ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 555 พวกเจ้าได้ยินหรือไม่
บทที่ 555 พวกเจ้าได้ยินหรือไม่
“เอ๊ะ แปลกจริง เหตุใดเจ้าถึงไม่มีปฏิกิริยาเลย?”
ขณะที่หลิงเยว่กำลังภาคภูมิใจกับพลังของตน นางก็สังเกตเห็นว่าพลังของโม่จวินเจ๋อ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ทั้งที่ร่างกายพวกนางเชื่อมโยงถึงกัน แล้วเหตุใด…?
สิ่งที่แปลกประหลาดกว่าก็คือ เหนือศีรษะของนางไม่มีเมฆฟ้าคำราม หรือว่าเป็นเพราะนางไม่ใช่คนของดินแดนว่างเปล่า วิถีสวรรค์จึงไม่อยากเพิ่มภาระงาน ทำเป็นไม่สนใจเสียเลย?
หลิงเยว่มองดูโม่จวินเจ๋อ หันมาสำรวจร่างกายของตัวเอง แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้า ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก บางทีการคาดเดาของนางในตอนนี้อาจจะเป็นความจริงก็ได้?
สำหรับประเด็นนี้ โม่จวินเจ๋อก็ไม่เข้าใจเช่นกัน อาจเป็นเพราะสิ่งที่เชื่อมต่อกับเขาคือวิญญาณอีกครึ่งของหลิงเยว่ที่กำลังหลับใหลอยู่ในร่างของเขากระมัง?
“ศิษย์น้อง ตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง? มีความรู้สึกอยากทำลายทุกสิ่งที่เห็นหรือไม่?”
ผู่ตานถามอย่างระมัดระวัง เพราะเขาเคยอยู่ในเหตุการณ์ตอนที่ต้นไม้ปีศาจคลั่ง หากศิษย์น้องกลายเป็นเช่นนั้น เมื่อเขาตายไปแล้วจะไปอธิบายกับอาจารย์และคนอื่น ๆ อย่างไร?
“ไม่มีก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ?” โม่จวินเจ๋อชำเลืองมองไปทางผู่ตาน
เจ้านี่หวังให้หลิงเยว่เปิดฉากสังหารแบบไม่ไว้หน้าใครหรือไร?
ผู่ตานที่เข้าใจสายตาของโม่จวินเจ๋อ จึงชำเลืองตอบกลับ เขาแค่เป็นห่วงเท่านั้นเอง ทำไมโม่จวินเจ๋อถึงได้คิดว่าเขาเป็นคนมืดมนแบบนั้นเล่า?
เขาเป็นที่ยอมรับของสำนักหลานเทียน เอ๊ย! ไม่สิ โลกผู้บำเพ็ญว่าเป็นชายหนุ่มที่ร่าเริงสดใสเชียวนะ!
ทั้งสองจ้องตากันจนแทบจะมีประกายไฟแลบออกมา ทันใดนั้นหลิงเยว่ก็อุทานขึ้น แล้วเดินไปอีกทางหนึ่ง “ที่นี่เกิดอะไรขึ้น?”
ทิศทางที่นางมุ่งหน้าไปคือสถานที่ที่จอมวิญญาณและผู้บำเพ็ญที่รู้เรื่องต่อสู้กันก่อนหน้านี้ หลิงเยว่ใช้เท้าเขี่ยฝุ่นที่ปกคลุมพื้นออก ปรากฏเป็นรอยสีน้ำตาลอย่างชัดเจน
“ก่อนหน้านี้จอมวิญญาณและกลุ่มผู้บำเพ็ญได้ผ่านมา ดูเหมือนว่าผู้บำเพ็ญจะสู้ไม่ได้และถูกทำลายแล้ว”
โม่จวินเจ๋อขมวดคิ้ว ในเวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา กลุ่มผู้บำเพ็ญที่มีพลังใกล้เคียงกับเขากว่าสิบคนถูกทำลายสิ้น เรียกได้ว่าจอมวิญญาณเป็นศัตรูที่น่ากลัวอย่างแท้จริง!
“พวกเราควรรีบเดินทางต่อ!” ผู่ตานนึกถึงคนป่วยและเงาดำสี่ตนที่เคยผ่านมาก่อนหน้านี้ แค่จอมวิญญาณตนเดียวยังแข็งแกร่งขนาดนี้แล้ว ถ้าเจอสี่คนพร้อมกัน พวกเขาคงไม่มีโอกาสแม้แต่จะดิ้นรนเป็นแน่
ขณะที่ทั้งสี่กำลังจะจากไป เสียงเบา ๆ แว่วเข้าหูหลิงเยว่ นางมองไปรอบ ๆ ด้วยความแปลกใจ แล้วหันไปถามโม่จวินเจ๋อ ผู่ตานและอีกาสุริยัน “พวกเจ้าได้ยินหรือไม่?”
“เจ้าได้ยินอะไรหรือ?” ผู่ตานถามอย่างสงสัย
“เสียงเหล่านั้นกลับมารบกวนเจ้าอีกแล้วหรือ?” สีหน้าของโม่จวินเจ๋อเคร่งเครียดขึ้น
“อะไรกัน พวกเจ้ากำลังพูดถึงอะไร?” อีกาสุริยันมองไปรอบ ๆ อย่างงุนงง รอบข้างมีเพียงลมหนาวพัดผ่าน ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเลย จะมีเสียงอะไรได้?
“มีคนกำลังพูดอยู่ข้างหูข้า” หลิงเยว่มองไปยังแอ่งน้ำศพที่แห้งเหือง นางมั่นใจว่าผู้พูดจะต้องเป็นผู้บำเพ็ญที่ถูกจองวิญญาณจัดการไปแล้วแน่นอน
“เจ้า… เจ้าได้ยินข้าพูดจริง ๆ หรือ?”ความคิดคำนึงนั้นแท้จริงแล้วเป็นเพียงการลองดู โดยไม่ได้คาดหวังว่าจะมีใครได้ยินจริง ๆ แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น…
“ข้ากำลังจะสลายไป ตอนนี้ได้แต่พูดให้สั้นที่สุด พวกเจ้ารีบไปแจ้งราชินีแห่งทะเลม่วงว่า ทะเลม่วงเป็นเป้าหมายที่สามของจอมวิญญาณ ตอนนี้เขาคงใกล้จะถึงแล้ว” ผู้พูดเอ่ยอย่างรวดเร็ว
โชคดีที่หลิงเยว่ฟังเข้าใจ
“มิเช่นนั้น… เจ้าคิดว่าพวกข้าตายเพราะอะไร…”
การพูดคุยกับหลิงเยว่เป็นเพียงความยึดมั่นสุดท้ายของผู้บำเพ็ญ หลังจากบอกข่าวสารแล้วก็สลายไปทันที
“เร็วเข้า โลกผู้บำเพ็ญกำลังตกอยู่ในอันตราย!” หลิงเยว่มองทุกคนอย่างร้อนรน เป็นการบอกให้พวกเขาแปลงร่างเป็นร่างแท้ และเข้าไปในร่างของนาง นางต้องรีบเดินทางแล้ว
อีกาสุริยันแปลงร่างเป็นลำแสงโดยสมัครใจ แต่เดิมนางตั้งใจจะเข้าไปในร่างของหลิงเยว่ ผู้ทำสัญญากับนาง แต่ลองหลายครั้งกลับล้มเหลว นางจึงหันไปเข้าร่างของโม่จวินเจ๋อแทน กลับพบว่าราบรื่นอย่างไม่คาดคิดโม่จวินเจ๋อ
“???”
ไม่นานเขาก็เข้าใจแล้ว คงเป็นเพราะอีกครึ่งของวิญญาณหลิงเยว่อยู่ในร่างของเขา
ผู่ตานเพิ่งเปลี่ยนร่างกลับเป็นร่างเดิม หดตัวลงยืนอยู่บนไหล่ของหลิงเยว่ โม่จวินเจ๋อลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปาก “ข้าสามารถลองวางค่ายกลตรงไปยังทะเลม่วงได้”
“ในเมื่อวางค่ายกลได้ ทำไมไม่บอกแต่แรก!” ผู่ตานบ่น
“ได้หรือ?” หลิงเยว่แสดงสีหน้ายินดี เมื่อเทียบกับการเดินทาง การวางค่ายกลไปยังจุดหมายเลยย่อมเร็วกว่า บางทีอาจจะกลับถึงทะเลม่วงก่อนจอมวิญญาณด้วยซ้ำ หากเป็นเช่นนั้นก็จะสามารถแจ้งเตือนผู้บำเพ็ญและเหล่าภูตให้ป้องกันหรือรีบอพยพได้!
“ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้แน่นอน!”
เมื่อเผชิญกับสายตาที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นของหลิงเยว่ หัวใจที่กังวลและขาดความมั่นใจของโม่จวินเจ๋อก็ได้รับการปลอบประโลม
ดังนั้นโม่จวินเจ๋อจึงเริ่มลองวางแผนผังการส่งตัว โชคดีที่ก่อนหน้านี้เขาเคยไปทะเลสีม่วงและได้ทิ้งร่องรอยของตนเองไว้ที่นั่น
หลิงเยว่และผู่ตานไม่รู้เรื่องตำราการวางแผนผังเลยแม้แต่น้อย พวกนางทำได้เพียงเบิกตากว้างมองดูโม่จวินเจ๋อที่กำลังขีดเขียนบนพื้น สัญลักษณ์อันซับซ้อนมากมายค่อย ๆ ปรากฏขึ้นและหายไปทีละอัน การเคลื่อนไหวที่เดิมทีคล่องแคล่วและรวดเร็วของโม่จวินเจ๋อก็ค่อย ๆ ช้าลง การวาดผังค่ายกลหนึ่งอันต้องใช้เวลาถึงสิบกว่านาทีกว่าจะเสร็จ และเขาไม่เพียงแต่ใช้มือเท่านั้น แต่ยังใช้เท้าทั้งสองข้างด้วย
ที่แท้เท้าทั้งสองก็สามารถวาดผังค่ายกลได้ด้วยหรือ?
หลิงเยว่และผู่ตานสบตากันด้วยความตกตะลึง ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นผู้อาวุโสมู่วางแผนผังมาก่อน แต่วิธีการใช้มือและเท้าในตอนนี้แตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง!
เพื่อเพิ่มอัตราความสำเร็จของค่ายกล โม่จวินเจ๋อยังวาดอักขระต่าง ๆ ลงบนผังค่ายกลอย่างหนาแน่น…
เวลาผ่านไปถึงวันที่สาม แม้หลิงเยว่จะรู้สึกร้อนรน แต่ไม่กล้าเอ่ยปากรบกวนโม่จวินเจ๋อ ได้แต่ภาวนาว่าจอมวิญญาณจะยังไม่ถึงทะเลม่วง
แต่ถ้าเขามีค่ายกลส่งตัวแบบกำหนดจุดหรืออะไรทำนองนั้นล่ะ? โลกผู้บำเพ็ญตอนนี้จะเป็นอย่างไรกันแน่!?
เพียงแค่สามวัน สีหน้าของโม่จวินเจ๋อเปลี่ยนจากสีแดงระเรื่อเป็นสีขาวซีด แม้แต่เท้าทั้งสองข้างที่ใช้วาดคาถาก็เริ่มสั่นแล้ว
อดทนอีกนิด เหลืออีกเพียงสองขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้น เขาจะปล่อยให้หลิงเยว่รอเปล่าสามวันได้อย่างไร จะต้องทำแท่นส่งตัวให้สำเร็จ!
โม่จวินเจ๋อทำให้ร่างกายและจิตใจของตนเองมั่นคง แล้วเร่งความเร็วขึ้น
ความกังวลของหลิงเยว่นั้นถูกต้องแล้ว แม้ว่าจอมวิญญาณจะไม่มีวิชาส่งตัวเฉพาะจุด แต่เขามีแผ่นค่ายกลส่งตัวขนาดเล็ก แม้ว่าระยะทางในการส่งตัวแต่ละครั้งจะไม่ไกลนัก แต่สามารถย่นระยะเวลาลงได้ครึ่งหนึ่ง ดังนั้น ณ เวลานี้ จอมวิญญาณได้มาถึงทะเลม่วงแล้ว ไม่มีความเป็นไปได้ที่หลิงเยว่และคนอื่น ๆ จะมาถึงก่อนเขา เพราะตอนที่หลิงเยว่กำลังหลอมรวมกับต้นไม้ปีศาจนั้น เขาได้ออกเดินทางมาแล้ว
เหตุผลที่จอมวิญญาณยังไม่ลงมือ เป็นเพราะกำลังวางแผนอันสมบูรณ์แบบ จำเป็นต้องทำให้สำเร็จในการโจมตีครั้งเดียวเพื่อทำลายทะเลม่วงให้สิ้นซาก อีกทั้งยังต้องสร้างความยิ่งใหญ่อลังการ เพื่อให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในดินแดนว่างเปล่าได้เห็นความตายของทะเลม่วง!
………………..