ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 519 พ่ายแพ้ยับเยิน
บทที่ 519 พ่ายแพ้ยับเยิน
ทันทีที่ก้าวเข้าสู่ดินแดนเงาทมิฬ คลื่นพลังเย็นเยียบซัดกระหน่ำจนหลิงเยว่ขนลุกซู่
นางสั่นสะท้านไปทั้งร่าง แน่นอนว่าแปดในสิบส่วนนั้นเป็นการแกล้งทำ ส่วนอีกสองนางรู้สึกได้จริง ๆ ว่าพลังอันเย็นยะเยือกแทรกซึมเข้าถึงกระดูก ทั้งที่เพิ่งก้าวเข้ามายังไม่ทันได้เข้าไปลึกเลยด้วยซ้ำ แต่กลับเย็นเยียบถึงเพียงนี้ หากเป็นคนธรรมดาเข้ามา คงถูกพลังหยินแทรกซึมเข้าร่างแล้วไปพบบรรพบุรุษในทันทีกระมัง
“ช่างอ่อนแอเสียจริง”
วิญญาณตนที่สองเอ่ยด้วยน้ำเสียงรังเกียจ ส่วนวิญญาณตนแรกกลับสร้างปราการป้องกันให้หลิงเยว่ทันที ใบหน้าซีดขาวของนางจึงค่อย ๆ กลับมามีสีสันอีกครั้ง
การแสดงของหลิงเยว่ช่างยอดเยี่ยมนัก วิญญาณตนแรกอดไม่ได้ที่จะชื่นชมในใจ
“ขอบคุณ” หลิงเยว่ยิ้มน้อย ๆ พลางกล่าวขอบคุณวิญญาณตนที่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบเตาย่างออกมา ทันทีที่เปลวเพลิงสีม่วงประหลาดปรากฏขึ้น พลังอำมหิตตลอดเส้นทางก็หลบหลีกไป
“เปลวเพลิงน้อย ๆ นี่ไม่เลวเลย ทำไมไม่เอาออกมาตั้งแต่แรกเล่า?”
วิญญาณตนที่สองพิจารณาเตาย่างอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะอดใจไม่ไหวคว้าเปลวเพลิงประหลาดเอาไว้ แต่เพลิงพิสดารกลับไม่เผาไหม้แขนเสื้อสีดำของเขา ดูเหมือนมันจะเชื่องและว่าง่ายเหลือเกิน ภาพนี้ทำให้หลิงเยว่ที่กำลังจัดการกับงูอยู่รู้สึกไม่ดี เพลิงพิสดารที่ทรงพลังของนางกลับไม่มีผลต่อสิ่งชั่วร้ายตรงหน้าเลยหรือ!
ช่างน่าประหลาดนัก!
“ไม่เลวนี่ แต่ยังเด็กไปหน่อย”
วิญญาณตนที่สองทำเสียงจุ๊ปากเบา ๆ แล้วโยนเปลวเพลิงประหลาดกลับเข้าไปในเตาอบ จากนั้นจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสนใจอย่างยิ่งว่า “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่รึ?”
“ก็เตรียมตัวเข้าไปข้างในน่ะสิ ข้าจะย่างเนื้อนี่ให้วิญญาณตนที่สี่เป็นของขวัญต้อนรับก่อน”
ก่อนหน้านี้หลิงเยว่ได้หมักเนื้องูเป็นชิ้น ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เพียงแค่นำมาย่างก็เป็นอันเสร็จพิธี ง่ายและสะดวก เหมาะกับสถานการณ์ตอนนี้ที่อยู่บนหลังนกเป็นที่สุด เพราะใครเล่าจะมัวเสียเวลาคิดค้นวิธีที่ซับซ้อนเพื่อขับไล่สิ่งเจือปนในพลังหยินให้ได้ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้นกัน?
ความจริงแล้วสิ่งเจือปนในพลังหยินไม่ต่างอะไรกับสิ่งเจือปนในพลังแห่งความตาย ทั้งสองอย่างล้วนเป็นพลังด้านลบ และมีวิญญาณอาฆาตของผู้ที่ตายอย่างทุกข์ทรมานคอยส่งผลกระทบต่อผู้ที่ดูดซึมพลังเหล่านี้เพื่อบำเพ็ญเพียร
ฉ่า!
เนื้องูสีดำอมชมพูถูกวางลงบนตะแกรงย่าง เนื้อหดตัวลงและส่งกลิ่นหอมกรุ่นออกมา
“ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?” วิญญาณตนที่หนึ่งเอ่ยขึ้น รู้สึกพอใจมากกับการปรับตัวของหลิงเยว่ แม้ยังไม่ได้พบกับวิญญาณตนที่สี่ แต่นางก็เริ่มเตรียมอาหารที่สามารถขับไล่สิ่งสกปรกออกจากร่างกายของเขาได้แล้ว เพียงเท่านี้หลังจากจัดการให้นางเรียบร้อย ก็จะเดินทางไปยังโลกวิญญาณแห่งความตายที่สี่เพื่อสืบข่าวคราวของผู้ที่ถูกจับตัวไปให้นางได้อย่างสบายใจ
หลิงเยว่ส่ายหน้า เพื่อความปลอดภัยยังคงไม่ควรให้วิญญาณทั้งสองได้พบกัน หากเนื้องูย่างถูกปนเปื้อนขึ้นมาจะทำอย่างไร?
กลิ่นหอมเย้ายวนของเนื้อทำให้วิญญาณตนที่สองเกิดความรู้สึกหิวขึ้นมาเป็นครั้งแรก ทั้งที่เพิ่งกินเนื้อทั้งหม้อพร้อมน้ำแกงไปหยก ๆ แต่ตอนนี้กลับหิวอีกแล้ว?
หญิงสาวผู้นี้คงไม่ได้ใส่อะไรแปลก ๆ ลงไปในน้ำแกงเมื่อครู่ เพื่อทำให้วิญญาณรู้สึกหิวกระหายเช่นนี้ใช่หรือไม่?
“ลองดูหน่อยไหม?” วิญญาณตนที่หนึ่งถามพลางแบ่งอาหารใส่ชามเล็ก ๆ ให้วิญญาณทั้งสองตน จากนั้นก็คีบเนื้องูที่ย่างจนเหลืองกรอบขึ้นมา
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่สำนักหลานเทียน นางมักจะรับประทานอาหารร่วมกับโม่จวินเจ๋อ ศิษย์พี่ใหญ่ อวี้เจินและคนอื่น ๆ อยู่เสมอ…
หลิงเยว่เอาเนื้อที่ยังอุ่น ๆ ใส่เข้าปาก จากนั้นก็ลูบบริเวณตันเถียนเบา ๆ รอให้อาจารย์และศิษย์พี่กลับมา นางจะต้องทำอาหารด้วยตัวเองสักมื้อ เพื่อเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของพวกเขา!
เนื้องูที่ผ่านการย่างด้วยเพลิงพิสดารและหมักด้วยเครื่องเทศนับสิบชนิด มอบรสสัมผัสที่แตกต่างจากการใส่ลงในน้ำแกงหม้อไฟอย่างสิ้นเชิง แบบหลังจะละลายในปากทันที ส่วนแบบแรกจะมีเนื้อสัมผัสให้เคี้ยว รสชาติเป็นชั้น ๆ เมื่อเคี้ยวจะมีน้ำแกงไหลออกมาเรื่อย ๆ คล้ายกับการกินเสี่ยวหลงเปา เป็นรสสัมผัสที่วิเศษมาก
เพียงแค่ชิ้นเดียวร่างกายก็อบอุ่น ความเย็นยะเยือกที่เคยรู้สึกก่อนหน้านี้พลันหายไป “ข้าแน่ใจว่ากุ่ยซื่อต้องชอบแน่นอน” จานเล็ก ๆ มีเนื้อเพียงสี่ห้าชิ้นเท่านั้น วิญญาณตนที่สองกินหมดในคำเดียว จากนั้นก็จ้องตะแกรงย่างด้วยดวงตาที่ไม่มีอยู่จริง คอที่ไม่มีอยู่จริงส่งเสียงคล้ายกับมนุษย์กำลังกลืนน้ำลาย
“พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าเขาจะยอมกิน?” เพราะอีกฝ่ายเสียสติไปแล้ว จะเข้าใจอะไรได้? ในหัวคงมีแต่ฆ่า ๆ ๆ ๆ เท่านั้น
“แน่ใจ!” วิญญาณตนที่หนึ่งตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เขาและวิญญาณตนที่สองจะใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อทำให้เขากินอาหารอย่างสงบเสงี่ยมวันละยี่สิบมื้อแน่นอน!
ขณะที่พวกเขากำลังจะเข้าสู่ดินแดนเงาทมิฬ มีบางสิ่งที่มืดมนกว่าพลังหยินพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วปรากฏตัวต่อหน้าหลิงเยว่ในชั่วพริบตา
วิญญาณตนที่สามที่ไปรายงานความปลอดภัยกลับมาแล้ว
“นี่คือสิ่งที่พวกมันให้ข้ามา” วิญญาณตนที่สามโยนแหวนมิติใส่อ้อมอกของหลิงเยว่อย่างหยาบคาย ยังไม่ทันที่นางจะได้กล่าวขอบคุณ นกเงาก็ร่อนลงสู่พื้นดินแล้ว
เมืองผี…
สมกับชื่อเมืองผีจริง ๆ ซากปรักหักพังล้อมรอบด้วยพลังงานอันเข้มข้นของวิญญาณผี แต่เมืองใหญ่ขนาดนี้… กลับไม่มีแม้แต่วิญญาณเร่ร่อนสักดวง
สายลมแห่งความตายพัดกระหน่ำ อาคารที่พังทลายส่งเสียงประหลาด เหมาะสำหรับการถ่ายหนังสยองขวัญสุด ๆ!
เล่นซ่อนหารึ?
ร่างกายของหลิงเยว่แข็งค้างไป มีบางสิ่งพ่นลมเย็นข้างหูนางก็แล้วไป แต่ดูเหมือนมันยังปีนขึ้นมาบนบ่าของนางอีกด้วย
“ฮิ ๆ ๆ…” เสียงหัวเราะแปลกประหลาดเย็นเยียบ เป็นเสียงเด็กที่ยังไม่รู้เดียงสา ทำให้หลิงเยว่ที่แข็งค้างอยู่รู้สึกขนหัวลุก นางเกลียดสิ่งเหล่านี้ที่สุดแล้ว!
“กรี๊ด!!!”
เสียงกรีดร้องของหลิงเยว่ดังกึกก้อง แทบจะทำให้เศษซากที่เหลืออยู่ผุพัง แม้แต่พวกผียังเกรงว่ามันจะทลายลงมา
พอหลิงเยว่กรีดร้อง ทำเอาผีทั้งสามที่อยู่ข้าง ๆ ตกใจ
“กรี๊ด!! เอาออกไป! เอาออกไปจากตัวข้าเดี๋ยวนี้!”
หลิงเยว่นั่งยอง ๆ กอดหัวตัวเองอยู่บนพื้นแล้วกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
กุ่ยอีเห็นดังนั้นจึงคว้าตุ๊กตาตัวน้อยที่เกาะอยู่บนไหล่ของหลิงเยว่มาไว้ในอ้อมกอด พลางหัวเราะคิกคัก
หลิงเยว่รวบรวมความกล้า ลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง สบเข้ากับดวงตาเย็นชาและน่าขนลุกคู่นั้น ปากเล็ก ๆ ของตุ๊กตาตัวน้อยที่เดิมเม้มสนิทพลันแยกยิ้มกว้าง
หลิงเยว่ตกใจสุดขีด ตบมันออกไปโดยไม่ทันคิด
ตุ๊กตาไม้ตัวน้อยลอยเป็นเส้นโค้ง พุ่งเข้าไปในกลุ่มพลังหยิน ก่อนจะหายวับไป
ตกใจแทบตาย… หลิงเยว่ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น พยายามปลอบประโลมหัวใจของตนเองที่เต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง
วิญญาณทั้งสามจ้องมองวิญญาณตนที่สี่ที่ถูกตบจนลอยไป ต่างรู้สึกสับสนปนหวาดหวั่น
ดูเหมือนช่วงเวลาที่ผ่านมา กุ่ยซื่อฟื้นตัวได้ดีเกินคาดถึงขั้นรู้จักแกล้งคนแล้ว
เหล่าวิญญาณผียังไม่ทันหายตกใจ กุ่ยซื่อก็เล่นบทตบหน้าพวกเขาซ้ำอีกครั้ง
ทันใดนั้นพลังที่ล้อมรอบเมืองผีพลันปั่นป่วน
“ผู้ใดบังอาจบุกรุกเมืองผี!”
“ฆ่ามัน! ฆ่ามันให้สิ้นซาก!”
“ฆ่าพวกมันให้หมด!”
พลังพยินแปรเปลี่ยนเป็นกองทัพวิญญาณผีนับหมื่นพุ่งเข้าโจมตีพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง
เมืองผีที่เเสนเงียบเหงา… กลับคึกคักขึ้นมาในชั่วพริบตา
หลิงเยว่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ก่อนจะแอบซ่อนตัวอยู่หลังเหล่าวิญญาณผีทั้งสาม ดวงตาของนางสั่นไหวด้วยความกลัว ภาพกองทัพปีศาจมากมายที่ยืนจังก้า ร่างกายกำยำน่าเกรงขาม แค่น้ำลายของพวกมันคงเพียงพอจะทำให้นางจมน้ำตายได้ ช่างน่าสะพรึงกลัวเกินกว่าจะจินตนาการ!
“กุ่ยซื่อ! นี่พวกข้าเอง เจ้าได้สติหน่อย!” เสียงตวาดของวิญญาณที่สามดังขึ้น เขาพยายามเรียกสติกุ่ยซื่อที่คลุ้มคลั่ง แต่น่าเสียดาย สิ่งที่ตอบสนองเขากลับมีเพียงกองทัพวิญญาณผีที่กรูกันเข้าโจมตี
กุ่ยอีและกุ่ยเอ้อร์สะบัดแขนเสื้ออย่างพร้อมเพรียง ดูดกลืนกองทัพวิญญาณผีเหล่านั้นเข้าไปราวกับดูดฝุ่น ก่อนที่ทั้งสองจะหายวับไปในอากาศ คาดว่าคงออกตามหากุ่ยซื่อที่หายตัวไป
เมื่อสองวิญญาณจากไป กุ่ยซานก็หันหลังเดินตามไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้หลิงเยว่ยืนอ้าปากค้างอยู่เพียงลำพัง
หลิงเยว่ได้แต่คิดในใจ ‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น แล้วข้าควรทำอย่างไรดี?!’