ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 543 พวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกัน?
บทที่ 543 พวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกัน?
ผู่ตานถอนหายใจอย่างโล่งอก หลังออกจากทะเลสีม่วงได้สำเร็จ ภูตตัวน้อยก็โผล่ออกมาจากปกเสื้อของเขา
“เราไม่สามารถไปดินแดนเงาทมิฬและหกภพได้แน่นอน เพราะเจ้าแห่งวิญญาณยังไม่จากไป”
ผู่ตานเห็นด้วยกับประเด็นนี้ เขาจึงได้วางแผนไว้แล้วว่าจะไปทิงหลินก่อน นั่นคือบริเวณภูเขาที่ถูกกองทัพวิญญาณทำลายล้างจนกลายเป็นแอ่งลึก
ความคิดนี้ตรงกับภูตผมสั้นพอดี “ที่นี่อยู่ห่างจากทิงหลินมาก เจ้าไหวหรือ?”
“ไม่ค่อยไหว” ผู่ตานยังคงมีความรู้ตัวอยู่บ้าง ดังนั้นเขาจึงพูดด้วยใบหน้าร้อนผ่าว “ที่นี่อยู่ใกล้เมืองมิติ ข้าเลยตัดสินใจจะใช้แท่นมิติแทน”
“งั้นไปกันเถอะ”
องค์ชายภูตตัวน้อยเห็นด้วย แต่แล้วก็พบว่านกน้อยตัวนี้ไม่ขยับ จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ไปสิ หากเจ้าไม่รู้จักทาง ข้าจะชี้ทางให้”
“ข้ารู้ว่าต้องไปทางไหน แค่…” ผู่ตานกระแอมอย่างเขินอาย “เจ้าคงมีแก่นว่างเปล่าอยู่ไม่น้อยสินะ? ขอยืมสักหน่อยได้ไหม?”
ผู่ตานที่ขอยืมเงินคนอื่นเป็นครั้งแรกรู้สึกหน้าร้อนผ่าวยิ่งขึ้น
องค์ชายภูตตัวน้อยแสดงสีหน้าเบื่อหน่าย เรื่องที่ทุกคนในโลกผู้บำเพ็ญเป็นคนจนนั้นได้แพร่สะพัดไปทั่วทะเลสีม่วงแล้ว ในฐานะผู้ที่คอยช่วยเหลือคนยากจนทุกครั้งที่มีโอกาส เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าผู่ตานไม่มีเงินจ่ายค่าแท่นมิติ
เมื่อเห็นองค์ชายภูตตัวน้อยตกลง ความร้อนรุ่มบนใบหน้าของผู่ตานพลันจางหาย แล้วมุ่งหน้าไปยังเมืองมิติทันที
“เอ่อ พวกเจ้าว่าสี่ผีแห่งดินแดนเงาทมิฬกับเผ่าสัตว์อสูรหมอกแห่งความว่างเปล่าตายจริงหรือ?”
“หากไม่ตาย เหตุใดถึงไม่ปรากฏตัวแม้แต่ตอนที่ดินแดนเงาทมิฬของตนถูกพวกวิญญาณร้ายยึดครองเล่า? วิญญาณผีพวกนั้นเห็นพวกพ้องสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด มันจะยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?”
“ใช่แล้ว ได้ยินมาว่าพวกเผ่าสัตว์หมอกที่เหลือตามหาพรรคพวกของตนไปทั่วโลก แต่ก็ไม่พบ ดูเหมือนว่าพวกมันคงตายไปจริง ๆ”
“แน่นอน แต่ไม่คิดว่าพวกมันจะไม่ต่อสู้แม้แต่น้อย…”
ทั่วทั้งเมืองมิติต่างพูดคุยถึงเรื่องของดินแดนเงาทมิฬ โลกแห่งความตายทั้งหกและกองทัพซากศพ
ไม่ว่าผู่ตานจะเดินผ่านไปที่ใด ล้วนแต่ได้ยินเรื่องเหล่านี้
หากสี่วิญญาณผีและเจ้าลูกกลมดำตายไปจริง เช่นนั้นศิษย์น้อง…
“เจ้าจะไปที่ใด พูดมาสิ!”
เสียงของผู้บำเพ็ญที่เฝ้าแท่นแฝงความหงุดหงิด ปลุกผู่ตานให้ตื่นจากภวังค์ความคิดของตน
“ข้าจะไปภูเขาทิงหลิน” ผู่ตานรีบยื่นถุงแก่นว่างเปล่าให้ผู้บำเพ็ญคนนั้น การใช้แท่นมิติแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องถูก ๆ เลย เขารู้สึกเสียดายเงินยิ่งนัก
ผู้บำเพ็ญมองผู่ตานด้วยความประหลาดใจ “เหตุการณ์วุ่นวายผ่านไปนานแล้ว เจ้าเพิ่งจะไปตอนนี้หรือ?”
แม้ว่าจะพูดเช่นนั้น แต่ผู้บำเพ็ญยังคงเก็บแก่นว่างเปล่าไว้ “หากเจ้าจะไป จงระวังตัวให้ดี เพราะพวกวิญญาณร้ายอาจปรากฏตัวขึ้นมาเป็นครั้งคราว”
ผู่ตานชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าให้ผู้บำเพ็ญด้วยความซาบซึ้ง
“มีใครอยากไปภูเขาทิงหลินอีกหรือไม่ ถ้าจะไปก็รีบเถอะ พวกข้ากำลังจะออกเดินทางแล้ว!”
ผู้บำเพ็ญตะโกนออกไปโดยไม่ได้คาดหวังอะไร แต่ผลปรากฏว่ามีคนป่วยโซเซคนหนึ่งเดินมา ใบหน้าซีดขาว เดินสองก้าวหอบสามที ดูเหมือนจะล้มลงได้ทุกเมื่อ ทำให้พวกเขาถึงกับพูดไม่ออก
ใกล้จะตายอยู่แล้วยังอยากไปดูเรื่องสนุกอีกหรือ? ชายร่างกายอ่อนแอส่งแก่นว่างเปล่าให้แก่ผู้บำเพ็ญที่ดูแลแท่นมิติ
“ไม่ใช่ ข้าจะไปดูความครึกครื้นเท่านั้น” ชายร่างกายอ่อนแอเดินเข้าไปในแท่นมิติ ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง แล้วไอออกมาเสียงดัง
ผู่ตานและภูตน้อยต่างแสดงสีหน้ารังเกียจพร้อมกัน คนผู้นี้สภาพร่างกายคงไม่ถึงขั้นจะตายก่อนถึงจุดหมายกระมัง? ดูเหมือนว่าคนป่วยจะรับรู้ถึงความคิดของผู้คนที่อยู่รอบข้าง เขายิ้มอย่างอ่อนแรงและกล่าวว่า “วางใจเถิด ข้ายังไม่ตายในเร็ววันนี้หรอก”
ขณะที่พูด สายตาของเขาหยุดอยู่บนใบหน้าของผู่ตานนานกว่าปกติเล็กน้อย
จู่ ๆ ทุกอย่างก็หมุนคว้าง ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ คนป่วยค่อย ๆ หมุนตัวมาอยู่ข้าง ๆ ผู่ตาน
แต่ก่อนที่ผู่ตานจะทันได้ทำอะไร วงเวทย์เคลื่อนย้ายก็หยุดลง พวกเขามาถึงแล้ว
หลังจากที่วงเวทย์เคลื่อนย้ายโยนทั้งสี่คนและภูตตนหนึ่งออกมา ก็ปิดตัวลงอย่างรวดเร็ว ผู่ตานเหมือนได้ยินเสียงกระดูกแตกของคนข้าง ๆ เขาตกใจจนต้องรีบถอยห่าง เพื่อป้องกันการถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุ คนป่วยคนนั้นกระดูกหักจริง ๆ สีหน้าซีดลงกว่าเดิม ดูคล้ายซากศพยิ่งนัก หากไม่ได้ยินเสียงหัวใจเต้น คู่สามีภรรยาคู่นั้นคงชักอาวุธออกมาแล้ว
แกร๊ก…
คนป่วยโรคเรื้อรังสีหน้าสงบนิ่งจัดกระดูกแขนของตัวเองกลับเข้าที่ด้วยท่าทางชำนาญ ราวกับเคยทำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
“อย่ามองอีกเลย พวกเราไปกันเถอะ”
“เป็นจริงดังคำเล่าลือ” ผู้บำเพ็ญหญิงแสดงสีหน้าเจ็บปวด นางไม่ได้เจ็บปวดที่สถานที่กลายเป็นเช่นนี้ แต่เพราะก่อนหน้านี้พวกนางได้ซ่อนสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งไว้ โดยตั้งใจจะหลบหนีผู้แย่งชิงสมบัติแล้วค่อยกลับมาเอาภายหลัง แต่ผลคือภูเขาทั้งลูกหายไปหมด สมบัติของพวกนางคงถูกฝังไปพร้อมกับเทือกเขาเป็นแน่
“หากรู้แต่แรก ข้าไม่ควร…” ผู้บำเพ็ญชายเหลือบเห็นผู่ตานเดินมา จึงหยุดพูดทันที แต่ยังไม่อาจซ่อนสายตาที่เต็มไปด้วยความเสียดายได้
เมื่อมีคนนอกอยู่ด้วย ผู่ตานจึงไม่กล้าตะโกนเรียกชื่อหลิงเยว่ที่นี่ ได้แต่สังเกตดูว่ามีร่องรอยที่ศิษย์น้องทิ้งไว้หรือไม่
คำตอบคือแน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ เทือกเขาที่กลายเป็นหลุมใหญ่ถูกเติมเต็มด้วยเถ้าถ่านสีเทาดำ ส่งกลิ่นเหม็นรุนแรง เถ้าถ่านที่เคยเรียบเสมอกันนั้นถูกขุดคุ้ยโดยผู้คนที่มาก่อนหน้า ซึ่งใต้นั้นไม่มีอะไรนอกจากเถ้าถ่านแล้ว
ผู่ตานยังคงไม่อาจยอมรับได้ว่าในเถ้าถ่านในหลุมนั้นมีส่วนหนึ่งของหลิงเยว่ นางต้องหนีไปแล้วแน่นอน!
แล้วนางจะหนีไปที่ไหนกันเล่า?
ที่ไม่ไปหาพวกเขาที่ทะเลม่วงคงเป็นเพราะกลัวจะทำให้พวกเขาเดือดร้อน ดังนั้นนางจะไปที่ไหนกัน?
บางทีศิษย์น้องอาจกลับไปยังสองภพแล้ว? ด้วยเหตุที่โลกของพวกเขาอยู่ในมุมอับของดินแดนว่างเปล่า คนทั่วไปแทบไม่มีใครผ่านไปแถวนั้น ยิ่งตอนนี้ถูกวิญญาณร้ายยึดครอง พลังแห่งความตายแผ่ขยาย ยิ่งไม่มีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้าไป
ผู่ตานจุดประกายความหวังขึ้นอีกครั้ง นำพาภูตน้อยมุ่งหน้าสู่ดินแดนสองภพ
เขาเชื่อว่าต้นไม้แห่งชีวิตและร่างศักดิ์สิทธิ์คงไม่อ่อนแอถึงเพียงนั้น พวกเขายังมีชีวิตอยู่แน่นอน เพียงแต่คาดเดาไม่ออกว่าพวกเขาหลบซ่อนตัวไปอยู่ที่ใดกันแน่
พวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกันนะ? ชายร่างกายอ่อนแอเคลื่อนสายตาไปยังหลุมลึกมากมาย จะซ่อนอยู่ที่นี่หรือไม่?
จิตสัมผัสอันทรงพลังแผ่ขยายออกอย่างรวดเร็ว คู่สามีภรรยาที่ยังคงยืนอยู่กับที่เสียใจที่สมบัติล้ำค่าของตนหายไปเพิ่งรู้สึกถึงความผิดปกติใต้เท้า ในชั่วขณะถัดมาพวกเขาก็ถูกจิตสัมผัสที่ระเบิดร่างเป็นละอองเลือด
ละอองเลือดย้อมเถ้าถ่านสีดำในหลุมลึกให้กลายเป็นสีแดง
ใบหน้าของชายร่างกายอ่อนแอที่เพิ่งสังหารสองคนในพริบตาเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำอย่างรวดเร็ว
ไม่มี! เป็นไปไม่ได้!
พวกเขาไปไหนกัน นั่นคือสิ่งที่เขาทุ่มเทความคิดและเวลามากมายในการค้นหาและบ่มเพาะร่างศักดิ์สิทธิ์และต้นไม้แห่งชีวิต!
เขาไม่ยอมให้พวกมันหายไปเด็ดขาด!
ผิวหนังที่เปลือยเปล่าของคนป่วยปรากฏอักขระประหลาดนับไม่ถ้วน ดูน่ากลัวและสยองขวัญ
ไอ้พวกซากศพชั่วช้า!
………………..