ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 542 พวกเขาต้องอยู่ที่นี่แน่นอน!
บทที่ 542 พวกเขาต้องอยู่ที่นี่แน่นอน!
เพื่อความไม่ประมาท หลิงเยว่เสี่ยงอันตรายถึงชีวิตด้วยการแยกลมหายใจแห่งชีวิตออกเป็นหลายสิบสาย เพื่อติดตามเพื่อนร่วมทาง
หากพวกเขาโชคร้ายต้องตายจริง ๆ อย่างน้อยก็ยังมีลมหายใจแห่งชีวิตที่จะช่วยประคองไว้ได้
ลมหายใจสีเขียวอ่อนค่อย ๆ แทรกซึมลงสู่พื้นดิน แล้วแอบห่อหุ้มก้อนหิน กิ่งไม้และใบไม้แห้ง
จู่ ๆ เจ้าวิญญาณก็ก้มมองพื้น เมื่อครู่… มีบางอย่างเคลื่อนผ่านใต้เท้าของมันใช่หรือไม่?
ฮึ จะหนีพ้นได้หรือ? เจ้าวิญญาณเงื้อไม้เท้าวิเศษในมือขึ้น แล้วโบกเบา ๆ ทันใดนั้นภูเขาใต้เท้าก็แยกออก ยอดเขาสูงตระหง่านที่ทะลุเมฆพังทลายลงในพริบตา ราวกับเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ ยอดเขาล้มครืนลงมาทีละลูก…
กิ่งไม้และใบไม้แห้งเปราะบางถูกบดขยี้และฝังกลบด้วยเศษหินและดินทันที แม้แต่หินที่แข็งแกร่งก็ยังแตกออก
“นายท่าน ดูเหมือนพวกเขาจะไม่อยู่ที่นี่”
“ไม่! พวกเขาต้องอยู่ที่นี่แน่” เจ้าวิญญาณร้ายชำเลืองมองผู้ใต้บังคับบัญชา แล้วโบกไม้เท้าวิเศษต่อไป ดิน หิน และต้นไม้ที่แตกละเอียดยังไม่พอ พลันกลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตา
เพราะพวกมันรู้ดีว่าเจ้าแห่งวิญญาณกำลังโกรธ
“ขุดดินหาพวกมันให้ข้า!”
เจ้าแห่งวิญญาณยังคงไม่เชื่อว่าจะมีผู้ใดกล้าหนีไปต่อหน้าต่อตา หากเจ้าแห่งความตายที่สี่รู้เข้า ผลลัพธ์ที่ตามมา…
กองทัพวิญญาณเริ่มขุดดินอย่างจริงจัง ใต้เทือกเขาปรากฏหลุมลึกนับไม่ถ้วน “นายท่าน พวกเขาจะถูกการโจมตีของท่านเมื่อครู่นี้เผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วหรือไม่?”
เจ้าแห่งวิญญาณทอดสายตามองผู้ใต้บังคับบัญชาที่กำลังสั่นเทา ดวงตาสองสีกลอกไปมา อาจเป็นเช่นนั้นก็ได้
แต่เมื่อคิดอีกที สี่วิญญาณผีและสัตว์อสูรหมอกคงไม่ยอมอยู่นิ่งรอความตาย พวกมันต้องดิ้นรนออกมาต่อสู้แน่นอน ดังนั้น…
ดวงตาสองสีน้ำเงินและเหลืองของเจ้าแห่งวิญญาณเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม แสงสีแดงเข้มแผ่ไปทั่วบริเวณ ดินทั้งหมดสูญเสียพลังชีวิต จนกลายเป็นผงธุลี
“เรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าสามารถกลับไปรายงานได้” เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น เจ้าวิญญาณก็โบกมือ นำกองทัพของตนมุ่งหน้าไปยังทิศทางของดินแดนเงาทมิฬและโลกแห่งความตาย
ลมพายุพัดกระหน่ำ ม้วนเอาเถ้าถ่านอันเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายขึ้นมา ขุนเขาที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวาบัดนี้ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใด ๆ หลงเหลืออยู่
เมื่อกองทัพวิญญาณจากไป จึงมีผู้อยากรู้อยากเห็นรีบมาดู พวกเขามองดูขุนเขาที่เคยรุ่งเรืองกลายเป็นซากปรักหักพัง ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“กองทัพวิญญาณมาจริง ๆ ด้วย…”
“โหดร้ายเหลือเกิน ขุนเขาแห่งนี้ไปขวางทางอะไรพวกมันกัน!”
“เจ้าเพิ่งรู้วันนี้หรือว่าพวกวิญญาณร้ายนั้นโหดเหี้ยม?”
“ไม่รู้ว่าเจ้าแห่งความตายที่สี่ต้องจ่ายเท่าไหร่ ถึงได้เชิญเจ้าวิญญาณออกมาได้”
พวกช่างสงสัยถกเถียงกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วรีบจากไปด้วยความกลัวว่ากองทัพวิญญาณจะกลับมาอีก
พวกเขาคาดการณ์ไม่ผิด เจ้าแห่งวิญญาณกลับมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเทือกเขาที่ถูกทำลายไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ก็ยิ่งมั่นใจว่าภารกิจสำเร็จแล้ว จึงโบกแขนเสื้อคลุมสีเทาแล้วจากไป
ดินแดนแห่งเทือกเขาที่ถูกทำลายกลับสู่ความเงียบสงบ และเงียบสงบอยู่นานมาก นานจนกระทั่งเถ้าถ่านหนาทึบถูกพัดปลิวไปหมดสิ้น ก็ยังไม่มีสิ่งมีชีวิตใดปรากฏขึ้น
หากไม่ใช่เพราะต้นไม้แห่งชีวิตนอกโลกผู้บำเพ็ญยังไม่เหี่ยวเฉา พวกผู่ตานคงออกไปตามหาผู้คนแล้ว
ก็ได้ ยกเว้นผู่ตานที่ตอนนี้สามารถเดินในความว่างเปล่าได้อย่างยากลำบาก ส่วนคนอื่น ๆ ในโลกผู้บำเพ็ญล้วนไม่สามารถทำได้
เจ้าหัวโล้นน้อยส่ายหน้า “ข้าไม่รู้สึกถึงนางเลย”
“แล้วร่างแท้ของนางมีอะไรผิดปกติไหม?”
ความจริงแล้วมีสิ่งผิดปกติอยู่ แต่หลิงเยว่หัวโล้นไม่กล้าพูดออกมา
นางกลัวว่าพวกผู่ตานจะประเมินตนเองต่ำเกินไป แล้วออกไปตามหา หลิงเยว่ หากออกไปแล้วไม่พบตัวก็แล้วไป แต่อาจถึงขั้นเอาชีวิตเข้าแลกคงลำบาก
หากเป็นเช่นนั้นนางจะไปอธิบายกับหลิงเยว่อย่างไรเล่า?
เด็กหัวโล้นสัมผัสได้ว่าต้นไม้แห่งชีวิตป่วย เพราะพลังชีวิตที่ผลิตออกมานั้นน้อยลงเรื่อย ๆ ใบไม้ใหม่ก็ไม่งอกออกมาอีก
“ไม่มีอะไร นางยังมีชีวิตอยู่” ผู่ตานฟังแล้วยังไม่วางใจ นับตั้งแต่ได้ยินว่าดินแดนเงาทมิฬและหกภพเปิดศึกกัน เขาก็รู้สึกไม่ดีมาตลอด และยิ่งได้ยินว่าเจ้าแห่งความตายที่สี่เรียกเจ้าวิญญาณมาไล่ล่าสามผีแห่งดินแดนเงาทมิฬ เขายิ่งรู้สึกแย่ลงไปอีก
แม้จะได้ยินว่าสามผีและลูกกลมดำหนีรอดไปได้ แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน?
เวลาผ่านไปจนใกล้จะครบกำหนดห้าปีที่เช่าไว้แล้ว ทำไมยังไม่เห็นกลับมาเลย?
“ไม่ได้ ข้าต้องออกไปดู!” ผู่ตานไม่มีความอดทนที่จะรออีกต่อไปแล้ว เขาต้องทำอะไรสักอย่าง!
“ข้าก็…” เล่อเหอยังคงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก
“เจ้าไปเก็บตัวบำเพ็ญเถิด ข้าจะออกไปดูลาดเลากับนกน้อยตัวนี้เอง”
ภูตผมสั้นเกาะลงบนไหล่ของผู่ตาน “ไปกันเถอะ”
“เจ้า…” ผู่ตานมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ภูตตัวน้อยรีบปิดปากเขาไว้ “ชู่! รีบไปเถอะ!”
ราชินีทะเลม่วงออกคำสั่งเด็ดขาดในทันทีที่กองทัพวิญญาณถูกเรียกออกมาว่า ห้ามภูตสีม่วงทุกตนออกจากทะเลม่วงแม้แต่ก้าวเดียว หากผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกประหารทันที!
“เจ้าไม่กลัวราชินีหรอกหรือ…” ผู่ตานที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ทำท่าลากนิ้วผ่านลำคอ
“ข้าเป็นโอรสของนาง อย่างมากก็แค่ถูกกักบริเวณไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น” ภูตผมสั้นกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
ผู่ตานฟังแล้วไม่ค่อยเชื่อนัก ด้วยราชินีทะเลม่วงมีลูกชายหลายร้อยคน แม้จะสูญเสียภูตที่อยู่ตรงหน้านี้ไป คงไม่ต่างกันมากนัก
“อย่ามัวชักช้า ข้าบอกแล้วว่าจะตอบแทนบุญคุณของหลิงเยว่ ข้าย่อมทำตามที่พูดแน่นอน” ภูตผมสั้นเร่งเร้าผู่ตาน “หรือว่าเจ้าไม่กล้าบินไป?”
การมีเจ้าเผ่าพันธุ์ภูตผมสั้นอยู่ด้วย ทำให้ผู่ตานรู้สึกมีความมั่นใจขึ้นมาบ้าง ยังดีกว่าที่ข้าต้องไปหาหลิงเยว่ตามลำพังด้วยความหวาดกลัว
ผู่ตานให้เจ้าภูตตัวน้อยซ่อนตัวในปกเสื้อของเขา จากนั้นก็จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ยืดอกเดินผ่านหน่วยลาดตระเวนของทะเลม่วง
ในตอนที่เขาคิดว่าหลบหน่วยลาดตระเวนได้อย่างราบรื่นแล้ว แต่จู่ ๆ หัวหน้าหน่วยก็เรียกผู่ตานเอาไว้ เขาตกใจมาก แต่สีหน้าไม่แสดงความตื่นตระหนกแม้แต่น้อย แล้วหันกายอย่างสงบเยือกเย็น “ท่านหัวหน้ามีธุระใดหรือ?”
“วันนี้องค์ชายเย่าไม่ได้ไปหาพวกเจ้าหรือ?”
“ไม่ได้ไปนะ เขาไม่ได้แจ้งราชินีว่าจะเก็บตัวสักระยะหรอกหรือ?”
“เป็นเช่นนั้นหรือ?”
หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนมีสีหน้าเคลือบแคลงใจ ก่อนหน้านี้เที่ได้ก้าวข้ามขอบเขต ทำไมไม่เก็บตัวบำเพ็ญตั้งแต่ตอนนั้น ผ่านมาเกือบสองปีแล้ว เพิ่งนึกขึ้นได้หรือ?
โอ้! อาจเป็นเพราะราชินีไม่อนุญาตให้คนในเผ่าออกไปข้างนอก เขาเลยรู้สึกเบื่อหน่ายกระมัง?
แต่ก็ไม่น่าใช่ เขาไปตลาดทุกวัน จะเบื่อได้อย่างไร?
หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนคิดไม่ออก แต่ผู่ตานไม่สนใจแล้ววิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย ด้านนอกทะเลสีม่วงอันตรายนะ ไม่ออกไปจะดีกว่า!”
หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนตะโกนใส่เงาร่างของผู่ตานที่กำลังจะหายไป คำเตือนด้วยความหวังดีของเขาไม่เพียงแต่ไม่ทำให้ผู่ตานหยุด แต่กลับทำให้อีกฝ่ายวิ่งเร็วขึ้นอีก
ช่างเถิด เขาไม่อาจห้ามปรามนกที่อยากตายได้
………………..