ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 507 นางกล้าคิดจริง ๆ!
บทที่ 507 นางกล้าคิดจริง ๆ!
หลิงเยว่สงบสติอารมณ์ ข่มความรู้สึกอยากทุบตีภูตตรงหน้าไว้ การเดินทางไปยังดินแดนมรณะภายในพันปี ตอนนั้นโม่จวินเจ๋อคงไม่รู้ว่าเกิดใหม่ไปกี่ครั้งแล้ว โอ้! คาดว่าเขาคงเกิดใหม่ไม่ได้ด้วยซ้ำ! อาจกลายเป็นวิญญาณ บางทีอาจได้เป็นราชาวิญญาณหรืออะไรทำนองนั้น…
ราชาวิญญาณฟังดูยิ่งใหญ่นัก นางนึกภาพโม่จวินเจ๋อในฐานะ ‘ราชาวิญญาณ’ รวมสามโลกเข้าด้วยกัน มีต้นไม้กึ่งปีศาจที่ทรงพลังคอยช่วยเหลือ ใครเล่าจะสู้พวกเขาได้!
ระบบที่บังเอิญได้ยินความคิดของหลิงเยว่ “…”
มันไม่เคยรู้สึกอึ้งเช่นนี้มาก่อน
นางกล้าคิดจริง ๆ!
“หากเจ้าต้องการ พวกข้าสามารถนำทางไปยังดินแดนมรณะได้ ค่าตอบแทนเพียงแค่…”
“ไม่จำเป็น!”
ยังไม่ทันที่ภูตตนนั้นจะพูดจบ หลิงเยว่รีบขัดขึ้นอย่างไม่พอใจ นางไม่ได้เป็นโรคสักหน่อย หากต้องใช้เวลาพันปี สู้ทำตามที่ระบบบอก แล้วจ้างผู้แข็งแกร่งจากกองทัพหลาย ๆ กองไปช่วยโม่จวินเจ๋อดีกว่า
กลุ่มภูตม่วงต่างผิดหวัง พวกเขากลายร่างเป็นดอกไม้ทะเลสีม่วงอีกครั้ง ก่อนจากไปยังไม่ลืมที่จะชักชวนว่า หากหลิงเยว่เปลี่ยนใจสามารถตามหาพวกเขาได้ตลอด
โลกแห่งการบำเพ็ญที่ถูกล้อมด้วยตาข่ายสีเขียวมรกตดูเล็กจิ๋วท่ามกลางทะเลดอกไม้สีม่วง
“ศิษย์น้องหลิง พวกเราออกไปดูข้างนอกได้ไหม…” ลู่เป่ยเหยียนเกาะตาข่ายสีเขียวมรกต มองมาด้วยดวงตาเต็มไปด้วยความปรารถนา
ตาข่ายสีเขียวมรกตเปิดออก ลู่เป่ยเหยียนกลายเป็นคนที่สองต่อจากหลิงเยว่ที่ได้ย่ำบนทะเลดอกไม้สีม่วง แม้ท่าทางจะไม่ค่อยสวยงาม แต่ในตอนนี้เขารู้สึกดีอย่างยิ่ง!
ทุกสิ่งนอกโลกแห่งการบำเพ็ญช่างงดงาม แม้แต่ดอกไม้สีม่วงเล็ก ๆ ตรงหน้ายังสวยงามและหอมกรุ่น
คนอื่น ๆ รวมถึงผู่ตานและเล่อเหอที่ถูกใบไม้สีเขียวม้วนไว้ก็ถูกปล่อยออกมา เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นในโลกแห่งการบำเพ็ญตกใจ หลิงเยว่ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วตัดสินใจว่าจะปล่อยคนหนังกระดาษออกมาด้วย
“โอ้ บ้านเรือนพวกนั้นช่างเล็กจริง ๆ!”
“ดูเหมือนว่า… พวกเราก็ตัวเล็กลงด้วย…” อาจารย์ใหญ่มองมือตัวเองอย่างงุนงง
“หืม…?”
“ดูนางสิ” ลู่เป่ยเหยียนสะกิดอวี้เจิน แล้วชี้ไปที่หลิงเยว่หัวโล้นที่สูงเท่าดอกไม้สีม่วง ตอนนี้นางดูตัวเล็กจิ๋วยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
หลิงเยว่หัวโล้นเม้มปากอย่างไม่พอใจ แต่เดิมนางไม่พอใจที่ตนเองเป็นคนเตี้ยที่สุดในกลุ่มอยู่แล้ว ตอนนี้ไม่เพียงแต่ไม่สูงขึ้นกลับยิ่งตัวเล็กลงไปอีก
“นี่… คงจะกลับเป็นเหมือนเดิมได้ใช่ไหม?”
เล่อเหอที่กลายเป็นคนแคระทันทีราวกับถูกฟ้าผ่า โลกนอกสามภพช่างน่าอัศจรรย์เช่นนี้หรือ?
“เพียงออกจากทะเลสีม่วงก็จะกลับเป็นเหมือนเดิมได้”
ระบบเคยบอกหลิงเยว่ไว้แล้วว่าสิ่งมีชีวิตและโลกที่เข้าสู่ทะเลสีม่วงจะหดเล็กลง เพื่อหลีกเลี่ยงการครอบครองพื้นที่มากเกินไป
ทะเลสีม่วงเป็นหนึ่งในสถานที่ให้พักชั่วคราวที่มีชื่อเสียงในดินแดนว่างเปล่า
เหตุผลที่ระบบมาที่นี่ ไม่เพียงแต่สามารถพักอาศัยชั่วคราวได้ ยังมีผู้เช่าจากโลกอื่น ๆ อีกมากมาย สะดวกสำหรับหลิงเยว่ที่จะแสดงฝีมือและกอบโกยเงินทองอะไรทำนองนั้น
“ยังกลับเป็นเหมือนเดิมได้หรือ? ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว…”
กลุ่มคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นจึงเริ่มสำรวจร่างกายที่เล็กลงของตนเองด้วยความตื่นเต้น
หรือว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่?
จากนั้นนางก็เดินมาหาหลิงเยว่หัวโล้นด้วยความรู้สึกประหม่าเล็กน้อย แม้ว่าพวกนางจะเข้าใจ แต่ในความเป็นจริงนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เผชิญหน้ากัน
หลิงเยว่เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเคอะเขิน “สวัสดี…”
หลิงเยว่ร่างเล็ก “…”
“ข้าไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่”
คราวนี้หลิงเยว่กลับเงียบไป นางควรตอบอย่างไรดี?
“เจ้าทำให้ข้าโตเร็ว ๆ หน่อยได้หรือไม่?”
“ข้าไม่มีแสงสีทองมากมายเช่นนั้น”
หลิงเยว่ตัวน้อยต้องการเติบโต จำเป็นต้องได้รับแสงทองบุญกุศลให้เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจแห่งชีวิต ลมหายใจของเทพ ลมหายใจของเซียน ลมหายใจของปีศาจ รวมถึงลมหายใจแห่งความตายล้วนไร้ประโยชน์สำหรับนาง
“เจ้าช่วยผู้คนไว้ จะไม่มีได้อย่างไร!” หลิงเยว่หัวโล้นไม่เชื่อ
“เจ้าก็รู้ว่า อีกครึ่งของพวกเราก่อกรรมไว้มากเพียงใด…”
ดังนั้นแม้จะช่วยผู้คนทั้งภพ และนำสิ่งมีชีวิตที่ยังคงอยู่รอดออกมาจากโลกผู้บำเพ็ญเซียน ก็ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยบาปกรรมที่ต้นไม้ครึ่งปีศาจก่อไว้ อีกทั้งนางยังติดหนี้อยู่ด้วย
หลิงเยว่ทั้งสองต่างเงียบงัน
แม้จะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของทั้งสองนัก แต่คนอื่นก็พลอยเงียบไปด้วย
“ศิษย์น้อง แล้วโม่จวินเจ๋อเล่า?”
ผู่ตานมองซ้ายมองขวาอยู่นาน ไม่เห็นร่างของโม่จวินเจ๋อ เอ่ยถามขึ้น
เล่อเหอหูผึ่งขึ้นมาทันที ที่จริงเขาอยากถามมานานแล้ว แต่กลัวได้ยินคำตอบที่ไม่อยากฟัง จึงอดทนเอาไว้
“เขายังอยู่ในแดนเทพ ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่…” พอพูดถึงตรงนี้ หลิงเยว่รู้สึกละอายใจยิ่งนัก นางไม่กล้ามองเล่อเหอด้วยซ้ำ
ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนส่งโม่จวินเจ๋อเข้าสู่แดนเทพเอง แม้ตอนนั้นนางจะไม่รู้ว่าแดนเทพได้กลายเป็นโลกวิญญาณไปแล้ว แต่มันยังเกี่ยวข้องกับนางอยู่ดี
ก่อนหน้านี้พวกเขายังต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันอยู่เลย โม่จวินเจ๋อเข้าไปในแดนเทพ ไม่สิ โลกวิญญาณแห่งความตายได้อย่างไร?
“ใช่แล้ว ที่นั่นเต็มไปด้วยวิญญาณ ดังนั้นข้าจึง…”
หลิงเยว่ก้มหน้า คำพูดที่เหลือไม่ได้เอ่ยออกมา ระหว่างโลกผู้บำเพ็ญกับโม่จวินเจ๋อ นางเลือกโลกผู้บำเพ็ญ
แม้จะเป็นระบบที่เลือกแทนนาง แต่หากให้นางเลือกเอง หลิงเยว่ก็จะเลือกแบบนี้เช่นกัน
“ไม่ต้องรู้สึกผิดไปหรอก” เล่อเหอตบไหล่หลิงเยว่เบา ๆ “เขาจะต้องเข้าใจ”
“เขาจะทนได้อีกนานแค่ไหน? พวกเราไปช่วย…” ลู่เป่ยเหยียนพูดได้เพียงครึ่งประโยค ด้วยพลังของเขาที่ยังไม่ถึงขอบเขตบำเพ็ญเต๋า จะไปช่วยได้อย่างไร?
แม้แต่คุณสมบัติในการเข้าสู่โลกผู้บำเพ็ญเซียนยังไม่มี แล้วจะพูดถึงแดนเทพได้อย่างไร?
“เขาน่าจะทนได้อีกสักพัก พวกเราตั้งหลักที่นี่ก่อนเถอะ”
“จะไปช่วยคนหรือ? ข้าช่วยได้นะ!” ภูตสีม่วงที่เพิ่งจากไปกลับมาอีกครั้งด้วยดวงตาเป็นประกาย
“เจ้าไม่ได้บอกหรือว่ามีแต่สิ่งไร้ชีวิตเท่านั้นที่จะจัดการกับสิ่งไร้ชีวิตได้?” หลิงเยว่มองด้วยหางตา
“ใช่แล้ว แต่ในความว่างเปล่าทั้งหมดไม่ได้มีแค่ดินแดนมรณะที่มีสิ่งไร้ชีวิตทรงพลัง ทะเลสีม่วงของเราก็มีเช่นกัน!”
เขาขยิบตาให้หลิงเยว่อย่างซุกซน “ขอเพียงไม่ใช่การกำจัดวิญญาณทั้งหมด แค่ช่วยคนสองสามคนพวกเขาก็ช่วยได้”
“เจ้าพูดจริงหรือ?!” หลิงเยว่คว้าข้อมือเล็ก ๆ ของภูตตนนั้นโดยไม่รู้ตัว
“แน่นอน! จะให้ข้าช่วยติดต่อให้ไหม?”
ภูตผมสั้นแสดงออกอย่างชัดเจน หลิงเยว่จึงหยิบลมหายใจแห่งชีวิตขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองออกมาอีกหนึ่งเม็ด
“พอหรือไม่?”
“อืม อืม อืม!”
ภูตผมสั้นพยักหน้ารัว แม้ปกติแล้วเม็ดเท่านี้คงไม่เพียงพอ แต่ใครจะไปคาดคิดว่าลมหายใจแห่งชีวิตนี้จะบริสุทธิ์ที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเห็นมา!
………………..