ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 598 ทำให้สมชื่ออาณาจักรอาหารศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 598 ทำให้สมชื่ออาณาจักรอาหารศักดิ์สิทธิ์
หลิงเยว่เลือกกินหอยนางรมใหญ่ที่มีกลิ่นหอมของกระเทียมและสมุนไพรวิญญาณ โม่จวินเจ๋อคีบเนื้อปู ส่วนอวี้เจินเลือกหม้ออาหารทะเลแล้วตักใส่ชามของนางจนเต็ม นางรู้สึกว่าตัวเองฉลาดที่สุด เพราะสามารถกินอาหารทะเลได้หลากหลายชนิดในคราวเดียว
ส่วนผู่ตานเลือกเนื้อปลาดอกไม้หั่นบางแบบดิบ กุ้งสดสีเขียวมรกต เนื้อกุ้งใสแวววาว ดูสดและน่ากินมาก อาหารทะเลหลายชนิดบนเนื้อปลาดอกไม้หั่นบางดิบนั้น เขาไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อน!
ต้องรีบกินก่อน ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวก็จะไม่สดแล้ว
ฮึ! พวกสามคนนั้นดูแล้วไม่ฉลาดเท่าเขาเลย!
ทั้งสี่คนใส่ของที่ตนเองชอบเข้าปากพร้อมกัน พร้อมกับสีหน้าอิ่มเอมด้วยความอร่อย
“อร่อยหรือไม่?”
“ต้องอร่อยมากแน่ ๆ ใช่หรือไม่?”
“พวกข้าขอลองชิมบ้างได้หรือไม่ แค่นิดเดียว…” พวกอาหารทะเลระดับสูงที่ซ่อนตัวอยู่ได้รวมตัวกันอยู่ห่างออกไปตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว น่าเสียดายที่อาหารทะเลที่หลิงเยว่ทำนั้นหอมเหลือเกิน
“เอาไปสิ ข้าทำไว้มากมาย พวกข้าสี่คนก็กินไม่หมดหรอก” หลิงเยว่ส่งหอยตัวใหญ่ที่ย่างจนน้ำเดือดปุด ๆ ให้กับเงือกสาวที่อยู่ข้าง ๆ
“ระวังด้วยล่ะ มันยังร้อนอยู่”
“ขอบคุณ” เงือกสาวสวยยิ้มรับ ดูเหมือนนางจะไม่กลัวความร้อนและไม่ได้สง่างามอย่างที่ภายนอกแสดงออก นางเทหอยทั้งเปลือกและเนื้อเข้าปากต่อหน้าหลิงเยว่
เนื้อหอยชิ้นนั้นมีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือสองฝ่ามือเชียวนะ แต่นางก็…
หลิงเยว่ตกตะลึง แต่เมื่อนึกถึงว่าโดยปกติแล้วเผ่ามนุษย์เงือกจะกินปลาตัวใหญ่ทั้งตัว อืม… ถ้าเช่นนั้นเนื้อหอยนี้ก็ถือว่าเล็กแล้ว
“อร่อยกว่าที่คิดไว้เสียอีก!”
“ที่แท้สิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ พวกนี้แค่ต้มนิดหน่อยก็อร่อยได้ขนาดนี้เลยหรือ!”
พวกชาวทะเลที่นั่งล้อมหม้อไฟ กินอาหารทะเลหลากหลายชนิดอย่างรวดเร็ว และรู้จักจิ้มน้ำจิ้มโดยไม่ต้องมีใครสอน พวกเขาต่างชื่นชมอาหารทะเลในหม้อไม่หยุดปาก จนอวี้เจินแทบไม่มีโอกาสได้พูดอะไรเลย เพราะพวกเขากินกันเร็วเหลือเกิน นางกลัวว่าถ้าช้าไปหน่อย แม้แต่น้ำแกงก็จะไม่เหลือ
ในที่สุดมื้ออาหารใหญ่ของทั้งสี่คนก็กลายเป็นงานเลี้ยงของชาวทะเล
แต่โชคดีที่พวกชาวทะเลเหล่านี้ยังคงมีมารยาทมาก หลังจากที่พวกเขากินอาหารทะเลทั้งหมดจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่น้ำแกง พวกเขาก็ยังมอบแหวนเก็บของที่บรรจุอาหารทะเลให้อีกด้วย
“ขอบคุณพวกท่านมาก เป็นมื้ออาหารที่อร่อยยิ่งนัก ข้าจะจดจำมันไปตลอดกาล” แล้วพี่สาวเงือกก็มอบของสะสมสดใหม่ของตนเองให้เช่นกัน
หลิงเยว่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ที่นี่ขึ้นตรงกับอาณาจักรอาหารศักดิ์สิทธิ์แล้ว?”
“รู้แล้ว เป็นเกียรติอย่างยิ่ง!”
เหล่าชาวทะเลพยักหน้าอย่างบ้าคลั่ง ก่อนหน้านี้ทะเลของพวกเขายังไม่ได้ใหญ่โตขนาดนี้ อีกทั้งวรยุทธ์และรากวิญญาณก็ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะฝันเลย!
“แล้วพวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าชื่อนั้นมีความหมายว่าอะไร?”
เหล่าชาวทะเลส่ายหน้า ดวงตาอันงดงามของพวกเขาเปล่งประกายระยิบระยับในยามค่ำคืน
“อาหารที่พวกเจ้าชื่นชมไม่หยุดปากเมื่อครู่นี้ คือที่มาของชื่อนั้น” โม่จวินเจ๋อ ผู่ตานและอวี้เจินมองไปที่หลิงเยว่ด้วยความสงสัย
นางต้องการทำอะไร? หรือว่านางจะรับศิษย์อีกแล้ว?
ทั้งสามคนเดาถูก แท้จริงแล้วหลิงเยว่ต้องการรับศิษย์อีกครั้ง นางต้องการทำให้อาณาจักรอาหารศักดิ์สิทธิ์มีชื่อเสียงสมกับชื่อ ไม่เช่นนั้นหากพึ่งพาเพียงแค่ศิษย์จากโลกผู้บำเพ็ญ เมื่อไหร่จะสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับอาหารวิญญาณ อาหารปีศาจและอาหารจากความว่างเปล่าได้ อ้อใช่แล้ว ยังต้องค้นคว้าอาหารศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย!
หลิงเยว่เป็นคนที่ชอบหางานอยู่แล้ว!
“อยากรู้ไหมต้องทำอย่างไรถึงจะทำให้อาหารของพวกเจ้าอร่อยเหมือนเมื่อครู่?”
ชาวทะเลต่างเบิกตากว้าง พยักหน้ารัวเร็ว ราวกับกลัวว่าหากช้าไปหลิงเยว่จะไม่พูดต่อ
“ข้าสามารถสอนพวกเจ้าได้”
“ได้จริงหรือ?”
“วิเศษยิ่งนัก!”
“พวกข้าต้องเตรียมอะไรบ้าง ค่าเล่าเรียนเหล่านี้พอหรือไม่?” ชาวทะเลรู้ว่ามนุษย์ชอบไข่มุกและอัญมณี จึงรีบหยิบออกมาจากแหวนเก็บของ
ภูเขาไข่มุกและอัญมณีปรากฏขึ้นตรงหน้าหลิงเยว่
หลิงเยว่ “…”
พวกเขาช่างร่ำรวยจริง ๆ ในนั้นมีทั้งน้ำตาเงือกอันล้ำค่าและไข่มุกเรืองแสงชั้นเยี่ยม
“ได้ เช่นนั้นข้าจะสอนพวกเจ้าทำอาหารสองอย่างที่ง่ายที่สุดก่อน ส่วนที่เหลือรอให้ข้าว่างแล้วจะกลับมาสอนต่อ”
“เจ้าจะไม่ฉวยโอกาสหนีไปใช่หรือไม่?” พี่สาวนางเงือกมองด้วยสายตาสงสัยไปที่หลิงเยว่
“แน่นอนว่าไม่ ถึงแม้ข้าจะไม่มีเวลา ข้าก็สามารถส่งคนมาสอนพวกเจ้าได้ อาหารทะเลเหล่านี้ไม่ได้มีแค่วิธีการกินไม่กี่อย่างที่พวกเจ้าเพิ่งได้ลิ้มลองเมื่อครู่เท่านั้น พวกมันมีวิธีการปรุงนับพันแบบ แต่ละแบบก็ให้รสสัมผัสและรสชาติที่แตกต่างกันออกไป…”
หลิงเยว่พูดไปเรื่อย ๆ พร้อมทั้งอธิบายวิธีการทำ คำที่ใช้บรรยายรสสัมผัสช่างมีภาพให้จินตนาการ ไม่เพียงแต่ชาวทะเลที่ฟังจนน้ำลายไหล แม้แต่โม่จวินเจ๋อและอีกสองคนก็อยากลิ้มลองเช่นกัน
พวกเขาก็มีอีกหลายอย่างที่ยังไม่เคยได้ลิ้มลอง!
“หากยังไม่วางใจ พวกเจ้าสามารถไปที่…” หลิงเยว่บอกตำแหน่งที่ตั้งของฐานที่มั่นของตน ทะเลแถบนี้อยู่ห่างจากโลกผู้บำเพ็ญประมาณครึ่งปี “เมื่อเข้าไปแล้ว เพียงแค่จับใครก็ได้ระหว่างทางแล้วบอกว่าต้องการพบหลิงเยว่ จะมีคนพาพวกเจ้าไปเอง”
สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของชาวทะเลค่อย ๆ จางหายไป หลิงเยว่บอกตำแหน่งที่ตั้งซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งยังสามารถมองเห็นได้จากที่นี่
การอาศัยอยู่ใกล้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ขนาดนั้น พวกเขาต้องเป็นคนดีแน่นอน เพราะต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์รับรองด้วยตัวเองแล้ว!
ชาวทะเลผู้ใสซื่อเชื่อในคำพูดของหลิงเยว่ และหลิงเยว่ก็ไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง นางสอนวิธีทำหม้อไฟอาหารทะเลอย่างง่าย ๆ และการย่างอาหารทะเลหลากหลายชนิดให้พวกเขา
ช่างเป็นคืนที่แสนสุขจริง ๆ !
เมื่อดวงอาทิตย์ลอยขึ้นจากขอบฟ้าทะเล ทั้งสี่ก็ออกเดินทาง
“ไปตามหาไข่ของพี่ใหญ่หรือ?”
“ไม่ใช่ ไปตามหาสนมปีศาจที่หก”
คำตอบนี้เกือบทำให้ผู่ตานร่วงจากท้องฟ้า “เจ้า…พูดว่าอะไรนะ?”
“ไปหาท่านแม่ของเจ้าน่ะสิ!” หลิงเยว่เปลี่ยนวิธีพูด
“เจ้าก็ทิ้งลมหายใจไว้ในดวงวิญญาณของนางด้วยหรือ?” โม่จวินเจ๋อถาม
“ถูกต้อง ตอนนั้นนางอ่อนแอมาก หากไม่ปล่อยไว้ อาจไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้…”
รวมถึงอาจารย์และคนอื่น ๆ ด้วย ตอนนั้นดวงวิญญาณของพวกเขาจางมากจริง ๆ ดังนั้น เพื่อให้พวกเขาไปเกิดใหม่ได้สำเร็จ หลิงเยว่จึงทิ้งลมหายใจแห่งชีวิตเพื่อรักษาดวงวิญญาณไม่ให้สลาย และยังสามารถตามหาพวกเขาได้ด้วยลมหายใจนั้น
ได้ประโยชน์ทั้งสองทาง!
หลังจากประสบกับชีวิตที่เจ็บปวดเช่นนั้น การเกิดใหม่โดยไม่ถูกกระทบจากชาติก่อนคงจะดีกว่า
หลิงเยว่บอกความคิดของตนกับอวี้เจิน
“ใช่แล้ว ท่านลุงคงไม่อยากนึกถึงความทรงจำอันเจ็บปวดนั้นหรอก แบบนี้ก็ดีแล้ว แค่รู้ว่าท่านมีชีวิตที่ดีก็เพียงพอ” อวี้เจินแอบเช็ดน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา
“แต่ถ้าเจ้าอยากไปแอบดูว่าท่านเป็นอยู่อย่างไรจริง ๆ ข้าก็มีวิธีนะ”
“จริงหรือ!”
“ได้หรือไม่?”
อวี้เจินคว้ามือของหลิงเยว่อย่างตื่นเต้น สายตาที่ชัดเจนกลับพร่าเลือนอีกครั้ง “ข้าขอเพียงแค่มองท่านลุงหนึ่งครั้ง เพียงแค่หนึ่งครั้งเท่านั้น”
“แน่นอน เจ้าทำได้”
“ขอบคุณหลิงเยว่”
อวี้เจินร้องไห้แล้วโผเข้ากอดหลิงเยว่ทันที
………………..