ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 536 ใครคือคนรักของเจ้า?
บทที่ 536 ใครคือคนรักของเจ้า?
“เจ้าไม่อยากหานางแล้วหรือ?”
“สมแล้วที่เป็นมนุษย์ ช่างกลับกลอกเสียจริง!”
“เจ้าคนเลว!”
โม่จวินเจ๋อ “?”
“เลวจริง ๆ!”
“น่าเสียดายที่คู่ครองของเจ้ายังอุตส่าห์กลับไปยังแดนเทพเพื่อตามหาเจ้า ตอนนี้ข่าวของนางอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่ขยับเขยื้อน ช่างน่าขันนัก!”
เหตุที่เขาไม่ขยับก็เพื่อปกป้องหลิงเยว่
ไม่ว่าต้นไม้ปีศาจจะด่าอย่างไร โม่จวินเจ๋อก็ยังคงรักษาสีหน้าเรียบเฉยไว้
“คู่ครองของเจ้าช่างตาบอดใจบอดเสียจริง…”
ต้นไม้ปีศาจตอบอย่างไม่มั่นใจ “ข้าแค่รู้สึกเสียดายแทนเท่านั้นเอง!”
“ไม่ใช่เพราะพลาดโอกาสที่จะกลืนกินนางแล้วกระโดดโลดเต้นหรอกหรือ?”
ต้นไม้ปีศาจที่ถูกมองทะลุความคิดนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะฟื้นคืนชีพอีกครั้ง “ถ้าข้ากลืนกินนางและเติบโตเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่สมบูรณ์ ผลประโยชน์ที่เจ้าจะได้รับก็ไม่น้อยไปกว่าข้าหรอกนะ เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ไปแย่งชิงใบมรกตคืนมา?”
“ไม่ไป” โม่จวินเจ๋อปฏิเสธเด็ดขาด
“ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ใหญ่หลวงเพียงใด ก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่นางมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย”
“เฮอะ! มนุษย์โง่เขลา!”
ต้นไม้ครึ่งปีศาจโกรธจัด พยายามควบคุมร่างของโม่จวินเจ๋อเพื่อแย่งชิงใบมรกตกลับคืนมา
ม่านตาของโม่จวินเจ๋อเปลี่ยนสีไปมาระหว่างสีดำและสีเทาน้ำตาล การเปลี่ยนแปลงของเขาไม่มีใครสังเกตเห็น เพราะทุกคนต่างจดจ่ออยู่กับสนามรบ
กุ่ยซานที่กลับมายังสนามรบไม่เข้าใจได้เลยว่า ทำไมใบไม้สีเขียวมรกตที่พบในโลกของหลิงเยว่ ถึงได้ตื่นเต้นเช่นนี้เมื่อเห็นร่างวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
ในขณะที่เหม่อลอย กุ่ยซานถูกเจ้าแห่งความตายตนที่สามตบจนร่างแตกกระจาย เมื่อเขารวมตัวกลับมาใหม่ เสื้อคลุมสีดำขนาดใหญ่ก็กลายเป็นเศษผ้าขาดวิ่น เห็นได้ชัดว่าพลังของฝ่ามือนี้รุนแรงมาก!
กุ่ยซานไม่กล้าเสียสมาธิอีก เขาต้องจัดการกับเจ้าแห่งความตายให้เสร็จก่อน แล้วค่อยมาคิดถึงปัญหาเหล่านี้
กุ่ยอีที่กำลังเผชิญหน้ากับเจ้าแห่งความตายตนที่สี่ รู้สึกได้ว่าใบไม้สีเทาเข้มในแขนเสื้อพยายามจะบินออกไปอย่างสุดกำลัง หรือว่าร่างวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กลับมาเพื่อเข้ากับดักด้วยตัวเอง? กุ่ยอีปล่อยจิตสัมผัสออกไป ไม่นานก็พบเป้าหมายในกลุ่มผู้ชมการต่อสู้ ไม่มีการปลอมตัว ไม่ซ่อนพลังงาน ช่างไม่กลัวตายเสียจริง!
ในจุดนี้กุ่ยอีเข้าใจผิดไป โม่จวินเจ๋อไม่เพียงปลอมตัวเท่านั้น แต่ยังซ่อนพลังงานด้วย เพียงแต่ตอนนี้กำลังแย่งชิงการควบคุมร่างกายกับต้นไม้กึ่งปีศาจ ทำให้การปลอมตัวและพลังงานทั้งหมดถูกทำลาย
ส่วนเหตุผลที่ก่อนหน้านี้ใบสีเขียวมรกตสามารถมองทะลุการปลอมตัวและสัมผัสได้ถึงพลังงาน ก็เพราะสายสัมพันธ์ระหว่างใบสีเขียวมรกตนั้นลึกซึ้ง
ฃขณะที่ใบสีเทาเข้มของต้นไม้กึ่งปีศาจดูเชื่องช้ากว่าใบสีเขียวมรกตมาก นี่เป็นเพราะกรรมที่นางก่อไว้ และอีกส่วนหนึ่งมาจากหลิงเยว่
ท้ายที่สุดแล้วใบสีเทาเข้มคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะทรยศไปอยู่กับต้นไม้สีเขียวมรกตได้อย่างไร ดังนั้นเมื่อรับรู้ถึงพลังงานของร่างแท้ จึงเพียงแค่ดิ้นรนเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ฝ่าทะลุอุปสรรคนับชั้นแล้วบินออกมาเหมือนใบสีเขียวมรกต
หลิงเยว่เอียงศีรษะ ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย แม้ว่าเมื่อครู่นางจะรับรู้ถึงพลังของใบมรกตและพลังของต้นไม้ปีศาจ แต่ก่อนที่นางจะได้สัมผัสอย่างละเอียด พลังทั้งสองก็หายไปเสียแล้ว
ข่าวนี้ทำให้หลิงเยว่รู้สึกทั้งดีใจและกังวล แต่ในเมื่อเขากล้ากลับมา คงมีความมั่นใจเต็มที่ว่าจะไม่ถูกเจ้าแห่งความตายจับตัวไปอีก
ไม่ได้! นางต้องหาให้พบก่อนที่เจ้าแห่งความตายจะพบเขา!
หลิงเยว่จ้องมองลูกกลมสีดำขนาดใหญ่และเล็กกับตุ๊กตาไม้อ้วน จากนั้นหยิบของออกมาจากแหวนมิติ กลิ่นหอมที่ได้รับทำให้สามสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์คิดว่าถึงเวลาอาหารแล้ว พวกมันจึงรีบจัดการศัตรูอย่างรวดเร็วแล้วบินกลับมาอย่างกระตือรือร้น
“นี่เป็นของว่างหลังอาหาร”
กุ่ยซื่อสบตากับรอยยิ้มจอมปลอมของหลิงเยว่ และตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าหญิงผู้นี้คงมีเรื่องจะขอร้องพวกเขาแน่ เพราะในช่วงสงครามพวกเขากินอาหารเพียงวันละมื้อ ของว่างอะไรแบบนี้ไม่ต้องคิดถึงเลย!
แต่ตอนนี้…
“พูดมาสิ เจ้าต้องการให้พวกข้าทำอะไร?” กุ่ยซื่อและลูกกลมดำพูดขึ้นพร้อมกัน มีเพียงลูกกลมดำเล็กที่มองขนมหลากสีที่ส่งกลิ่นหอมหวานจนน้ำลายไหล
“ไม่ยากหรอก แค่ปกป้องข้าตอนที่ข้าออกจากเมืองผีก็พอ”
“เจ้า… จะออกไปทำอะไร?” กุ่ยซื่อเหลือบตามองอย่างสงสัย
“!!!” ทั้งสามตัวตกใจจนลูกตาแทบถลน
“เจ้ามีคนรักด้วยหรือ!?” ลูกกลมสีดำตัวเล็กถามด้วยดวงตาโตเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
“คนรักคืออะไรหรือ?” ลูกกลมสีดำจิ๋วกะพริบตาถาม
“เจ้าแน่ใจหรือว่าเขาอยู่ในโลกแห่งความตาย?” กุ่ยซื่อบินขึ้นไปในอากาศมองซ้ายมองขวา แต่ก็ไม่เห็นมนุษย์คนใดที่ดูเหมือนจะเป็นคนรักของหลิงเยว่ สิ่งที่เห็นมีแต่คนตายเท่านั้น
โอ้! ที่จริงมีสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากคนตายด้วย รอบ ๆ สนามรบไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่มีผู้ชมมากมายมารวมตัวกัน ในนั้นมีมนุษย์อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว คนรักของหลิงเยว่คงปะปนอยู่ในฝูงชนใช่หรือไม่?
เป็นผู้ใดกันแน่?
ระยะทางค่อนข้างไกล ส่งผลกระทบต่อการแยกแยะของกุ่ยซื่อ ดังนั้นเขาจึงแย่งขนมสามชิ้นจากมือของหลิงเยว่ แล้วหิ้วร่างที่ใหญ่กว่าร่างหุ่นไม้ของเขาเป็นร้อยเท่าบินออกจากเมืองผีไป
“อย่าทำตัวโดดเด่นนัก พวกเราแค่เดินออกไปก็พอแล้ว!”
หลิงเยว่ที่ถูกหิ้วขึ้นมาราวกับลูกไก่รู้สึกอึ้งและกระอักกระอ่วน ในเวลาเดียวกันลูกกลมสีดำขนาดเล็กและจิ๋วตกลงบนศีรษะของหลิงเยว่อย่างมั่นคง พวกมันส่งเสียงประณามการกระทำราวกับโจรของกุ่ยซื่อ
“ใช่แล้ว ถ้าไม่คืน ข้าจะให้ท่านพ่อท่านแม่มาตีเจ้าพร้อมกัน!”
กุ่ยซื่อทำเป็นไม่ได้ยินคำประณามของสองตัวเล็ก จากนั้นก็พูดกับหลิงเยว่ว่า “เจ้าเปลี่ยนเป็นหุ่นไม้ไม่ดีกว่าหรือ? ร่างนี้ช่างหนักเหลือเกิน!”
หนัก? หลิงเยว่ถึงกับแค่นหัวเราะด้วยความโมโห แต่สุดท้ายนางไม่อยากเถียงกับกุ่ยซื่อ จึงกลับแปลงร่างเป็นหุ่นไม้ขนาดเล็ก
หุ่นไม้อ้วนพาหลิงเยว่และสองตัวเล็ก ๆ ผ่านสนามรบ ในขณะที่หลบหลีกการโจมตีที่พุ่งมาจากทุกทิศทาง มันยังคอยรบกวนเจ้าแห่งความตายทั้งห้าไปด้วย วิญญาณที่ตายด้วยน้ำมือของเขานั้นมีนับไม่ถ้วน
พวกเขาเดินทางด้วยความหวาดกลัวตลอดทาง จนในที่สุดก็มาถึงจุดชมการต่อสู้
กลุ่มคนที่มาดูความวุ่นวายนี้ทำให้หลิงเยว่นึกถึงประสบการณ์ของตนกับโม่จวินเจ๋อในเขตแดนปีศาจ
ไม่สิ มันต่างกันมาก ผู้คนในดินแดนว่างเปล่านี้มีมากกว่าในเขตแดนปีศาจเสียอีก จะหาโม่จวินเจ๋อท่ามกลางคนนับแสนได้อย่างไร?
“คนไหนคือคนรักของเจ้า?”
กุ่ยซื่อกวาดสายตามองรอบอีกครั้ง แล้วสายตาก็หยุดอยู่ที่ชายชราคนหนึ่ง “เป็นเขาหรือไม่?”
ถามจบก็ปฏิเสธตัวเอง “คนนั้นแก่เกินไป แล้วคนนั้นล่ะ? โอ้ เด็กเกินไปอีก คนนี้ก็น่าเกลียดเกินไป อา.. คนนี้ไม่ใช่มนุษย์ ทั้งเหม็นทั้งน่าเกลียด แล้วคนนั้น…”
หลิงเยว่พูดไม่ออกเช่นกันเมื่อเห็นการกระทำของกุ่ยซื่อ เขาช่างไม่เกรงกลัวอะไรจริง ๆ!
“ข้าคิดว่าเป็นคนนั้น!”
ลูกกลมสีดำเล็ก ๆ ชี้ไปยังที่ไกล ๆ “เจ้าหนุ่มคนนั้นหน้าตาดี แถมม่านตายังเปลี่ยนสีได้ด้วย!”
หลิงเยว่มองตามมือไม้ขีดของมัน แต่ก็ไม่เห็นเจ้าหนุ่มที่ม่านตาเปลี่ยนสีได้แต่อย่างใดไม่สิ เขาเป็นเพียงลูกอ่อน กลับกล้าเรียกปีศาจแก่ที่ไม่รู้ว่าอายุเท่าไหร่ว่าเจ้าหนุ่มหรือ?
“เขาอยู่ที่ใดกัน ข้าขอดูหน่อย!”
ลูกกลมสีดำที่มีขนาดใหญ่กว่าบินตรงไปยังทิศทางที่ลูกกลมสีดำลูกเล็กชี้ แล้วพุ่งเข้าไปในฝูงชนทันที
หลิงเยว่ “…”
เหตุใดพวกเขาจึงดูตื่นเต้นยิ่งกว่านางเสียอีก?