ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 518 ทั้งตัวเต็มไปด้วยปาก?!
บทที่ 518 ทั้งตัวเต็มไปด้วยปาก?!
หลิงเยว่หยิบมีดทำครัวขนาดใหญ่ที่ทำจากลำต้นออกมา แต่เมื่อวางไว้ข้าง ๆ ซากงูว่างเปล่า กลับดูเล็กนิดเดียว
“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะใช้ของเล่นนั่นหั่นเนื้องู?” หากกุ่ยเอ้อร์มีใบหน้า ตอนนี้มุมปากมันคงกระตุกไม่หยุด หญิงผู้นี้ดูไม่น่าไว้วางใจเอาเสียเลย
“ใช่สิ ทำไมหรือ?” หลิงเยว่ยังแสดงลีลาการหมุนมีดไม้ต่อหน้าวิญญาณทั้งสอง กล้าดูถูกมีดไม้ของนางงั้นหรือ? รอดูให้ดีแล้วกัน!
มีดเล็ก ๆ บินไปหยุดอยู่ตรงหน้าหัวงูแล้วถูกเหวี่ยงไปอีกครั้ง หัวที่ใหญ่กว่าร่างวิญญาณผีสองตนและคนหนึ่งคนรวมกันก็กลิ้งตกลงมา…
สองผี “!!!”
มีดอะไรคมถึงเพียงนี้?
กุ่ยอีเอาแขนเสื้อคว้ามีดมา แล้วเพ่งมองอย่างตั้งใจ รูปทรงแปลกตาทำจากไม้ ส่วนที่เหลือก็ธรรมดาทั่วไป ไม่เห็นมีอะไรแปลกประหลาดเป็นพิเศษ
“นี่เป็นไม้แบบไหนกัน?” กุ่ยเอ้อร์แย่งมาดู ทั้งมองทั้งดมแต่ก็ไม่เห็นอะไรเป็นพิเศษเช่นกัน
“ข้าไม่รู้ นี่เป็นสิ่งที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษน่ะ” หลิงเยว่แสดงสีหน้าจริงใจ ไม่มีร่องรอยให้ผีทั้งสองเห็นว่านางกำลังโกหกเลย
กุ่ยเอ้อร์คืนมีดทำครัวให้แก่หลิงเยว่
หากเป็นแต่ก่อน พวกเขาคงแย่งชิงมันไปแล้ว แต่ตอนนี้กุ่ยซื่อสำคัญกว่า อีกอย่างมีมีดทำครัวเล่มนี้ หลิงเยว่อาจจะทำอาหารให้กุ่ยซื่อกินได้วันละยี่สิบมื้อ พวกเขาทั้งสามอาจจะได้แอบกินเศษอาหารที่เหลือบ้าง
นางยังไม่รู้ความคิดของวิญญาณผีทั้งสองตน แต่หลิงเยว่ก็สั่งการให้มีดชำแหละงู ถลกหนัง ถอดกระดูกและเอาเครื่องในออก…
นกเงาอยากจะโยนหลิงเยว่และงูเน่าทิ้งไปเหลือเกิน ไม่รู้ว่าหลังของมันตอนนี้กลายเป็นอะไรไปแล้ว! ?
แต่นั่นยังไม่พอ ไม่นานนกเงาก็พบว่าหลังของมันไม่เพียงแต่กลายเป็นโต๊ะเตรียมอาหารเท่านั้น แต่กลายเป็นครัวไปแล้วด้วยซ้ำ!
กลิ่นหอมประหลาดลอยออกมาจากหลังของมัน
ชิ้นเนื้อเล็ก ๆ ถูกส่งมาที่ปากของนกเงา “อ้าปากสิ” นกเงาอ้าปากโดยไม่รู้ตัว จากนั้นมันก็ได้กินเนื้องูร้อน ๆ เข้าไป
เมื่อกลืนลงไปเสร็จ เนื้ออีกชิ้นก็ถูกส่งมาที่ปากอีกครั้ง
เนื้องูรสชาติอร่อยช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้า คลายความหงุดหงิด ทำให้นกเงาบินได้เร็วขึ้น!
หลิงเยว่รู้สึกพอใจกับสิ่งนี้มาก นางจึงลูบคอนกเบา ๆ “บินให้เร็วขึ้นหน่อย เดี๋ยวข้าจะให้เจ้ากินอีก”
“พวกเรายังไม่ได้กินอะไรเลย ให้มันกินไปแบบนี้ไม่สิ้นเปลืองหรือ” กุ่ยเอ้อร์มองเนื้องูที่หายไปด้วยความเสียดาย
“จะสิ้นเปลืองได้อย่างไร เจ้าดูสิ ตอนนี้มันบินได้เร็วขนาดไหน!” หลิงเยว่เหลือบมองกุ่ยเอ้อร์อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะนั่งขัดสมาธิบนขนนก รอให้น้ำแกงในหม้อไฟเดือด
นางต้มน้ำแกงด้วยกระดูกงูแล้วใส่เนื้องูลงไป จากนั้นใช้กะโหลกงูเป็นถ้วยน้ำจิ้ม งูตัวนี้น่าจะไม่รู้ตัวสินะว่าตัวเองมีประโยชน์มากมายขนาดนี้
หลิงเยว่ใช้ชิ้นกระดูกงูคีบเนื้อแผ่นบาง ๆ ชิ้นใหญ่ใส่ลงในน้ำแกงสีขาวนวล พอเนื้อเปลี่ยนสีก็รีบยกออกมาจิ้มเครื่องปรุงให้ทั่ว แล้วยัดเข้าปากคำโต
“ข้าไม่จำเป็นต้องเคี้ยวเลย เพียงแค่เอาเข้าปากก็ละลายทันที”
ช่างอร่อยเหลือเกิน! ทั้งนุ่มและสดมากอีกด้วย!
วิญญาณทั้งสองเลียนแบบท่าทางของหลิงเยว่ พวกมันจุ่มเนื้อลงในน้ำแกง จิ้มน้ำจิ้ม แล้วยัดเข้าปาก
“ปากของพวกเจ้าอยู่ตรงไหนกันแน่?”
หลิงเยว่สังเกตวิญญาณทั้งสองเป็นเวลานาน แต่ไม่พบว่าปากของพวกมันอยู่ตรงไหน พวกมันเพียงแค่ยัดอาหารเข้าไปอย่างไร้ทิศทาง
ตอนแรกวิญญาณทั้งสองยัดเข้าไปที่บริเวณ ‘ปาก’ แบบปกติ แต่ตอนนี้พวกมันไม่เพียงแต่ยัดเข้าไปในแขนเสื้อ ในท้อง หน้าอก แม้แต่บริเวณคอก็ยังยัดเข้าไปได้ด้วย ทำเอาหลิงเยว่รู้สึกสับสนไปหมด
พวกชนเผ่าวิญญาณผีนี่มีปากทั้งตัวเลยหรือ?
“พวกข้าไม่มีปาก” เสียงหนึ่งดังขึ้น
“หรือบางทีร่างกายของพวกข้าอาจจะเป็นปากก็ได้”
เมื่อวิญญาณตนแรกพูดจบ กุ่ยเอ้อร์ก็รีบเสริมทันทีเพื่อพิสูจน์ความจริงในคำพูดของตน มันรีบยัดเนื้องูเข้าไปบนหัวอีกครั้ง
หลิงเยว่ “…”
ช่างเป็นโครงสร้างร่างกายที่น่าอัศจรรย์จริง ๆ
ขณะที่วิญญาณทั้งสองกำลังกินอยู่นั้น พวกมันก็แสดงฉากน่าขนลุกอีกฉาก ควันลอยออกมาจากร่างของพวกมัน แล้วค่อย ๆ ละลายหายไป ก่อนจะกลับคืนสู่สภาพเดิม
“พวกเจ้า…?” นางเอ่ยอย่างตะลึงงัน
“พี่ใหญ่ สิ่งที่ท่านพูดเป็นความจริง!” เสียงของกุ่ยเอ้อร์เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ หลังจากที่ได้สัมผัสประสบการณ์การละลายเป็นควันแล้วกลับคืนสู่สภาพเดิม
ช่างสบายอะไรเช่นนี้!
“ข้าคาดว่าถ้าได้กินอีกหลายร้อยมื้อ พวกเราอาจจะ…” หากกุ่ยเอ้อร์มีดวงตา ตอนนี้คงจะเป็นประกายสีเขียว มองนางด้วยสายตาเหมือนกำลังมองสมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอน
หญิงผู้นี้…
“เอ๊ะ หรือว่า… ผู้ครองโลกวิญญาณแห่งความตายที่สี่จะหมายปองหญิงผู้นี้ด้วย?”
“อืม” ประเด็นนี้กุ่ยอีก็ครุ่นคิดเช่นกัน โดยเฉพาะหลังจากได้ลิ้มลองไอศกรีมนั่น ความรู้สึกยังคงติดตรึง
“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าหนีออกมาจากที่นั่นได้อย่างไร?”
เมื่อถูกถามจี้จุด หลิงเยว่กลับส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ ก็… ออกมาแบบนั้นแหละ”
สองวิญญาณ “…”
เชื่อก็บ้าแล้ว!
แต่ดูเหมือนพวกเขาจะประเมินหลิงเยว่ต่ำเกินไป
ในขณะนั้นเอง นกเงาก็ส่งเสียงร้องขึ้นมา
“ใกล้จะถึงแล้วใช่ไหม?” หลิงเยว่รีบยืนขึ้นแล้วมองออกไป เบื้องหน้ามีสิ่งที่คล้ายกับกลุ่มพลังหยินกำลังรวมตัวกันอยู่
“อืม” กุ่ยอีก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้วางชามและตะเกียบลง เขายังคงยืนกินไปด้วย…
กุ่ยเอ้อร์ยิ่งเกินเลยไปกว่านั้น เขาอุ้มหม้อที่ร้อนระอุ แล้วเทน้ำแกงลงไปในท้องของตนราวกับผีที่หิวโหยไม่ได้กินอะไรมาหลายหมื่นปีเลยทีเดียว
หากกุ่ยเอ้อร์ได้ยินเสียงในใจของหลิงเยว่คงจะเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะพวกเขาไม่ได้กินอะไรมานานกว่าหลายหมื่นปี ไม่สิ ไม่ได้กินมาเป็นเวลาหลายแสนปีเลยทีเดียว
ท้ายที่สุดแล้วเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้สึกหิว เพียงแค่ดูดซับพลังงานก็สามารถฝึกฝนได้แล้ว
เมื่อได้ยินคำตอบหัวใจที่ห่อเหี่ยวของหลิงเยว่กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ตลอดทางนางได้คำนวณเวลาจากทะเลสีม่วงมาถึงดินแดนเงาทมิฬ ใช้เวลาถึงสี่เดือนเต็ม!
“จากดินแดนเงาทมิฬไปยังโลกวิญญาณแห่งความตายที่สี่ต้องใช้เวลากี่วัน” นางถาม
“สิบวัน”
หลิงเยว่ขยี้หูตัวเอง คิดว่าหูฝาดไป
กุ่ยอีมองออก จึงอธิบายว่า “ดินแดนเงาทมิฬอยู่ติดกับหกโลกวิญญาณแห่งความตาย”
“แล้วทำไมพวกเจ้าไม่อยู่ในดินแดนเงาทมิฬ แต่กลับ…?” หลิงเยว่ถามอย่างสงสัย
“บางทีอาจเป็นเพราะต้องการพบเจ้าก็ได้” กุ่ยเอ้อร์เสริม
คำพูดของกุ่ยเอ้อร์ ทำให้กุ่ยอีและหลิงเยว่ตกอยู่ในความเงียบพร้อมกัน
เจ้าหนูนี่พูดเก่งใช้ได้เลยนะ!
“ไม่ใช่หรอกหรือ?” กุ่ยเอ้อร์หัวเราะคิกคัก
“เพื่อปกป้องดินแดนเงาทมิฬ พวกข้าจึงหลบหนีผู้ครองโลกวิญญาณแห่งความตายที่หนึ่งออกมา แล้วไปถึงทะเลสีม่วง เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ได้วันเดียว เจ้าภูตน้อยก็พาเจ้ามาเยี่ยมเยียนแล้ว” กุ่ยอีกล่าว “ข้ารู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ลิขิตไว้แล้ว”
เมื่อพูดเช่นนี้ก็จริงอย่างที่ว่า
แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นโชคร้าย แต่ในความโชคร้ายนั้นยังแฝงไว้ด้วยเส้นด้ายแห่งโชคชะตา ทำให้พวกเขาได้พบกับหลิงเยว่ผู้เปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าเช่นนี้
แม้ว่าหลิงเยว่จะฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ในชั่วขณะนั้นนางรู้สึกได้ว่าตัวเองกลายเป็นสิ่งล้ำค่าและหายากยิ่งในสายตาของวิญญาณผีทั้งสองแล้ว