ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 54 หลิงเยว่ตื่นตระหนก
บทที่ 54 หลิงเยว่ตื่นตระหนก
บทที่ 54 หลิงเยว่ตื่นตระหนก
หลิงเยว่ดีใจจนหลั่งน้ำตาหลังจากรู้ว่านางยังไม่ถูกตัดสิทธิ์แข่งขัน
ข้ากลัวแทบตาย!
“ศิษย์พี่สี่ก็ผ่านด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“อืม”
เมื่อพูดถึงผู่ตาน หลงหว่านโหรวก็ทำท่าทางราวกับไม่อยากจะพูดคุยต่ออย่างเห็นได้ชัด
หลังจากที่หลงหว่านโหรวจากไป หลิงเยว่ก็ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิทำการโคจรปราณในร่างเพื่อตรวจสอบร่างกาย นางตกใจเมื่อพบว่าระดับการบำเพ็ญเพิ่มขึ้นจากขั้นห้ากลายเป็นขั้นหกแล้ว!
เป็นไปได้หรือไม่ว่าการฝืนใช้พลังเกินตัว มันกลับเป็นการปล่อยศักยภาพของนางออกมา?
ดูเหมือนว่าโม่จวินเจ๋อและคนอื่น ๆ พูดถูก การต่อสู้จริงเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการพัฒนาความแข็งแกร่ง จากนี้ไปนางไม่สามารถคิดเพียงจะวิ่งหนีอย่างเดียวได้ ทว่าต้องลองต่อสู้ก่อน ซึ่งถ้านางไม่สามารถชนะได้ ค่อยหาโอกาสหนีก็ยังไม่สาย!
ปัง! ปัง! ปัง!
“ศิษย์น้องห้าเปิดประตู!”
หลิงเยว่ผู้กำลังคิดทบทวนสิ่งต่าง ๆ ในหัวพลันสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงนี้ แต่เด็กสาวก็ไม่ใช่คนเนรคุณ ถ้าไม่ใช่เพราะผู่ตาน นางคงไม่เพียงไม่สามารถรักษาทรัพย์สมบัติของนางได้เท่านั้น แต่คงตกรอบถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขันไปแล้ว และไม่สามารถทำภารกิจให้สำเร็จได้
ศิษย์พี่ไม่ได้บอกหรอกหรือว่าถุงเก็บของของพวกผู้บำเพ็ญที่ถูกดูดเข้าไปสามารถนำออกมาได้ เขาคงแค่อยากให้นางฝึกฝนให้ดีในมิติลับ คงจะเป็นเช่นนั้น!
“ศิษย์พี่สี่เจ้าคะ ท่านจิ้มหน้าข้าหลายทีตอนที่ข้าหมดสติใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
คำพูดแรกของหลิงเยว่เมื่อนางเปิดประตูทำให้ผู่ตานชะงักทันที
“ไม่ใช่เสียหน่อย! ใครจะไปอยากแตะต้องใบหน้าที่น่าเกลียดของเจ้าตอนนั้นกัน”
หลิงเยว่หรี่ตา เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อศิษย์พี่คนนี้แม้แต่น้อย แม้จะรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นผู้ที่จิ้มหน้านาง จนทำให้นางฝันร้ายทั้งคืน เด็กสาวก็เปิดโปงเขาไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ต่อไป
“ท่านต้องการอะไรจากข้าหรือเจ้าคะ?”
“ข้าอยากได้อะไรกินสักหน่อย”
ผู่ตานนั่งบนธรณีประตูอย่างหดหู่ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเขาได้ศึกษาวิธีการที่ทำให้ตัวเองพัฒนาแก่นปราณธาตุดิน โดยใช้โอสถสร้างแก่นปราณแต่… โอกาสไม่สูงนัก
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังกลัวด้วยว่าถ้ากินมันมากเกินไป เขาอาจจะกำลังปลูกแก่นปราณธาตุอื่นที่ไม่จำเป็น จนทำให้พรสวรรค์ของเขาสูญเปล่า
เขาบ้าแต่ไม่ได้โง่ สามารถแยกแยะข้อดีข้อเสียได้อย่างชัดเจน
หลิงเยว่มอบอาหารที่นางทำไว้ขายชุดหนึ่งให้กับผู่ตาน ตอนนี้นางออกมาจากมิติลับแล้ว หากต้องการหาเงินเพิ่ม ก็ต้องทำเพิ่มให้มากขึ้นกว่าเดิม นางสามารถขายมันได้ในราคาสูงในมิติลับแต่ไม่ใช่โลกข้างนอก ข้างนอกนี้นางสามารถขายมันได้ในราคาสูงสุดก็เพียงสามหรือสี่ร้อยหินวิญญาณระดับล่างเท่านั้น
ความทุกข์เป็นเหมือนโรคติดต่อ เมื่อผู่ตานโศกเศร้า หลิงเยว่เองก็รู้สึกเช่นกัน
พวกเขาทั้งสองนั่งอยู่หน้าธรณีประตูราวเครื่องกลไร้อารมณ์ พลางแทะน่องไก่และดื่มชานมจนกระทั่ง… แผ่นหยกสื่อสารของหลิงเยว่สั่น และเสียงของสยงฉีเลวี่ยที่ดังออกมาทำให้นางสั่นสะท้านมากยิ่งขึ้น
ผู้นำยอดเขาสยงต้องการสิ่งใดจากนาง หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับอวี้เจินในมิติลับงั้นหรือ?
เป็นไปไม่ได้! แม้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเขาคงไม่ตามหานางที่เป็นเพียงศิษย์รุ่นเยาว์อย่างนางแน่นอน
เมื่อเดินไปตามเส้นทางที่สยงฉีเลวี่ยบอกเอาไว้ ในที่สุดหลิงเยว่ก็ไปถึงสถานที่รวมตัวกันของเหล่าผู้คนระดับสูงของสำนัก
ก่อนที่จะเข้าไป หลิงเยว่ก็ต้องตกใจกับจอฉายภาพขนาดใหญ่สองแห่งที่อยู่ข้างหน้า สถานที่แห่งนี้ทำให้นางรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในยุคปัจจุบันเพื่อชมภาพยนตร์ในโรง
นี่เป็นสถานที่ที่นางสามารถมาได้จริงหรือ?
เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่สถานที่ที่หลิงเยว่มีสิทธิ์มาได้ นางถูกหยุดทันทีที่เข้ามาใกล้
“เฮ้! สาวน้อย เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ใคร ๆ ก็สามารถเข้ามาได้หรืออย่างไรกัน?”
“เฮ้! เหตุใดพวกผู้อาวุโสถึงไม่ให้เราดูสิ่งที่เกิดขึ้นในมิติลับทั้งสองด้วย…”
“พวกเขาก็ให้เจ้าดูอยู่ไม่ใช่หรือ? แต่ก็แค่เหมือนมีผ้าม่านหนา ๆ บังเอาไว้…”
ภาพที่ฉายโดยคันฉ่องสวรรค์สามารถมองเห็นได้เฉพาะผู้อาวุโสเท่านั้น ศิษย์ที่อยู่รอบ ๆ ที่นี่ซึ่งมีระดับการบำเพ็ญต่ำไม่สามารถมองเห็นภาพได้ชัดเจน
“เจ้ามาจากยอดเขาใด?”
หลิงเยว่ซึ่งถูกหยุดไว้ก้าวถอยหลังอย่างเคารพและพูดว่า “ศิษย์หลิงเยว่แห่งยอดเขาโอสถ ผู้นำยอดเขาสยงเรียกให้ศิษย์มาเข้าพบเจ้าค่ะ”
ผู้อาวุโสที่เฝ้าคันฉ่องสวรรค์ได้รับการเตือนล่วงหน้าแล้ว เขาเหลือบมองหลิงเยว่อย่างแปลก ๆ ก่อนปล่อยให้เด็กสาวเข้าไป
ทันทีที่หลิงเยว่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป เหล่าศิษย์ที่อยู่ข้างนอกก็โวยวายทันที
“ผู้อาวุโสจิง! เหตุใดนางเข้าไปได้เล่า!”
“ให้ข้าเข้าไปด้วยสิ! ผู้อาวุโสจิง ข้าเองก็มาจากยอดเขาโอสถเช่นกัน!”
“ข้าเป็นศิษย์ของยอดเขาบ่มเพาะกายา หากคนของยอดเขาโอสถเข้าไปได้ ข้าก็ต้องสามารถเข้าไปได้เช่นกัน!”
…
เหล่าศิษย์พยายามแอบเข้าไปในขณะที่ผู้อาวุโสเผลอ แต่พวกเขาทั้งหมดถูกโยนออกไปทีละคน
“ถ้าพวกเจ้าอยากเข้าไป เช่นนั้นก็เรียกให้อาจารย์ของพวกเจ้าออกมารับพวกเจ้าด้วยตัวเองเสียสิ!”
เมื่อได้ยินคำประกาศนี้ เหล่าผู้บำเพ็ญต่างตกตะลึงก่อนจะจ้องมองไปที่ร่างเล็ก ๆ ของหลิงเยว่ด้วยสายตาริษยา
ทันทีที่หลิงเยว่เข้าไป นางก็สัมผัสได้ถึงความกดดันจากเหล่าตัวตนระดับสูงของสำนักทันที ขาของนางเริ่มอ่อนแรง เสียจนอยากจะวิ่งหนีด้วยซ้ำ
สยงฉีเลวี่ยผู้สำเร็จจากสภาวะรู้แจ้งแล้ว อดรู้สึกดีเมื่อเห็นหลิงเยว่ไม่ได้ แม้ว่าระดับการบำเพ็ญของเขาจะยังไม่บรรลุถึงช่วงปลายของขอบเขตบำเพ็ญเต๋าแต่มันก็ใกล้มากแล้ว
ก่อนที่หลิงเยว่จะเคลื่อนไหว ดอกไม้สีดำเล็ก ๆ ที่ผูกกับข้อมือของนางก็เคลื่อนไหวก่อน มันกลายเป็นเส้นแสงสีดำเข้าสู่มือของชายชุดขาวที่ดูเย็นชาและเย่อหยิ่ง
นางผ่านความยากลำบากมากมาย… เพื่อจับดอกไม้สีดำดอกเล็ก ๆ นี่…
หลิงเยว่ร้องไห้ในใจ ทว่าเด็กสาวยังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้และไม่สนใจ นางโค้งคำนับให้เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักก่อนที่จะไปอยู่เคียงข้างสยงฉีเลวี่ย
ก่อนที่นางจะพูดอะไร ภาพฉายที่พร่ามัวตรงหน้าก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น และนางก็เห็น… โม่จวินเจ๋อและศิษย์ที่กำลังแข่งขันกันในมิติลับทั้งสอง
นางมีสิทธิ์รับชมได้ด้วยหรือ?
“นี่คือของขวัญที่ข้าตอบแทนให้เจ้า”
หลิงเยว่กำลังงุนงง ของขวัญขอบคุณสิ่งใดกัน นางทำอะไรงั้นหรือ?
สยงฉีเลวี่ยนั่งลงกับหลิงเยว่ แทนที่จะอธิบายคำขอบคุณ เขาเริ่มอธิบายคู่ต่อสู้ที่นางจะเผชิญหน้าในรอบที่สองของการแข่งขัน จุดอ่อนของพวกเขา คาถาที่พวกเขาเชี่ยวชาญ วิธีแก้ไข และต่าง ๆ อีกมากมาย
นี่เป็นการโกงที่โจ่งแจ้งสำหรับหลิงเยว่นัก!
แม้ว่าผู้นำยอดเขาและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ จะไม่พอใจกับการใช้ลูกศิษย์ของพวกเขาเป็นหัวข้ออธิบาย แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดห้ามปราม เพราะแม้แต่คำพูดของเจ้าสำนักก็คงไร้ประโยชน์เช่นกัน
แน่นอนว่าการโต้แย้งที่รุนแรงยังคงมีประโยชน์อยู่ แต่ก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น
มีความเป็นไปได้สูงที่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้มีกายาต้านหายนะ นี่จึงเป็นเรื่องปกติที่นางจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ!
เหล่าผู้คนระดับสูงต่างตื่นเต้น เมื่อนึกถึงว่าในอนาคตจะมีศิษย์คนหนึ่งที่สามารถเข้าไปเดินในพื้นที่ต้องห้ามของสำนักราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ นี่… หมายความว่านางสามารถเข้าสู่โลกปีศาจและเปิดประตูแห่งสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย!
ดวงตาที่ไม่พอใจของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ในสำนักค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยความเมตตา แม้แต่รองผู้นำยอดเขาโอสถก็พบว่าหลิงเยว่ค่อนข้างน่าพอใจในสายตาของเขา
หลิงเยว่ตกใจมากจนนางไม่อยากฟังสิ่งที่สยงฉีเลวี่ยพูดด้วยซ้ำ
ปัก!
“ฟังให้ดี”
เล่อเหอตบหัวของเด็กสาวเบา ๆ เพื่อนำจิตใจของนางกลับไปยังว่าที่คู่ต่อสู้ในอนาคตบนจอภาพ
เมื่อมีเล่อเหออยู่ด้วย หลิงเยว่ก็ไม่กลัวคนอื่น ๆ อีก และเริ่มจดจำคู่ต่อสู้ของนางอย่างจริงจัง
มีเพียงการรู้จักตัวเองและศัตรูเท่านั้น ที่จะทำให้นางได้รับชัยชนะในทุกการต่อสู้!
ต้องบอกว่านี่คือโอกาสอันล้ำค่าที่ไม่สามารถซื้อได้ด้วยหินวิญญาณ
ความสามารถในการต่อสู้ของหลิงเยว่ไม่ได้อ่อนแอ สิ่งที่นางขาดคือประสบการณ์และความเข้าใจในตัวคู่ต่อสู้ที่ตนเองต้องเผชิญ
หากนางสามารถจำทุกสิ่งที่สยงฉีเลวี่ยพูดได้ มันคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ในการเข้าสู่สิบอันดับแรกของการแข่งขันสำนัก
หลิงเยว่กุมหัวใจที่เต้นรัว ก่อนปรากฏเป็นรอยยิ้มโง่เขลาบนใบหน้า!
ผู้นำยอดเขาสยงช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ นางควรเปลี่ยนไปอยู่ที่ยอดเขาบ่มเพาะกายาดีหรือไม่!
แน่นอนว่าความคิดนี้หายไปเมื่อนางเห็นหน้าของชิงยวน
หลิงเยว่ออกจากมิติลับมาครึ่งเดือนแล้ว และยังมีเวลาอีกสิบห้าวันก่อนที่มิติลับแห่งแดนมายาจะถูกปิด ในช่วงสิบห้าวันนี้นางสามารถมาที่นี่ได้ตลอดเวลา เพื่อดูคู่ต่อสู้ของนางและเรียนรู้เกี่ยวกับพวกเขา
นางสามารถเข้าและออกจาก ‘โรงหนัง’ ได้ตามต้องการ ซึ่งทำให้เหล่าศิษย์ที่สามารถชมได้แต่ภาพที่พร่ามัวข้างนอกอิจฉาจนแทบคลั่ง
คนอื่น ๆ เริ่มพูดคุยถึงต้นกำเนิดของนางหรือไม่ก็คาดเดาวิธีการที่นางทำเพื่อให้ตนเองสามารถมีสิทธิพิเศษเช่นนี้ได้ แม้แต่โม่จวินเจ๋อซึ่งเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของเจ้าสำนักเล่อเหอก็ยังไม่ได้รับสิทธิพิเศษเช่นนี้เลย!
นางทำได้ยังอย่างไรกัน?
ศิษย์ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับอาจารย์พวกเขาบางคนถึงกับนั่งกอดเข่าร้องไห้ เพราะไม่ได้รับคำตอบจากอาจารย์ของพวกเขาเสียที
ตอนนี้หลิงเยว่ก็เหมือนกับภาพฉายที่พร่ามัวตรงหน้า ทำให้มองเห็นขอบเขตของอีกฝ่ายได้ยาก
โอ้! ไม่สิ ข้ายังคงมองเห็นนางได้ นางอยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นหก!