ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 551 ต้นไม้มีพิษจริง ๆ!
บทที่ 551 ต้นไม้มีพิษจริง ๆ!
หลิงเยว่หน้ามุ่ยขณะเผชิญหน้ากับต้นไม้ปีศาจ เสียงหัวเราะเยาะหยันของต้นไม้ปีศาจยังก้องอยู่ในหูของนาง
นางจะทำให้ต้นไม้ปีศาจยอมรับนางได้อย่างไร?
ใบไม้สีเทาเข้มชอบนางมาก ทำไมตอนนี้นางมาหาแล้วกลับถูกกีดกันเช่นนี้?
เหตุใดเสี่ยวจินจึงไม่ถูกกีดกันจากต้นไม้วิญญาณครึ่งปีศาจเล่า?
บางทีอาจเป็นเพราะเสี่ยวจินยังเป็นเพียงต้นอ่อน พลังแห่งการกีดกันของมันจึงแทบไม่มีผลกับต้นไม้ปีศาจ ในทางกลับกันสถานการณ์ของนางกับร่างจริงของต้นไม้ปีศาจนั้นแตกต่าง เพราะหลิงเยว่เป็นเพียงต้นอ่อนเท่านั้น
จิ๊!
“อย่าได้โบกสะบัดกิ่งก้านไปมาเลย พวกเรามาเจรจากันดี ๆ ไม่ได้หรือ?” หลิงเยว่พยายามสื่อสารกับต้นไม้ปีศาจไร้เจ้าของ แต่น่าเสียดายที่การตอบสนองของมันคือการใช้กิ่งไม้ฟาดฟันและขับไล่นางไม่หยุด
แม้ว่ากิ่งก้านเหล่านี้จะฟาดฟันไม่แรง ทำร้ายนางไม่ได้มาก แต่ยังทำให้หลิงเยว่รู้สึกขุ่นเคืองและร้อนใจยิ่งนัก เพราะเวลาที่นับถอยหลังผ่านไปเกือบเก้าเดือนแล้ว นางยังไม่สามารถอยู่ใกล้ต้นไม้ปีศาจได้เลย แล้วจะหลอมรวมได้อย่างไรกัน!?
หลิงเยว่กังวลว่าญาติสนิทมิตรสหายของนางจะไม่มีใครปกป้อง
“เจ้าคิดว่ามันจะฟังคำเจ้ารู้เรื่องหรือ?” ต้นไม้ปีศาจอ้าปากพูดแทงใจดำอีกครา
“ที่มันเป็นแบบนี้ เจ้ายุแยงมันหรือไม่?” บัดนี้หลิงเยว่มีเหตุผลพอที่จะสงสัยว่า ก่อนต้นไม้ปีศาจครึ่งซีกจะแยกออกจากต้นกำเนิดได้สั่งการต้นกำเนิดให้ทำเช่นนี้ เพียงเพื่อจะได้ดูนางตกที่นั่งลำบาก!
ช่างเป็นต้นไม้ที่ร้ายกาจนัก!
“อย่าได้กล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานสิ เพียงแต่จิตวิญญาณต้นกำเนิดของเจ้าบริสุทธิ์ยิ่งนัก พลังชีวิตก็รุนแรงเกินไป ทำให้มันรู้สึกถึงภัยคุกคาม หากเจ้าอยากจะหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับต้นกำเนิดของต้นไม้นี้ได้ คงมีเพียงวิธีเดียว”
แม้ต้นไม้ปีศาจครึ่งซีกจะไม่อยากยอมรับ แต่หลิงเยว่ช่างสะอาดบริสุทธิ์กว่ามันอย่างแท้จริง
หลิงเยว่รู้สึกว่าวิธีที่ต้นไม้ปีศาจพูดนั้นไม่น่าจะเป็นวิธีที่ดี แต่ตอนนี้นางจนปัญญาจริง ๆ จึงเอ่ยปากถามว่า “วิธี… อะไร”
“ก็ทำให้ตัวเองสกปรกยังไงล่ะ!” พูดจบต้นไม้ปีศาจก็หัวเราะเสียงดังกว่าเดิม
“แต่เจ้าต้องคิดให้ดีนะ หลังจากทำให้ตัวเองสกปรกแล้ว อีกครึ่งร่างของเจ้าอาจจะ ฮิ ๆ ๆ…”
หลิงเยว่ “…”
ก่อนหน้านี้หลิงเยว่ถูกเทพปีศาจกักขังเอาไว้ช่วงหนึ่ง ทำให้ลอบมองความทรงจำของเขาได้เล็กน้อย ความทรงจำส่วนใหญ่นั้นไม่สำคัญ แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่สำคัญมาก
นางมองผ่านเทพปีศาจ รู้ว่าเขามีวิธีแยกจิตวิญญาณของตัวเองได้อย่างไร หลิงเยว่ ยังคงจำภาพลักษณ์ของจิตวิญญาณที่น่าเกลียดและเจ็บปวดของเทพปีศาจได้ นางอยากลองดูบ้าง การแยกออกไปครึ่งหนึ่งไม่น่าจะเจ็บมาก… กระมัง?
เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่เจ็บปวด มันเหมือนกับการฉีกจิตวิญญาณของตัวเอง รวมถึงร่างกายออกเป็นสองส่วน แค่คิดหลิงเยว่ก็รู้สึกเจ็บแล้ว
จิตวิญญาณครึ่งหนึ่งหลอมรวมกับต้นไม้ปีศาจ อีกครึ่งหนึ่งเก็บไว้ เท่านี้ก็จะไม่ถูกต้นกำเนิดของตัวเองขับไล่แล้วใช่หรือไม่?
หลิงเยว่ครุ่นคิดอยู่นาน นางนึกทบทวนวิธีแยกวิญญาณของเทพปีศาจหลายร้อยครั้ง จนกระทั่งมั่นใจว่ารู้ตัวตลอดและจะไม่ผิดพลาด จากนั้นจึงสูดหายใจเข้าลึก ๆ
“เจ้าลงมาข้างล่างหน่อย”
ทันทีที่ได้รับข้อความเสียงจากหลิงเยว่ โม่จวินเจ๋อไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขากระโดดลงไปในหลุมขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าในทันที
การเคลื่อนไหวของเขาเบาบางมาก จนผู่ตานและอีกาสุริยันที่กำลังนั่งสมาธิฝึกฝนอยู่มิรู้ตัวเลยแม้แต่น้อย
ในชั่วพริบตาโม่จวินเจ๋อก็ปรากฏตัวตรงหน้าหลิงเยว่
ต้นอ่อนเสี่ยวจินที่อยู่ด้านข้างหัวเราะเยาะทันที น้ำเสียงนั้นโม่จวินเจ๋อจำได้
ดูเหมือนว่าพวกนางยังไม่ได้เริ่มรวม แล้วสองเดือนก่อนหน้านี้… หลิงเยว่ทำอะไรอยู่?
หลิงเยว่รู้สึกอายเกินกว่าจะพูดได้ จึงได้แต่ดึงโม่จวินเจ๋อไปที่มุมห้องแล้วกระซิบกระซาบกัน ต้นไม้ปีศาจครึ่งต้นตั้งใบเล็ก ๆ ขึ้นเพื่อแอบฟัง แต่กลับไม่ได้ยินแม้แต่พยางค์เดียว
ทุกคนสนิทกันขนาดนี้แล้ว ยังแอบคุยกันลับหลังนางอีก!
“เจ้าแน่ใจหรือ?” โม่จวินเจ๋อไม่คาดว่าหลิงเยว่จะคิดแผนการนี้ได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าการแบ่งวิญญาณจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด แม้ว่า…
ก็ยังคงมีโอกาสอยู่
“เพราะไม่แน่ใจข้าจึงให้เจ้าลงมาช่วยอย่างไรเล่า?” หลิงเยว่ยิ้มแห้ง ๆ แม้ว่าจะฝึกฝนการแบ่งวิญญาณในใจมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ยังไม่มั่นใจนัก หากมีโม่จวินเจ๋อลงมาช่วยอัตราความสำเร็จอาจจะสูงขึ้น
“อืม” โม่จวินเจ๋อรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่หลิงเยว่บอกเขาก่อนเป็นคนแรกทุกครั้ง นางไม่ได้เลือกที่จะบอกอีกาสุริยัน และไม่ได้เรียกผู่ตาน
หากหลิงเยว่รู้ว่าโม่จวินเจ๋อคิดสิ่งใดอยู่ในใจ นางคงพูดไม่ออก
เอาเถิด ถึงแม้นางจะรู้ นางคงจะเรียกโม่จวินเจ๋ออยู่ดี เพราะพวกเขามีร่างกายที่เชื่อมถึงกัน การให้เขามาช่วยเหลือจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“เช่นนั้นข้าเริ่มเลยนะ”
โม่จวินเจ๋อเก็บต้นอ่อนที่แอบฟังกลับไป หลังจากนั้นจึงพยักหน้าให้หลิงเยว่
“พวกเจ้าจะทำอะไรกับร่างต้นไม้ของข้า เหตุใดจึงไม่ให้ข้าดู!” ต้นไม้ปีศาจดิ้นรน ทว่าตอนนี้นางมิใช่ต้นไม้ปีศาจอย่างในอดีตแล้ว ไม่อาจดิ้นรนออกมาได้ และหลังจากเข้าไปในหัวใจของโม่จวินเจ๋อ นางก็หมดสติไป
แสงทองคุ้มครองของต้นอ่อนไว้แน่นหนา กำลังชำระล้างต้นไม้ปีศาจครึ่งซีก…
เมื่อหลิงเยว่เห็นดังนั้น นางจึงตรงไปเบื้องหน้าต้นไม้ปีศาจครึ่งซีกที่กำลังหดเล็กลง ทันทีที่นางเข้าใกล้ ต้นไม้นี้ก็แผ่กิ่งก้านสาขาออกทันที ราวกับเกรงว่านางจะทำมันแปดเปื้อน
ความคิดเช่นนี้ทำให้หลิงเยว่รู้สึกชาไปทั้งตัว
นางนั่งขัดสมาธิในจุดที่ต้นไม้ปีศาจครึ่งซีกไม่สามารถทำอันตรายนางได้ หลับตาลง
วิญญาณสีทองค่อย ๆ ออกจากร่างของหลิงเยว่ นางมองร่างของตนเองแวบหนึ่ง จากนั้นมองไปที่โม่จวินเจ๋อที่มีสีหน้าเคร่งขรึม
“คนที่ไม่รู้คงคิดว่าเจ้ากำลังแบ่งวิญญาณ” โม่จวินเจ๋อผ่อนคลายสีหน้าเคร่งขรึมลง
หลังจากหยอกเย้าเสร็จ หลิงเยว่ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจัง การแบ่งแยกวิญญาณนั้นไม่ใช่การผ่าวิญญาณออกเป็นสองส่วนโดยตรง แต่เป็นการแยกสิ่งที่เรียกว่าอารมณ์ทั้งเจ็ดออกมาสร้างเป็นวิญญาณใหม่
นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมเทพปีศาจแต่ละร่างจึงมีนิสัยแตกต่างกันออกไป
หลิงเยว่ไม่ต้องการร่างมากมาย ของเพียงเพียงร่างเดียวก็พอแล้ว ดังนั้นนางจึงคิดไว้แล้วว่าจะแยกส่วนใดออกไป เพราะไม่ว่าอย่างไรหลังจากหลอมรวมแล้ว หากราบรื่นก็จะกลับไปยังทะเลม่วงเพื่อหลอมรวมกับอีกครึ่งหนึ่ง ‘นาง’ คงไม่แยกจากกันนานนัก
แสงสีทองของจิตวิญญาณค่อย ๆ ถูกดึงออกไป หลิงเยว่เบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด…
อีกาสุริยันที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ ๆ รู้สึกเจ็บแปลบที่จิตวิญญาณ พอลืมตาขึ้นก็ไม่รู้สึกเจ็บแล้ว
แปลกนัก…
อีกาสุริยันเหลือบไปเห็นที่ที่โม่จวินเจ๋อเคยนั่งอยู่ตอนนี้ว่างเปล่า จึงถามผู่ตานที่กำลังจดจ่ออยู่กับการบำเพ็ญ “โม่จวินเจ๋อไปไหน?”
“ก็อยู่ตรงนี้…” ผู่ตานชี้นิ้วไปตรงข้ามอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะอ้าปากค้าง เขาหายไปไหน!?
หรือว่าแอบพาศิษย์น้องหนีไปแล้ว!?
เรื่องนี้อาจเป็นไปได้ เพราะเดิมทีเขารู้สึกถึงความคิดของคนตระกูลโม่ผู้นั้นอย่างเลือนลางตั้งแต่ที่สำนักหลานเทียนแล้ว!
………………..