ… เยอะไปหน่อยเสียแล้ว…
ผู่ตานซึ่งบ่นหลิงเยว่ในใจตอนแรกก็วิ่งหนีตามไปเช่นกัน
สู้ไม่ได้ สู้ไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละ!
ร่างสีแดงวิ่งผ่านหลิงเยว่ไป และไม่นานนักระยะห่างระหว่างทั้งสองก็ค่อนข้างกว้าง
หลิงเยว่ “!!!”
ศิษย์พี่สี่วิ่งหนีไปแบบนี้มันเป็นการพิสูจน์อย่างดีว่าสามคนที่อยู่ข้างหลังต้องแข็งแกร่งกว่าเขา! เห็นเช่นนี้หลิงเยว่ก็รีบหยิบซาลาเปาย่างก้าววายุออกมายัดเข้าปากทันที
“นังผู้หญิงเขียวตัวเหม็นอยู่นั่น! ต่อให้นางถูกเผาเหลือแต่เถ้า ข้าก็จำนางได้!”
ฮึ่ม เจ้าสิเขียว!
หลิงเยว่รู้ทันทีว่าใครวิ่งตามข้างหลังนางโดยต้องไม่หันกลับไปมอง เป็นผู้บำเพ็ญชุดสีน้ำเงินที่ถูกนางปล้นไม่ใช่หรือ?
ชายคนนี้ช่างไร้ยางอายจริง ๆ แค่เผชิญหน้ากับคนที่อยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นห้ากลับไปขอผู้ช่วยมาอีกถึงสองคน!
“ไอ้คนบ้าผู่ตานก็อยู่ที่นี่ด้วย!”
“เร็วเข้า อย่าให้เขาหนีไปได้!”
ในขณะเดียวกันมีผู้บำเพ็ญอีกกลุ่มหนึ่งล้อมรอบเป็นรูปพัดต่อหน้าทางด้านซ้าย หลิงเยว่ที่ต้องการเรียกหาผู่ตานเพื่อขอความช่วยเหลือก็รีบปิดปากแน่น กลัวคนอื่นรู้ว่านางมีความเกี่ยวข้องกับชายหนุ่มคนนี้ซึ่งมีศัตรูมากกว่านางสิบเท่า!
เมื่อมีผู้ไล่ตามทั้งข้างหน้าและข้างหลัง หลิงเยว่จึงเปลี่ยนทิศทาง ในปากของนางมีซาลาเปาอยู่เต็มลูกจนกลืนลำบาก ความเร็วของนางเร็วมากจนแทบจะเทียบได้กับความเร็วของผู้บำเพ็ญขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเก้า
นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงเยว่หวังว่าจะได้เจอแดนมายาข้างหน้าอีกสักแห่ง เพื่อที่นางจะได้เข้าไปหลบได้!
เร็วเข้าสิไอ้เจ้าบ้ามิติลับ ข้ารู้ว่าเจ้าทำได้!
ทันใดนั้นพลันมีมือวางบนไหล่ของหลิงเยว่
“เปรี้ยง!”
หลิงเยว่ฟาดแส้ไฟไปที่มือนั่นทันที
“วิ่งต่อไป”
หลิงเยว่ถูกล้อมกรอบ มีกำแพงน้ำขวางอยู่ด้านหลังนาง ทั้งยังมีผู้บำเพ็ญทั้งทางซ้าย ขวา และตรงหน้า ทุกคนล้วนมีระดับการบำเพ็ญสูงกว่านาง มิหนำซ้ำแดนมายาที่คาดหวังไว้ก็ไม่ปรากฏ
สถานการณ์ช่างเลวร้ายจริง ๆ
ไม่! นางต้องดิ้นรนอีกครั้ง
ผู้บำเพ็ญทั้งสามพับแขนเสื้อแล้วมองไปที่หลิงเยว่ซึ่งเป็นเหมือนสัตว์ที่ติดกับอยู่
“มอบถุงเก็บของมาแล้วเจ้าจะไม่ถูกทุบตี!”
“ไม่ได้! ถ้าไม่ทุบตีนาง ข้าก็เหมือนถูกเตะเปล่า ๆ น่ะสิ!” ผู้บำเพ็ญในชุดสีน้ำเงินอดถูบั้นท้ายตัวเองไม่ได้ ยังมีรอยเท้าอยู่ตรงนั้น เขาไม่เต็มใจปล่อยเด็กสาวคนนี้ไปง่าย ๆ
“เอาละ ข้าจะให้เจ้าระบายความโกรธก็ได้แต่อย่าโหดร้ายเกินไป เพราะไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นนักกลั่นโอสถ”
พวกเขาเริ่มหารือกันแล้วว่าจะจัดการกับนางอย่างไร ซึ่งไม่ทันได้ระวังตัวกันเลย!
ทันใดนั้นพื้นดินใต้ฝ่าเท้าผู้บำเพ็ญทั้งสามก็แตกร้าว
“ลูกไม้กระจอก!”
พวกเขาทั้งสามกระโดดออกจากรอยแยกในเวลาเดียวกัน แต่สิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดก็คือพริบตาต่อมามีเถาวัลย์สามเส้นพันรอบข้อเท้าของพวกเขาทันที โดยพยายามดึงเข้าไปในรอยแยก
หลิงเยว่ซึ่งหมกมุ่นอยู่กับการควบคุมเถาวัลย์สามเส้นมีเหงื่อออกบนหน้าผาก นางไม่ได้สังเกตเลยว่ากำแพงน้ำที่อยู่ข้างหลังนางได้กลายรูปลักษณ์เป็นหัวปลาที่อ้าปากกว้าง และมันก็กำลังก้มลงมากัดนาง
แผ่นค่ายกลถูกโยนไปใส่หัวปลาโดยหลิงเยว่ และร่างของนางก็ถูกปกคลุมไปด้วยม่านพลังป้องกันโปร่งใส
“มีของดีเยอะจริงนะ!”
ผู้บำเพ็ญที่ล้มเหลวในการลอบโจมตีสลายหัวปลาออกไป ก่อนเตะเถาวัลย์ที่เปราะบางจนขาดสะบั้น เขาไม่สามารถซ่อนความโลภในดวงตาของเขาได้
นักกลั่นโอสถเป็นหนึ่งในอาชีพที่ร่ำรวยที่สุดจริง ๆ ไม่รู้เลยว่าเด็กสาวคนนี้มีของดี ๆ อะไรอีกบ้าง!
หลิงเยว่นั่งอยู่ในแผ่นค่ายกลป้องกันและไม่ตอบกลับ
นางมีของมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคืออาวุธวิญญาณที่สามารถจัดการกับคนเหล่านี้ได้ แต่หลิงเยว่ยังไม่รู้ว่าจะใช้มันอย่างไร นางควรจะศึกษามันอย่างรอบคอบก่อนที่จะใช้มันจัดการทั้งสามคนนี้!
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะยอมมอบถุงเก็บของให้ การทำเช่นนั้นมันต่างกับการฆ่านางตรงไหนกัน?