ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 55 ตายไปแล้วก็ยังรับมือไม่ไหว
บทที่ 55 ตายไปแล้วก็ยังรับมือไม่ไหว
บทที่ 55 ตายไปแล้วก็ยังรับมือไม่ไหว
“ศิษย์น้องหลิง เจ้าไปอยู่ที่ใดมา ข้ารอเจ้ามานานมากเหลือเกิน!”
ทันทีที่หลิงเยว่กลับมาจาก ‘โรงหนัง’ นางก็พบกับอวี้เจินที่กำลังวิ่งเข้ามาหานาง
นางลืมไปแล้วว่าวันนี้มิติลับของเหล่าศิษย์ขอบเขตสร้างรากฐานอนุญาตให้คนออกมาแล้ว นางจดจ่อกับการศึกษาคู่ต่อสู้เสียจนไม่มีเวลาทำอาหารวิญญาณด้วยซ้ำ
“ศิษย์พี่หญิงอวี้เจ้าคะ…”
“ข้านำของดีมาให้เจ้าเยอะแยะเลย”
อวี้เจินดึงหลิงเยว่ออกไปอย่างตื่นเต้น และแสดงให้เห็นวัตถุดิบอาหารมากมายที่นางเก็บเกี่ยวมาในระหว่างการอยู่ในมิติลับสิบห้าวัน
ซากศพของสัตว์อสูรกองพะเนินอย่างกับเนินเขา ทั้งหมดนี้หลิงเยว่เคยเห็นแต่ในตำราอาหารวิญญาณ แต่ไม่เคยเห็นของจริงมาก่อน
วัตถุดิบดูสดและน่าตกใจยิ่ง
“เป็นอย่างไรบ้าง ไม่เลวเลยใช่หรือไม่?”
อวี้เจินเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจโดยรู้ว่าศิษย์น้องหลิงจะต้องแสดงสีหน้าที่ไม่เคยเห็นโลกมาก่อนอย่างแน่นอน! นางคิดถูก!
“ศิษย์พี่หญิงอวี้ท่านน่าทึ่งมาก ข้าไม่เห็นอาการบาดเจ็บของท่านเลยแม้แต่น้อย!”
หลิงเยว่รู้สึกประหลาดใจครั้งแล้วครั้งเล่า และดวงตาที่น่ารักของนางก็ทำให้อวี้เจินเชิดทั้งหน้าและหน้าอกขึ้นโดยไม่รู้ตัว อวี้เจินเกือบจะตัวลอยไปอยู่แล้ว
ก่อนที่ตัวเองจะหลงไปกับความภาคภูมิใจ อวี้เจินก็รีบถาม “เจ้าคิดสูตรออกแล้วหรือไม่ ว่าจะเอาพวกมันทำอาหารอะไร ข้าขอกินมันแบบเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เลยนะ?”
อวี้เจินถามคำถามสามข้อติดต่อกัน ด้วยสีหน้าที่หิวกระหายอย่างถึงที่สุด ทำให้หลิงเยว่แทบจะหัวเราะออกมา
“ศิษย์พี่หญิงอวี้เจ้าคะ ข้าอยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นหกเท่านั้น”
หลิงเยว่ต้องการจัดการกับวัตถุดิบด้วยมือของนางเอง แต่ด้วยระดับการบำเพ็ญในปัจจุบันนั้นจึงยังไม่สามารถจัดการกับวัตถุดิบระดับสูงเหล่านี้ได้ แค่แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากซากศพของสัตว์อสูรเหล่านี้ก็แทบจะทำให้ขาของนางอ่อนแรงแล้ว
ขนาดตายไปแล้วยังรับมือไม่ไหว เฮ้อ… รับมือไม่ไหวจริง ๆ
“ข้าจัดการเรื่องนั้นเอง อีกเดี๋ยวลู่เป่ยเหยียนก็จะมาเป็นลูกมือให้เจ้าด้วย วันนี้เรามากินเนื้อย่างกันดีหรือไม่”
การทำเนื้อย่างสามารถช่วยผ่อนแรงหลิงเยว่ได้มาก นางแค่ต้องหมักเนื้อ และจากนั้นก็สอนให้คนอื่น ๆ ทำหน้าที่ต่าง ๆ แทนได้!
หลิงเยว่กำลังเตรียมเครื่องปรุงในขณะที่ดูอวี้เจินจัดการกับวัตถุดิบ หลังจากเห็นว่ากระดูกของสัตว์อสูรที่อยู่ข้างในบางส่วนแตกหัก ขากรรไกรของหลิงเยว่ก็แทบค้าง สวรรค์! นี่ต้องใช้พละกำลังมากเพียงใด จึงจะสามารถสร้างความเสียหายเช่นนี้ได้!
“ศิษย์พี่หญิงอวี้ จริง ๆ แล้ว… เมื่อเอาไขกระดูกจากสัตว์อสูรมาย่างก็อร่อยเช่นกันนะเจ้าคะ”
หลิงเยว่รู้สึกเสียดาย
“จริงหรือ?”
เมื่อได้ยินดังนั้นอวี้เจินก็รีบลากสัตว์อสูรสีแดงเพลิงที่มีลำตัวราวกับวัว แต่มีหัวเป็นนกออกมาอย่างรวดเร็ว มันดูแปลก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกจ้องมองด้วยดวงตากระดิ่งทองแดงคู่ใหญ่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันทำให้หลิงเยว่รู้สึกเหมือนนางกำลังตกลงไปในทะเลเพลิงพลันรู้สึกแสบร้อน
“กระดูกในตัวของวัวเพลิงนี้ยังไม่บุบสลาย!”
หลังจากพูดเช่นนั้นอวี้เจินก็กระชากส่วนหัวที่เป็นนกออกแล้วโยนมันทิ้งไปเหมือนกำลังถอนวัชพืช
กระชาก… ก็หลุดเลยหรือ
หลิงเยว่แทบจะมองดูอวี้เจินตรง ๆ ไม่ได้ หญิงสาวที่ตอนนี้ทำตัวน่ารักกลับมีวิธีการทำอาหารโหดร้ายนัก!
ขณะที่หลิงเยว่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง นางก็ถูกลู่เป่ยเหยียนซึ่งทำตัวเหมือนหัวขโมยมาดึงนางไปที่มุมห้อง จากนั้นเขาก็ยื่นบางอย่างที่มีรูปร่างเป็นเจดีย์ห้าชั้นสีดำมาให้…
“นี่คือสิ่งที่ข้าสัญญากับเจ้าก่อนหน้านี้ เจดีย์มารจองจำเบญจธาตุ”
“เจดีย์มารจองจำ?”
หลิงเยว่กลืนน้ำลายของนาง ความคิดแรกที่เข้ามาในใจก็คือนางสามารถใช้สิ่งนี้เพื่อเก็บสัตว์อสูรหรือสัตว์วิญญาณได้ในอนาคต คงจะดีมากถ้าได้กินอาหารสดใหม่!
“ใช่ เจ้าสามารถจองจำอะไรก็ได้ในนั้น มันทรงพลังมาก…” ลู่เป่ยเหยียนมีบางอย่างจะพูดแต่ลังเล
“ศิษย์พี่ลู่ ถ้าท่านจะพูดอะไรก็พูดมาได้เลยเจ้าค่ะ”
“อันที่จริง… ตอนนี้มันยังไม่สมบูรณ์และสามารถจองจำได้เพียงสัตว์อสูรระดับต่ำเท่านั้น มันต้องใช้วัสดุบางอย่างในการซ่อมแซม อาจารย์ของข้าบอกว่าตราบใดที่เจ้าสามารถหาวัสดุที่จำเป็นมาได้ เขาจะซ่อมแซมมันให้กับเจ้าเป็นการส่วนตัว”
เสียงของลู่เป่ยเหยียนเบาลงเรื่อย ๆ เมื่อเขาพูดอธิบาย อันที่จริงสาเหตุที่เขาลากหลิงเยว่มาที่มุมห้องก็เพื่อพูดคุยเพราะเรื่องนี้ หากเจดีย์มารจองจำเบญจธาตุสมบูรณ์ เขาก็สามารถอวดอ้างเสียงดังได้ แต่ตอนนี้มันเป็นเพียงสิ่งที่เขาอธิบายได้อย่างเบา ๆ เท่านั้น
“วัสดุอะไรหรือ?”
เสียงที่จู่ ๆ ก็ดังขึ้นของโม่จวินเจ๋อทำให้ทั้งสองตกใจ
“วัสดุประเภทใดที่ไม่มีอยู่ในยอดเขาหลอมศาสตราของเจ้าอีก นี่เจ้าคิดอย่างไรถึงมาขอให้ศิษย์ขอบเขตกลั่นลมปราณออกไปค้นหาด้วยตัวเองเช่นนี้?”
หลิงเยว่รู้สึกว่านางถูกโม่จวินเจ๋อเหยียบย่ำทางอ้อม ชายคนนี้พูดดี ๆ หน่อยได้หรือไม่ เหตุใดการที่นางอยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณจะหาวัสดุเจอไม่ได้ หรือต่อให้หาไม่เจอในโลกภายนอกจริง ๆ นางก็ยังมีระบบแลกเปลี่ยน! สามารถแลกมันออกมาด้วยแต้ม ทำให้เขาตกใจจนตายเลยดีหรือไม่!
แน่นอนว่าหลิงเยว่เพียงแค่คิดเฉย ๆ
ลู่เป่ยเหยียนหรี่ตามองโม่จวินเจ๋อ ชายคนนี้จะไปรู้อะไร เป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับอาวุธวิญญาณที่ทรงพลังโดยไม่ต้องจ่าย แม้ว่าเจดีย์มารจองจำนี้จะยังไม่สมบูรณ์ แต่มันก็ยังคงเป็นสิ่งที่ทำให้สิ่งมีชีวิตมากมายในโลกนี้ต้องหดหัวด้วยความกลัว!
เขาตกใจมากว่าเหตุใดอาจารย์ถึงเอาอาวุธวิญญาณเช่นนี้ออกมา มันคือ เจดีย์มารจองจำเบญจธาตุ มันเป็นอาวุธวิญญาณที่สามารถจองจำทุกสิ่งในโลกได้!
“ผลึกแก่นแท้ หยดนมศิลา…”
หลิงเยว่รู้สึกสับสนหลังจากได้ยินรายชื่อวัสดุ นางแอบเปิดร้านระบบแลกเปลี่ยนและพบชื่อที่จำได้ จากนั้นนางก็ยิ่งมึนงง
ผลึกแก่นแท้เพียงอย่างเดียวต้องใช้ค่าพลังวิญญาณสามล้านแต้ม หากนางซื้อวัสดุทั้งหมดสิบหกชนิด นางจะต้องใช้ค่าพลังวิญญาณเกือบสามสิบล้านแต้ม!
ฆ่านางให้ตายเสียเถอะ!
โม่จวินเจ๋อไม่ใช่นักหลอมศาสตรา ชื่อบางอย่างของวัสดุเหล่านี้คุ้นหูของเขาบ้าง แต่บางอย่างเขาก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน วัสดุบางอย่างอาจเป็นของจากยุคโบราณเสียด้วยซ้ำ
“ยังเหมือนเดิมจริง ๆ ยอดเขาหลอมศาสตราของเจ้ายังคงชอบใช้อาวุธวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์มาหลอกลวงผู้คน”
ใบหน้าของลู่เป่ยเหยียนเปลี่ยนเป็นสีแดง มือของเขาพลันอยู่ไม่สุขหลังจากถูกกล่าวหาเช่นนี้ แต่โม่จวินเจ๋อพูดความจริง วัสดุทั้งหมดที่จำเป็นในการซ่อมแซมเจดีย์มารจองจำเบญจธาตุเป็นวัสดุระดับสูงที่สุดทั้งนั้น การคิดจะหามันเจอได้ทั้งหมดนั้นไม่ต่างอะไรกับการฝันกลางวัน
“ขอบคุณศิษย์พี่ลู่ ข้าขอฝากขอบคุณท่านอาจารย์ต้วนด้วยนะเจ้าคะ”
หลิงเยว่ไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก นางค่อยรอจนกว่าตนเองจะมีค่าพลังวิญญาณพอก่อน แล้วค่อยคิดเรื่องซ่อมแซมมันอีกที
นางมีวัตถุดิบให้ซื้อแต่มีแต้มไม่พอ
“พวกเจ้าสามคนมัวแต่คุยไร้สาระอะไรกันอยู่! มาช่วยกันด้วยสิ!”
อวี้เจินไม่พอใจที่นางต้องทำงานหนักอยู่คนเดียว แต่อีกสามคนกลับแอบไปคุยกันอย่างสนุกเช่นนั้น!
เนื้อของวัวเพลิงถูกเลาะออกจากโครงกระดูกของมันอย่างสมบูรณ์โดยอวี้เจิน กระดูกยังคงเป็นสีแดงอ่อนจนสามารถมองเห็นไขกระดูกด้านใน
มุมปากของหลิงเยว่กระตุก นางบอกว่าไขกระดูกอร่อยและอวี้เจินก็ชำแหละวัวทั้งตัวทันที แบบนี้ครั้งต่อไปที่นางบอกว่าสัตว์อสูรระดับสูงตัวใดรสชาติเยี่ยม ตามนิสัยของอวี้เจินแม้ว่าจะเอาชนะสัตว์อสูรตัวนั้นไม่ได้ ทว่าก็คงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้มาอย่างแน่นอน
อีกอย่างไขกระดูกแม้จะมีรสชาติดีแต่ปริมาณของมันก็น้อยเพียงพอให้กินได้ไม่กี่คำเท่านั้น หลิงเยว่ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้จะรับได้หรือไม่
“ผ่าครึ่งกระดูกออกเจ้าค่ะ”
หลังจากที่หลิงเยว่พูดจบ นางก็หันไปมองที่โม่จวินเจ๋อ อวี้เจินและลู่เป่ยเหยียนที่กำลังมองมาอย่างเงียบ ๆ
โม่จวินเจ๋อเม้มริมฝีปากและนิ่งเงียบ จากนั้นเรียกกระบี่เหมันต์เร้นลับออกมา ทันทีที่กระบี่ได้ยินว่ามันต้องรับหน้าที่ผ่ากระดูก มันก็บินหายไปในท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
ทั้งสี่คน “…”
“มาแล้ว!”
ติงหลิวหลิ่วที่เพิ่งมาถึงพับแขนเสื้อขึ้นแล้วหยิบมีดยาวออกมา ในขณะที่นางกำลังจะสับ อวี้เจินก็คว้ามันไป “เจ้าจะสามารถสับมันได้ด้วยแขนเล็ก ๆ ของเจ้าได้อย่างไร?”
อย่าดูถูกกันถึงเพียงนี้สิ!
ติงหลิวหลิ่วเกือบจะร้องไห้ด้วยความโกรธ
“ไอ้สิ่งนี้มันจะไปอร่อยได้อย่างไร?”
ว่านอวี้เฟิงมองมันด้วยความรังเกียจขณะที่มันถูกผ่าครึ่งจนเผยให้เห็นไขกระดูกสีแดงอ่อนที่อยู่ข้างใน
เนื้อไม่อร่อยพอหรืออย่างไร เหตุใดต้องอยากกินสิ่งนี้ด้วย?
ไขกระดูกสีแดงอ่อนนั้นค่อนข้างดูแปลกประหลาด ทว่าหลิงเยว่รอคอยที่จะได้ลองรสชาติของมันจริง ๆ ว่ามันจะแตกต่างจากไขกระดูกวัวทั่วไปอย่างไรบ้าง
เมื่อทุกคนมาถึง งานเลี้ยงเนื้อย่างอันคึกคักก็เริ่มขึ้น
ภูเขาเต็มไปด้วยกลิ่นหอมซึ่งทำให้นักกลั่นโอสถที่เดินผ่านไปมาต่างหยุดกึก
ไขกระดูกวัวเพลิงย่างที่อวี้เจินและหลิงเยว่รอคอยมากที่สุด ในที่สุดก็ย่างเสร็จแล้ว!
กลิ่นนั้นช่างน่าทึ่งมาก!
ทั้งสองคนตักขึ้นมาหนึ่งช้อนเต็มเกือบจะในเวลาเดียวกัน ก่อนจะเป่าสองสามทีแล้วยัดมันเข้าไปในปากของพวกนาง
เมื่อไขกระดูกละลายในปาก รสชาติของมันก็ปะทุ ไม่มันเลี่ยน คล้ายกินวุ้นรสผลไม้แต่เป็นรสเผ็ด
มันเต็มไปด้วยปราณอัคคีทำให้ผู้คนอดกินอีกช้อนเต็ม ๆ ทีละช้อนไม่ได้