ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 505 วิธีหนีตาย
บทที่ 505 วิธีหนีตาย
ร่างหลักของหลิงเยว่ที่ถูกระบบยืมไปยิ่งมืดมิดลงไปอีก ในโลกที่มืดสนิทมองไม่เห็นอะไรเลย โชคดีที่แม้ตาจะบอด แต่ยังคงได้ยินอยู่ เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าที่กระหน่ำลงมาบนพื้นดิน ทำให้รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจากพื้นดินได้
แต่หลิงเยว่ไม่ได้ยินเสียงของต้นไม้ครึ่งปีศาจ และไม่รู้ว่ามันส่งร่างหลักทั้งหมดขึ้นไปยังแดนเทพแล้วหรือยัง…
คงเป็นไปไม่ได้ บางทีมันอาจกำลังยุ่งอยู่กับการดูดซับพลังแห่งความตาย เพราะพลังแห่งความตายในแดนเทพนั้นบำรุงร่างกายได้ดีกว่าในโลกผู้บำเพ็ญเซียนมาก
หลิงเยว่ที่ถูกบีบอัดอยู่ในมุมหนึ่ง นางรู้สึกได้ว่าร่างหลักกำลังหดตัวลง!
“ระบบ เจ้าจะทำอะไร?”
[หนีตาย]
เหมือนกับที่หลิงเยว่รู้สึก ต้นไม้มรกตที่ครอบคลุมพื้นที่หนึ่งในสามของโลกผู้บำเพ็ญเซียนกำลังหดตัวลงอย่างรวดเร็ว
“แล้วโลกผู้บำเพ็ญเซียนล่ะ? ไม่ช่วยเทพสวรรค์แล้วหรือ? แล้วโม่จวินเจ๋อล่ะ…”
ระบบพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
คนที่เรียกระบบออกมาช่วยคือหลิงเยว่เอง แต่ตอนนี้นางไม่อยากให้ระบบออกมาแล้ว!
แกล้งตายต่อไปไม่ได้หรือ!?
“เช่นนั้นข้าขอถามหน่อย เจ้าจะพาข้าหนีไปที่ใดกัน?” หลิงเยว่ถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกแปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นคือ วิญญาณที่ซ่อนอยู่ในร่างกายตอนนี้กลับหายไปหมดสิ้น หรือว่า… ถูกร่างเดิมดูดซับไปโดยไม่ตั้งใจ?
หรือไม่ก็เป็นเพราะระบบ…
[ข้าไม่สนใจพวกมันหรอก] ระบบตอบ
หลิงเยว่ “…”
แล้ววิญญาณล่ะ!?
ระบบไม่ได้ตอบหลิงเยว่ แต่กลับทำให้ต้นไม้เล็กลงไปอีก ไม่รู้ว่าจะต้องเล็กลงถึงระดับไหนจึงจะหนีได้
“โลกเบื้องบนและแดนเทพล่มสลายไปแล้ว โลกเบื้องล่างยังพอมีทางรอดอยู่หรือไม่?”
โลกผู้บำเพ็ญเซียนและแดนเทพกลายเป็นดินแดนแห่งความตายอย่างแน่นอนแล้ว ตอนนี้หลิงเยว่ไม่มีวิธีแก้ไขอะไรได้ ได้แต่หวังเล็ก ๆ ว่าระบบจะมีวิธีช่วยโลกผู้บำเพ็ญเซียนได้บ้าง
[มี]
ระบบไม่ได้ถอนรากฐานอันใหญ่โตของโลกผู้บำเพ็ญเซียนกลับ ส่วนที่เล็กลงมีเพียงลำต้น กิ่งก้านและใบไม้เท่านั้น ส่วนรากยังคงงอกออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ
“จะพาโลกผู้บำเพ็ญหนีไปด้วยกันหรือ?”
ดวงตาของหลิงเยว่เปล่งประกาย สมแล้วที่เป็นระบบ!
แต่หากนางหนีไป โม่จวินเจ๋อจะทำอย่างไรเล่า?
ตอนนี้ท้องฟ้าระหว่างแดนเทพและโลกผู้บำเพ็ญเซียนถูกทำลายลงแล้ว หลิงเยว่พยายามเรียกหาโม่จวินเจ๋อ น่าเสียดายที่ไม่มีการตอบรับ
แต่หลิงเยว่รู้สึกได้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่แน่นอน!
เป็นไปตามที่หลิงเยว่รู้สึกจริง ๆ โม่จวินเจ๋อยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่ใกล้จะไม่ไหวแล้ว
กิ่งไม้ที่งอกขึ้นมาอย่างฉับพลันทำให้วิญญาณร้ายบางส่วนไม่ทันตั้งตัว ถูกกิ่งไม้แทงทะลุร่างแล้วถูกดูดพลังจนกลายเป็นศพแห้งที่ตายตาไม่หลับ
ในวินาทีที่ต้นไม้กึ่งปีศาจปรากฏตัว วิญญาณร้ายทั้งหมดต่างจ้องไปที่นาง
โม่จวินเจ๋อฉวยโอกาสนี้ลากร่างที่บาดเจ็บสาหัสเดินโซเซออกไป
ร่างกายของเขาแทบไม่เหลือชิ้นดี เสื้อคลุมยาวสีดำถูกฉีกขาดเป็นริ้ว ๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่แม้แต่หลิงเยว่ก็คงจำไม่ได้
บาดแผลปกคลุมด้วยพลังมืดสีดำสนิท ส่งเสียงซู่ซ่า คล้ายกับเสียงเนื้อย่างเสียบไม้ที่หลิงเยว่เคยย่างในตลาดนอกสำนักหลานเทียน เพียงแต่เนื้อย่างเสียบไม้นั้นหอม แต่บาดแผลที่ถูก ‘เผา’ ด้วยพลังมืดนี้กลับส่งกลิ่นเหม็น
โม่จวินเจ๋อสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่เจ็บปวด เขาใช้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีรอยบิ่นหลายแห่งเฉือนเนื้อของตนทิ้ง
เสี่ยวจินที่อยู่ในหัวใจของเขาแผ่แสงสีทองออกมารักษาบาดแผลเหล่านั้น อาจไม่ได้ผลนัก แต่ยังพอทุเลาความเจ็บปวดได้
โม่จวินเจ๋อหันไปมองต้นไม้กึ่งปีศาจที่กำลังต่อสู้กับวิญญาณร้าย ในเมื่อนางขึ้นมาได้ แล้วหลิงเยว่เล่า…
ความเสียหายที่พวกวิญญาณร้ายก่อนั้นมหาศาลเกินไป หลิงเยว่ไม่อาจขึ้นมาได้ และไม่อาจให้พวกวิญญาณร้ายบุกเข้าสู่โลกผู้บำเพ็ญเด็ดขาด!
ดวงตาของโม่จวินเจ๋อมีประกายลึกลับวาบผ่าน ไม่รู้ว่าพลังมาจากที่ใด ฝีเท้าที่เดิมโซเซกลับมั่นคงพร้อมความเร็วที่เพิ่มขึ้น
ทุกย่างก้าวของเขาทิ้งรอยเท้าไว้บนพื้น รอยเท้าดูเหมือนไร้ระเบียบ แต่กลับเชื่อมต่อกันเป็นเส้น ๆ โม่จวินเจ๋อก้าวเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ริมฝีปากบางที่เคยมีสีชมพูจาง ๆ กลับเปลี่ยนจากสีขาวซีดเป็นสีดำจาง เมื่อรวมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผล ดูแทบไม่ต่างจากวิญญาณร้าย
ไม่สิ ดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าวิญญาณร้ายเสียอีก!
รอยเท้าครอบคลุมพื้นที่หนึ่งในสามของแดนเทพแล้ว โม่จวินเจ๋อทำได้เพียงเท่านี้ เขาล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง พยายามยกมือทั้งสองขึ้น เพื่อทำขั้นตอนสุดท้ายของการสร้างค่ายกล
“ใช้ร่างเป็นดวงตา ผนึกค่ายกลกักขัง!”
รอยเท้าเปล่งแสงสว่าง ไขว้กันไปมาบนท้องฟ้า แผ่ขยายออกไปจนครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด
ที่นี่คือทางขึ้นของต้นไม้กึ่งปีศาจ ค่ายกลระดับศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจควบคุมต้นไม้กึ่งปีศาจ แต่สามารถหยุดยั้งวิญญาณร้ายไม่ให้บุกเข้าสู่โลกเบื้องล่างได้ชั่วคราว
หวังว่าหลิงเยว่จะฉวยโอกาสนี้พาโลกแห่งการบำเพ็ญหนีไปได้
ร่างของโม่จวินเจ๋อที่กลายเป็นจุดศูนย์กลางของค่ายกลสว่างวาบและมืดลงสลับกันไปมา ขณะที่เงาร่างของเขากำลังจะหายไปนั้น ใบไม้สีเขียวมรกตจำนวนมากได้ลอดผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งก้านของต้นไม้กึ่งปีศาจขึ้นมา พวกมันข้ามผ่านไอสังหาร ไม่สนใจกิ่งไม้สีเทาทะมึนที่แผ่กิ่งก้านออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัวแล้วทะลุผ่านค่ายกลเข้าไปหาร่างของชายผู้นั้นที่กำลังจะหายไป
ใบไม้สีเขียวมรกตในฝ่ามือของโม่จวินเจ๋อวูบหายไปในพริบตา กลุ่มใบไม้สีเขียวที่หลอมรวมเข้ากับร่างของเขาก็หายไปเช่นกัน
[สายตาของเจ้าไม่เลวเลย]
เสียงของระบบดังขึ้นอย่างกะทันหันทำให้หลิงเยว่ตกใจ นางสงสัยว่าเขาคงจะพบว่านางแอบหักกิ่งใบไม้สีเขียวมรกตไปหนึ่งกิ่งและส่งพวกมันขึ้นไปหาโม่จวินเจ๋อแล้วกระมัง?
“หากสายตาของข้าดีจริง ข้าคงไม่มาพบเจ้าหรอก” หลิงเยว่แซะ
ระบบไม่ได้โกรธ เขาไม่คิดว่าคนที่หลิงเยว่ส่งขึ้นไปตายนั้นกลับไม่ตาย แถมยังช่วยให้พวกเขามีเวลาหนีได้อีกนิดหน่อย
เมื่อปลอดภัยแล้ว จะต้องช่วยเหลือเขาเป็นคนแรกแน่นอน
แน่นอนว่าเงื่อนไขคือ ตอนนั้นโม่จวินเจ๋อยังมีชีวิตอยู่ และวิญญาณที่เหลืออยู่ยังไม่ถูกไอสังหารกัดกร่อน
ในขณะที่ต้นไม้เขียวมรกตหดตัวลงสู่พื้นดินของโลกผู้บำเพ็ญเซียนสำเร็จ ศีรษะของคนผู้หนึ่งก็โผล่ออกมาจากท้องฟ้าที่แยกออก ดวงตาสีดำสนิทของเขามีประกายสีเขียวมรกตวาบผ่านไป
ช่างเป็นกลิ่นอายแห่งชีวิตที่เข้มข้นเหลือเกิน!
แสงแห่งความโลภในดวงตาของวิญญาณร้ายเบ่งบาน
ร่างของมันพุ่งจากฟากฟ้าลงมายังจุดที่อยู่นอกขอบเขตค่ายกลกักขังระดับศักดิ์สิทธิ์ที่โม่จวินเจ๋อวางไว้
เมื่อวิญญาณร้ายตนหนึ่งปรากฏตัว ตนที่สองจะอยู่ไกลไปได้อย่างไร?
วิญญาณร้ายตนที่สองไล่ตามรอยเท้าของตนแรกอย่างรวดเร็ว ตนที่สามดูเหมือนจะได้กลิ่นชีวิตอันน่าตื่นเต้นจากพลังแห่งความตายที่แผ่ไปทั่วฟ้า
วิญญาณร้ายตนที่สี่ก็โผล่หน้าออกมาแล้ว…
ในไม่ช้า จำนวนวิญญาณร้ายที่เข้ามาในโลกผู้บำเพ็ญเซียนยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ
………………..
เ