ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 573 ชะตาลิขิต
บทที่ 573 ชะตาลิขิต
ระบบย่อยยังคงไม่ตอบคำถาม ซึ่งหลิงเยว่ไม่ได้คาดหวังคำตอบเช่นกัน แต่นางมั่นใจในการคาดเดาของตนเองแล้วว่า ระบบย่อยคือเจ้าแห่งเขตแดนของสามภพ และระบบหลักที่หลับใหลอยู่จะต้องเป็นเทพสวรรค์อย่างแน่นอน
นอกจากเทพสวรรค์แล้ว หลิงเยว่นึกไม่ออกว่าใครจะมีความสามารถสร้างสิ่งที่ขัดแย้งกับตัวเองอย่างระบบแลกเปลี่ยนได้
“พวกเรากลับไปรับโลกผู้บำเพ็ญแล้วกลับบ้านกันเถอะ”
คำว่า ‘กลับบ้าน’ ทำให้โม่จวินเจ๋อรู้สึกงุนงงเล็กน้อย
ใช่แล้ว… ดินแดนความว่างเปล่าไม่ใช่โลกของพวกเขา บ้านที่แท้จริงของพวกเขาคือสำนักหลานเทียนที่อยู่ในสามภพต่างหาก
“ดี” โม่จวินเจ๋อตอบหลิงเยว่พร้อมรอยยิ้ม
“ข้าก็จะไปด้วย”
ตุ๊กตาไม้อ้วนนั้นตัดสินใจติดสอยห้อยตามหลิงเยว่แล้ว อีกอย่างตอนนี้ดินแดนเงาทมิฬก็ถูกทำลายจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าวิญญาณที่น่าสงสารของเขาก็…
“ระบบย่อย…” หลิงเยว่เอ่ยถึงความกังวลของตน
[ไม่หรอก สามภพกำลังจะพัฒนาในเร็ว ๆ นี้]
“!!!”
นี่เป็นสิ่งที่นางได้ยินจริง ๆ ใช่หรือไม่?
“ที่ระบบหลักหรือเทพสวรรค์หลับใหลมาตลอด เป็นเพราะเขากำลังพัฒนาสามภพอยู่ใช่หรือไม่?”
[…]
เขาไม่ควรพูดมากเช่นนี้!
[ไม่ใช่ การพัฒนาสามภพยังต้องพึ่งเจ้าอยู่]
หลิงเยว่ถึงกับพูดไม่ออก
ในภารกิจไม่มีเรื่องนี้นี่นา!
[ภารกิจหลักข้อที่ 26 นั่นแหละ เมื่อทำสำเร็จแล้ว สามภพจะได้รับการพัฒนา]
เป็นเช่นนี้เองหรือ?
หลิงเยว่ลูบคางจมดิ่งสู่ห้วงความคิด แต่นางยังไม่ทันได้คิดอะไรก็ถูกเสียงตะโกนก้องของลูกกลมสีดำดึงกลับสู่ความเป็นจริงเสียแล้ว
“อะไรนะ?! ให้ข้าเป็นสัตว์พาหนะไปทะเลม่วงงั้นรึ?! แล้วค่ายกลเคลื่อนย้ายที่เจ้าวางไว้ก่อนหน้านี้ล่ะ?”
“ล้มเหลวแล้ว”
โม่จวินเจ๋อแสดงท่าทางไร้เดียงสา เขาคิดง่ายเกินไป การจะวางค่ายกลเคลื่อนย้ายที่สามารถรองรับโลกขนาดเล็กได้นั้น หากไม่มีปรมาจารย์สองคนช่วยเหลือ คงยากลำบากเกินไป ตอนนี้เขาไม่สามารถทำได้
“ไม่เอา ข้าไม่ยอมเป็นสัตว์พาหนะหรอก!”
ลูกกลมสีดำแสดงสีหน้าต่อต้านอย่างเต็มที่ ไม่ว่าโม่จวินเจ๋อจะพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์!
“งั้น…” โม่จวินเจ๋อมองไปทางหลิงเยว่ ซึ่งหลิงเยว่ก็มองกลับมาเช่นกัน
“ให้ข้าเป็นพาหนะแทนหรือ?”
“ไม่ใช่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
โม่จวินเจ๋อรู้สึกหนักใจ
“ข้าจะลองฉีกมิติดู” หลิงเยว่รู้สึกว่าตนเองแข็งแกร่งอย่างที่สุดในตอนนี้ ถึงขนาดมีความรู้สึกว่าเพียงก้าวเดียวก็สามารถเหยียบย่างเข้าสู่ทะเลสีม่วงได้แล้ว
นางฉีกพื้นที่ว่างออก ช่องเปิดที่สามารถบรรจุคนหนึ่งคนได้ปรากฏขึ้น
นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงเยว่ฉีกมิติเพื่อเดินทาง ก่อนหน้านี้นางยังอิจฉามาตลอด ในที่สุดนางก็ใช้มันได้แล้ว
สองคน สองลูกกลมสีดำและหุ่นไม้อ้วนหนึ่งตัวบินเข้าไปในช่องมิติ ก่อนที่ช่องนั้นจะบิดเบี้ยวแล้วหายวับไป
ช่องมิติที่บิดเบี้ยวปรากฏขึ้นในสถานที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง
หลิงเยว่ที่เพิ่งออกมาจากมิติพิเศษ มองซ้ายมองขวา ที่นี่เป็นที่รกร้างว่างเปล่า ในอากาศยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นอายแปลกประหลาดคล้ายกับพลังอาฆาต
“ดูเหมือนจะเป็นโลกแห่งความตายในอดีต”
กุ่ยซื่อที่ไวต่อพลังหยินและพลังแห่งความตาย รู้สึกได้ถึงพลังอาฆาตที่ยังคงหลงเหลืออยู่และยังไม่สลายไป
“โอ้ งั้นคงผิดพลาดแล้วสิ”
“เจ้ากำลังมองอะไรอยู่?”
โม่จวินเจ๋อมองตามสายตาของหลิงเยว่ไป แต่ก็ไม่เห็นอะไร… อืม ไม่ถูกสิ ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างอยู่ตรงนั้นจริง ๆ เพียงแต่เขามองไม่ชัดว่ามันคืออะไรกันแน่
กุ่ยซื่อยื่นมือคว้าเอาดวงวิญญาณหนึ่งดวง แต่หากพูดให้ถูกต้องคือพลังอาฆาตกลุ่มหนึ่ง
“ดูคุ้น ๆ นะ”
“ไม่ใช่เจ้าแห่งความตายหรอกใช่ไหม?”
ทันทีที่หลิงเยว่เอ่ยปาก ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างเบิกตากว้าง กุ่ยซื่อไม่รู้ตัวว่าบีบพลังอาฆาตในมือแน่นขึ้น มันอาจจะเป็นไปได้จริง ๆ ว่านี่คือเจ้าแห่งความตายที่น่าสาปแช่งนั่น!
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปตายพร้อมกับดินแดนว่างเปล่า ไอ้พวกภูตม่วง ไอ้เทพสวรรค์ ไอ้ต้นไม้ ไอ้โลกแห่งความอาฆาตน่าสาปแช่งได้อย่างไร ปล่อยให้มันตายให้หมดเลย!”
ความแค้นในมือไม้หุ่นเล็ก ๆ เพิ่มขึ้น แม้แต่สีก็เข้มขึ้น เห็นได้ชัดว่าก่อนที่เขาจะดับสูญไปนั้นเกิดความเกลียดชังมากเพียงใด จึงรวมตัวกันเป็นก้อนความแค้นที่หนักหน่วงยิ่งนัก
“แปลกจริง ทำไมบีบให้ตายไม่ได้?” กุ่ยซื่อใช้กำลังทั้งหมดแล้ว แต่ก้อนความแค้นในมือไม่มีทีท่าว่าจะสลายไปเลย
ก้อนความแค้นที่ถูกหลิงเยว่จับไว้ในมือดิ้นรนสุดกำลัง ทั้งที่เมื่อครู่ในมือของกุ่ยซื่อไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย
“มันคงไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาสินะ? คิดว่าข้าทำร้ายมันไม่ได้งั้นหรือ!?”
ดังนั้นเมื่อครู่นี้จึงไม่เกรงกลัวอะไรเลย?
โม่จวินเจ๋อเอ่ยปากขึ้นมาก็เหมือนกับการซ้ำเติม “เจ้าทำร้ายมันไม่ได้จริง ๆ”
กุ่ยซื่อ “…”
จู่ ๆ ก็รู้สึกเกลียดชายคนนี้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทำไมไม่หายตัวไปตั้งแต่ตอนนั้นเลยเล่า!
หลิงเยว่ปล่อยแสงสีทองอมเขียวออกมาจากมือ ห่อหุ้มก้อนความแค้นของเจ้าแห่งความตายเอาไว้
“อ๊าก!”
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอย่างน่าสยดสยอง จนลูกกลมสีดำสองลูกทำท่าเอามือไม้ขีดไฟปิดหู
“โอ้! น่าสงสารยิ่งนัก หลิงเยว่ เจ้าไม่สามารถทำให้เขาตายเร็ว ๆ และไปเกิดใหม่ได้หรือ?”
“ปล่อยข้า… ปล่อยข้าไป ข้า… ข้าขอร้อง”
ก้อนพลังอาฆาตร้องครวญครางและวิงวอนขอความเมตตา แตกต่างจากตอนที่เป็นเจ้าแห่งความตายที่ไม่สนใจสิ่งใดและมองทุกอย่างด้วยความหยิ่งยโส
“โลกเล็ก ๆ ที่พวกเจ้าทำลายไป พวกเจ้าได้ละเว้นพวกเขาหรือไม่? สิ่งมีชีวิตในดินแดนว่างเปล่าที่ตายไปแล้ว เจ้าได้ละเว้นพวกเขาหรือ?”
หลิงเยว่ถามติดต่อกันสองคำถาม ทำให้ก้อนพลังนั้นเงียบงัน
นางไม่จำเป็นต้องรอคำตอบจากเจ้าแห่งความตาย แสงสีทองและเขียวมรกตพลันระเบิดออกมา เมื่อแสงสว่างหายไป ก้อนพลังอาฆาตในมือของหลิงเยว่ก็หายวับไปไม่เหลือร่องรอย
ท้องฟ้าที่มืดมิดมีแสงอาทิตย์สายหนึ่งปรากฏขึ้น แสงอาทิตย์ทะลุผ่านเมฆหนาทึบ ส่องลงมายังโลกแห่งความตายเป็นครั้งแรก
หลิงเยว่หรี่ตามองดวงอาทิตย์ที่ซ่อนอยู่หลังเมฆ ดูเหมือนว่าตั้งแต่ไปยังดินแดนเงาทมิฬ นางก็ไม่ได้เห็นแสงอาทิตย์อันอบอุ่นเช่นนี้อีกเลย
เมฆดำสลายไป เผยให้เห็นดวงอาทิตย์ที่ซ่อนตัวอยู่
ทุกที่ที่แสงอาทิตย์ส่องถึง ความมืดมนทั้งหมดพลันหายไป
“ช่างดีจริง ๆ…”
ลูกกลมดำพยายามเอื้อมมือจับแสงอาทิตย์ แต่กลับถูกแสงทะลุผ่าน ถึงกระนั้นมันยังคงสนุกสนานกับการจับแสงนั่นอย่างไม่เบื่อหน่าย
“ไอ้โง่!”
ตุ๊กตาไม้อ้วนซ่อนตัวอยู่ในเงาของโม่จวินเจ๋อ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ชอบแสงแดดแม้แต่น้อย
ในดินแดนว่างเปล่าที่เงียบสงบ จู่ ๆ ก็มีเสียงโห่ร้องดังขึ้นมาจากทุกทิศทาง
หลิงเยว่และโม่จวินเจ๋อหัวเราะขึ้นพร้อมกัน เสียงโห่ร้องและเสียงหัวเราะนั้นไพเราะกว่าเสียงกรีดร้องเป็นร้อยเท่าพันเท่า!
อากาศตรงหน้าบิดเบี้ยว พื้นที่ว่างปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
คราวนี้คงจะไม่ผิดที่อีกแล้วกระมัง?
หลิงเยว่ก้าวเข้าไปในพื้นที่ว่างเปล่า นางหันกลับไปมองยังตำแหน่งที่ก้อนพลังอาฆาตของเจ้าแห่งความตายหายไป บางทีอาจเป็นชะตาลิขิตที่กำหนดให้นางมาที่นี่เพื่อจัดการกับก้อนพลังนั้นกระมัง?
………………..