ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 57 โลกนี้คงมีเพียงนางเท่านั้นที่ด้อยกว่าทุกคน
บทที่ 57 โลกนี้คงมีเพียงนางเท่านั้นที่ด้อยกว่าทุกคน
บทที่ 57 โลกนี้คงมีเพียงนางเท่านั้นที่ด้อยกว่าทุกคน
กลิ่นหอมอันรุนแรงของวิหคเนตรม่วงที่ถูกย่างจนเป็นสีน้ำตาลทองอมม่วงดึงดูดนักกลั่นโอสถในหอกลั่นโอสถที่อยู่ใกล้เคียง
พวกเขามักจะได้กลิ่นหอมของอาหารก่อนหน้านี้บ่อยครั้ง แต่คราวนี้มันหอมมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งทำให้โอสถปี้กู่ชักเอาไม่อยู่
หลิงเยว่รู้สึกมีความสุขเมื่อเห็นนักกลั่นโอสถคนอื่น ๆ เฝ้าดูจากระยะไกล นางโน้มตัวเข้าไปใกล้หูของอวี้เจินแล้วถามว่า “ศิษยพี่อวี้ ข้าขอแบ่งปันบางส่วนให้กับสหายร่วมยอดเขาของข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
วิหคเนตรม่วงมีขนาดใหญ่มาก พวกเขาทั้งเจ็ดคนครึ่งคงไม่สามารถกินมันจนหมดได้แน่นอน ครึ่งคนคือนับนางและผู่ตาน ทั้งคู่อยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณเท่านั้น ดังนั้นอย่างมากที่สุดนางและผู่ตานจึงสามารถกินได้เพียงสองชิ้น หลิงเยว่หั่นแบ่งส่วนหนึ่งของน่องให้ศิษย์พี่สี่ของนางอย่างระมัดระวัง ด้วยกลัวอย่างยิ่งว่าเขาจะตัวระเบิดตาย
แน่นอนว่าอวี้เจินเห็นด้วย ปีกนกทั้งสองที่ยาวและหนากว่าปีกไก่ธรรมดาของนาง สามารถทำให้นางพอใจเป็นอย่างมาก
หลังจากได้รับคำอนุญาตแล้ว หลิงเยว่ก็โรยวิหคเนตรม่วงด้วยเครื่องเทศ หลังจากที่เครื่องเทศถูกทำให้ร้อน กลิ่นหอมก็แพร่กระจายไปหลายพันลี้
ทุกคนคล้ายดูมึนเมา
ติงหลิวหลิ่วแอบเช็ดน้ำลายมุมปาก แล้วกระตุกแขนเสื้อของหลิงเยว่ ความปรารถนาในดวงตาของนางเกือบจะทะลุออกมาให้เห็นเป็นรูปร่าง
นักกลั่นโอสถจดจำกลิ่นของสมุนไพรวิญญาณได้ในกลิ่นนกย่างจึงอุทานว่า “หืม?” ด้วยความประหลาดใจ
หญ้าเปลี่ยนวิญญาณมีรสขมและมีปราณที่รุนแรง เมื่อรวมกับปราณธาตุวายุที่ดุดันของวิหคเนตรม่วง… หากฝืนกินเข้าไป มันอาจเสี่ยงต่อการที่ร่างจะระเบิดได้ ดังนั้นคำถามสำคัญคือ เมื่อรวมทั้งสองเข้าด้วยกันแล้วจะสามารถกินมันได้จริง ๆ หรือ?
“ไม่ใช่แค่นั้น มันยังมีกลิ่นของหญ้าเปลี่ยนสายลมเพื่อต้านฤทธิ์…”
“มีดอกเกล็ดน้ำแข็งด้วยใช่หรือไม่?”
นักกลั่นโอสถรวมตัวกันเพื่อหารือและวิเคราะห์ว่าสมุนไพรวิญญาณชนิดใดที่กำลังส่งกลิ่นหอมในอากาศ ยิ่งพูดคุยกันก็ยิ่งพูดไม่ออก ด้วยว่าสิ่งนี้มันกินไม่ได้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะกินของอันตรายไร้สาระเช่นนี้
“อาจจะกินได้ เจ้าบอกไม่ได้หรือว่ารสขมของสมุนไพรวิญญาณนั้นหายไปเสียแล้ว?”
ในขณะนี้ หลิงเยว่มาพร้อมกับวิหคเนตรม่วงย่างที่หั่นเป็นชิ้น ๆ ตามมาด้วยติงหลิวหลิ่วที่ถือเนื้อนกย่างชิ้นใหญ่ก่อนแทะมันอย่างไม่เต็มใจ
“ศิษย์น้องห้าของข้าบอกว่าจะให้พวกเจ้าลองชิมดู”
เนื้อนกสีม่วงจานใหญ่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เท่า ๆ กันถูกจัดวางอย่างเรียบร้อย ด้วยกลิ่นหอมอันเย้ายวนทำให้เหล่านักกลั่นโอสถกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว แม้จะตั้งใจแล้วว่าจะไม่กินมัน
ศิษย์คนที่ห้าของผู้นำยอดเขาหรือ?
นักกลั่นโอสถหลายคนมองดูหลิงเยว่ด้วยความสงสัย และในขณะที่กำลังลังเลหนึ่งในนั้นก็หยิบชิ้นที่เล็กที่สุดโยนใส่เข้าไปในปาก
ทันทีที่เขาเคี้ยวก็ต้องประหลาดใจ หนังกรอบ เนื้อนุ่มและชุ่มฉ่ำ รวมถึงปราณและปราณวายุในเนื้อนั้นอ่อนโยนจนทำให้ผู้คนอยากจะผ่อนลมหายใจ
ทั้งยังผสมกับความสุขที่อธิบายไม่ได้ และความรู้สึกอิสระที่ราวกับกลายเป็นวิหคเนตรม่วง ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ความรู้สึกนั้นวิเศษมากเสียจนนักกลั่นโอสถที่กินไปชิ้นเดียวพูดไม่ออกเป็นเวลานานแสนนาน
“เป็นอย่างไรบ้าง อร่อยหรือไม่” คนข้าง ๆ ถามขณะเหลือบมองติงหลิวหลิ่วที่กำลังกินอาหารอย่างลืมตัว
“อร่อย! นี่เป็นอาหารอันโอชะที่สุดที่ข้าเคยกินมาเลย!”
นักกลั่นโอสถที่กลับมามีสติตะโกน ก่อนจะถามหลิงเยว่ด้วยความลำบากใจ “ศิษย์น้องหลิง เจ้าช่วยบอกข้าหน่อยได้หรือไม่ว่าเจ้ากำจัดรสขมออกจากสมุนไพรวิญญาณในขณะที่ยังคงรักษาคุณสมบัติทางยาของมันไว้ได้อย่างไร และเหตุใดส่วนผสมที่น่าจะเป็นดอกเกล็ดน้ำแข็งที่ถูกผสมมาจึงไม่ออกฤทธิ์ยาทางลบเลยเล่า?”
หลิงเยว่รู้ว่าพวกเขาจะถามถึงวิธีขจัดความขม ความฝาดและความเหม็น ดังนั้นนางจึงเตรียมตัวมาแล้ว ก่อนส่งกระดาษแผ่นหนึ่งที่เต็มไปด้วยคำอธิบายให้กับนักกลั่นโอสถที่เพิ่งถามมา “วิธีการทั้งหมดอยู่ในนี้ ดอกเกล็ดน้ำแข็งมีฤทธิ์เพียงประสาทหลอนฉับพลัน ตราบใดที่ฤทธิ์หลอนประสาทลดลง การเพิ่มมันลงไปในส่วนผสมจะไม่ส่งผลต่อรสชาติและฤทธิ์สรรพคุณทางยาของสมุนไพรอื่น ๆ เจ้าค่ะ”
“ไม่สิ มันไม่ส่งผลต่อฤทธิ์การเพิ่มความเร็วด้วยอีกต่างหาก” นักกลั่นโอสถอีกคนชิมชิ้นหนึ่งและรู้สึกประหลาดใจ มันมีทั้งฤทธิ์โอสถฟื้นฟูกายาและฤทธิ์โอสถย่างก้าววายุ!
มันราวกับการผสมโอสถสองชนิดเข้าด้วยกัน มันเปลี่ยนเนื้อนกย่างนี้ให้กลายเป็นมีผลทั้งเพิ่มความเร็วและการฟื้นฟูกายา
ดอกเกล็ดน้ำแข็งที่อร่อยและมีประสิทธิภาพอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นยาที่สมบูรณ์แบบในการรวมโอสถทั้งสองนี้เข้าด้วยกัน!?
“ขอบคุณศิษย์น้องหลิงมาก สำหรับแรงบันดาลใจในครั้งนี้”
นักกลั่นโอสถที่ทิ้งคำพูดนี้ได้เอาเนื้อนกย่างไปสองสามชิ้นแล้วรีบวิ่งเข้าไปในห้องกลั่นโอสถของเขาอย่างรวดเร็ว
นกย่างจานใหญ่ว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว และนักกลั่นโอสถที่มารวมตัวกันที่นี่ทั้งหมดต่างกล่าวคำขอบคุณ ก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปในหอกลั่นโอสถของตัวเองเพื่อปิดด่านฝึกฝน
หลิงเยว่ไม่เข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้าแม้แต่น้อย แต่ติงหลิวหลิ่วเข้าใจ หากเนื้อนกย่างไม่อร่อยถึงเพียงนี้ นางเองก็คงอยากจะปิดด่านฝึกฝนสักพักเพื่อศึกษาวิธีรวมโอสถสอง สามหรือสี่ชนิดเข้าด้วยกันเพื่อสร้างโอสถใหม่แน่นอน!
บางทีกุญแจสำคัญอาจขึ้นอยู่กับความจริงที่ว่าเครื่องเทศอื่น ๆ ที่ไม่ใช่สมุนไพรวิญญาณอาจเกี่ยวข้องกับวิหคเนตรม่วง หรือแย่กว่านั้นคือเกี่ยวกับคนที่สร้างมันขึ้นมา!
ติงหลิวหลิ่วกลืนเนื้อในปากของนางแล้วมองหลิงเยว่ด้วยสายตาที่ซับซ้อนเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ ศิษย์น้องคนนี้คู่ควรกับการเป็นศิษย์น้องห้าของนางจริง ๆ …
เมื่อทั้งสองกลับมา นกย่างตัวใหญ่ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งก็ถูกจัดการจนเกลี้ยง และดวงตาของศิษย์พี่รองของนางก็มัวหมองไปแล้ว
อวี้เจินยิ่งน่าทึ่งขึ้นไปอีก นางจับท้องของนางด้วยมือข้างหนึ่ง และอีกมือจับปีกนกย่างในขณะที่นางกำลังแทะกินอย่างเอร็ดอร่อย
ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือโม่จวินเจ๋อและหลงหว่านโหรว พวกเขาถือเนื้อย่างในมือซ้ายและไก่ย่างในมือขวา ท่าทางของพวกเขาไม่เปลี่ยนไปเลย ไม่เร็วหรือช้าเกินไป และพวกเขาดูจะกินอย่างมีความสุขมาก
หลิงเยว่เหลือบมองผู่ตาน กองกระดูกตรงหน้าเขามากมายจนแทบจะกลายเป็นเนินเขาย่อม ๆ นางตกใจมากแล้ววิ่งไปหยุดเขา “ศิษย์พี่สี่ ท่านกินเยอะเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ ร่างของท่านจะระเบิดเอาได้!”
“ข้าแตกต่างจากเจ้า เจ้าเด็กอ่อนแอ”
ผู่ตานเลียมุมปาก หยิบอีกชิ้นขึ้นมากินอย่างมีความสุขไม่มีทีท่าว่าร่างของเขาจะระเบิด
“ไม่ใช่ว่าท่านเองก็อยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณหรือเจ้าคะ?”
“ระดับการบำเพ็ญของเขาแค่ถดถอย แต่รากฐานของเขาไม่ต่างอะไรจากผู้ที่อยู่ในขอบเขตสร้างรากฐาน” หลงหว่านโหรวอธิบายอย่างเรียบง่าย
หลิงเยว่ “…”
โลกนี้คงมีเพียงนางเท่านั้นที่ด้อยกว่าทุกคน…
หลิงเยว่รู้สึกเจ็บใจอยู่เล็กน้อย เมื่อเห็นว่าผู่ตานกำลังมีความสุขมาก จึงสั่งให้เขาหั่นนกย่างเป็นชิ้น ๆ
แน่นอนผู่ตานปฏิเสธที่จะทำ แต่ภายใต้การจ้องมองของศิษย์พี่ร่วมอาจารย์ทั้งสามคนของเขา เขาจึงหั่นนกย่างในขณะที่สาปแช่งศิษย์น้องผู้นี้ไปด้วย
หลังจากที่วางชิ้นเนื้อนกย่างลงในจานและเติมชานมลงกา หลิงเยว่รู้สึกว่ายังไม่เพียงพอ นางจึงคว้าเนื้อย่างจำนวนหนึ่งจากมือของโม่จวินเจ๋อใส่ลงในกล่องอาหาร แล้วยื่นให้ว่านอวี้เฟิงที่ยังคงรับประทานอาหารด้วยใบหน้าหมองคล้ำ “ศิษย์พี่รอง ท่านเอาไปให้ท่านอาจารย์ทีเจ้าค่ะ”
โม่จวินเจ๋อ ว่านอวี้เฟิง “…”
หลิงเยว่บรรจุกล่องอาหารอีกหลายกล่องโดยคำนึงถึงเหล่าผู้คนระดับสูงของสำนักที่นางรู้จักทุกคน ก่อนจะมอบให้อวี้เจิน ลู่เป่ยเหยียนและโม่จวินเจ๋อตามลำดับ จากนั้นนางก็จากไปพร้อมกล่องอาหารอีกหลายกล่อง
หลายคนมองไปยังนกย่างที่เหลืออยู่หนึ่งในสาม จากนั้นมองคู่แข่งที่กำลังจับตาดูนกย่างเช่นกัน ก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้น เพื่อแย่งชิงเนื้อนกย่างส่วนที่เหลือ
หลิงเยว่ไปที่ ‘โรงหนัง’ และหยิบกล่องอาหารออกมาให้ผู้อาวุโสจิงที่รับหน้าที่เฝ้าคันฉ่องสวรรค์
“ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักของท่านนะเจ้าค่ะผู้อาวุโสจิง นี่เป็นอาหารที่ข้าทำเอง ข้าหวังว่าท่านจะไม่รังเกียจนะเจ้าคะ”
ใครจะปฏิเสธสาวน้อยที่น่ารัก ประพฤติตนดี และให้เกียรติเขากันเล่า?
ไม่ว่าจะอย่างไรผู้อาวุโสจิงก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ ดังนั้นเขาจึงยอมรับมันอย่างมีความสุข
“ฮึ่ม! นางช่างขี้ประจบนัก!”
“ถ้าข้าเข้าไปได้ ข้าคงจะยิ้มหวานกว่านางแน่นอน!”
“เจ้ามีรูปร่างหน้าตาที่ดุร้าย ทั้งรูปร่างยังสูงใหญ่ เจ้ามีแต่จะทำให้ผู้อาวุโสจิงขมวดคิ้วเท่านั้น!”
การเยาะเย้ยนี้ทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญข้างนอกหัวเราะกันใหญ่ หากเขายิ้มหวานเช่นนั้น ไม่ต้องพูดถึงผู้อาวุโสจิงที่ตกใจ ไม่ว่าใครก็คงฝันร้ายในตอนกลางคืนเมื่อเห็นเขาอย่างแน่นอน
หลิงเยว่รู้ดีว่านางถูกคนอื่นอิจฉามากเพียงใด ที่ตนสามารถเข้าและออกจาก ‘โรงหนัง’ ได้อย่างอิสระ แต่นางจำเป็นต้องไม่มาเพียงเพื่อจะหลีกเลี่ยงความอิจฉาด้วยหรือ?
นางไม่ได้โง่เช่นนั้น