ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 6 นางจะสามารถมีพลังขนาดนี้ได้ในอนาคตหรือไม่?
บทที่ 6 นางจะสามารถมีพลังขนาดนี้ได้ในอนาคตหรือไม่?
บทที่ 6 นางจะสามารถมีพลังขนาดนี้ได้ในอนาคตหรือไม่?
หลังจากที่หลิงเยว่กลับไป สิ่งแรกที่นางทำคือนั่งสมาธิเพื่อปรับพื้นฐานระดับการบำเพ็ญใหม่ให้มั่นคงและเรียนรู้วิชาหมื่นชีวางอกเงย
ตำราเล่มสีเขียวค่อย ๆ คลี่ออกในใจของนาง ทันทีที่ตำราคลี่ออก จิตสำนึกของนางก็ถูกดึงเข้าสู่แดนรกร้าง
พื้นที่รอบบริเวณที่นางเห็นเต็มไปด้วยผืนทรายสีเหลือง
ขณะที่หลิงเยว่สับสน ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าได้ชัดเจนก็ปรากฏตัวขึ้น
หญิงสาวผู้นั้นหันกลับมาหานางและโปรยเมล็ดพืชจำนวนหนึ่ง จากนั้นประสานมือเข้าด้วยกันแล้วตะโกนว่า “ทะลวงปฐพี!”
ทันใดนั้นต้นกล้าสีเขียวเล็ก ๆ ก็งอกขึ้นมาจากผืนทราย
“เติบโต!”
เมื่อหญิงสาวผู้นั้นพูดจบประโยคที่สอง ต้นกล้าก็เติบโตอย่างรวดเร็วและทะเลทรายเล็ก ๆ ก็กลายเป็นป่าสีเขียวทันที
ไม่ว่าหญิงสาวผู้นั้นจะเดินผ่านไปที่ใด ทะเลทรายจะกลายเป็นป่าเขียวขจี ทั้งภูเขาและแม่น้ำก็ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน และจากหยดน้ำเล็ก ๆ ก็กลายเป็นทะเลสาบและแม่น้ำ …
หลิงเยว่ที่เห็นฉากนี้ไม่รู้ว่าจะแสดงอาการตกใจภายในออกมาอย่างไรดี!
หญิงสาวผู้นั้นยืนอยู่หน้าแม่น้ำแสดงท่าทางครุ่นคิด ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ยื่นมือออก มีไข่ปลาจำนวนหนึ่งอยู่ในมือ ไข่เหล่านั้นฟักตัวในมือและลูกปลาทั้งหลายก็กระโจนลงไปยังแม่น้ำ หญิงสาวผู้นั้นท่องบทคาถาเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ปลาที่เดิมตัวเล็กจิ๋วกลับกลายเป็นปลาโตเต็มวัยอย่างรวดเร็ว
ไม่กี่พริบตาต่อมาปลาสีสันสดใสตัวใหญ่กระโดดเข้ามาในอ้อมแขนของหญิงสาวผู้นั้น นางลูบไล้มันเบา ๆ ก่อนจะควักไส้มันออกมาอย่างไร้ความปรานีและย่างทั้งตัวมันเป็นมื้ออาหาร!
จากนั้นจึงกิน…
หลิงเยว่ตกตะลึง
หญิงสาวผู้นั้นเมื่อกินปลาทั้งตัวเสร็จสิ้นก็ทำสีหน้าคล้ายยังไม่พอใจ พริบตาถัดมาพลันมีตะกร้าไข่ปรากฏขึ้นในมือนาง
ไก่ เป็ด นก แม้แต่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์รวมไปถึงสัตว์วิญญาณก็เริ่มฟักออกจากไข่และเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว หญิงสาวผู้นั้นกินสัตว์เหล่านั้นไปส่วนหนึ่งก่อนจะเพิกเฉยต่อส่วนที่เหลือและเดินต่อไปอย่างสบาย ๆ ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น…
เพียงเพราะการปรากฏของหญิงผู้นี้ โลกที่แห้งแล้งไม่เพียงมีภูเขา แม่น้ำ และป่าทึบเท่านั้น แต่ยังมีสรรพชีวิตกำเนิดขึ้นอีกด้วย
ทว่าวันหนึ่งในโลกที่สวยงามอุดมสมบูรณ์ หมอกดำเริ่มแพร่กระจาย ก่อนกลายเป็นปีศาจที่ดุร้ายนำมาซึ่งหายนะ
หญิงสาวผู้นั้นลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า มือของนางทำมุทราอย่างแปลกประหลาด ทันใดนั้นต้นไม้ วัชพืช ปลาที่เชื่องและนกที่ร่าเริงซึ่งดูไม่เป็นอันตรายก็คล้ายกับได้รับพลัง ก่อนพวกมันจะเติบโตอย่างบ้าคลั่ง
ใบไม้ กลีบดอกและกิ่งก้านกลายเป็นอาวุธอันน่าครั่นคร้ามโจมตีเหล่าปีศาจ เถาวัลย์หนารัดคอผู้บุกรุกทุกชีวิต ปลายักษ์กระโจนขึ้นไปบนท้องฟ้ากลืนกินปีศาจทีละตัว นกยักษ์พ่นไฟเผาผลาญปีศาจจนเหลือเพียงเถ้า…
โลกหล้ากลายเป็นเปลี่ยนสี!
ฉากนั้นหยุดกะทันหัน และจิตสำนึกของหลิงเยว่ก็ถูกดึงกลับออกมา
เมื่อตนออกมาก็เพิ่งรู้ตัวว่าเหงื่อผุดพรายมากมายขนาดนี้
วิชานี้ทรงพลังมาก! นางต้องเรียนรู้มันให้ได้!
ทันทีที่ความคิดนี้เกิดขึ้น โลกในวิชา ‘หมื่นชีวางอกเงย’ ก็หายไปและถูกแทนที่ด้วยอักษรจำนวนมากซึ่งหลั่งไหลเข้ามาในจิตใจของหลิงเยว่
หลังจากได้ทราบเนื้อหาของวิชานี้ หัวใจที่ลุกเป็นไฟของหลิงเยว่ก็เย็นลงอย่างรวดเร็ว
นางรู้ดีว่าวิชาที่ท้าทายสวรรค์เช่นนี้ต้องอาศัยคุณสมบัติของผู้บำเพ็ญที่สูงมาก
ความต้องการขั้นต่ำในการเรียนรู้คือจำเป็นต้องมีแก่นปราณห้าธาตุครบทั้งหมด และระดับของแก่นปราณแต่ละธาตุจะต้องสูงกว่าระดับแปด!
ในร่างของนางมีแก่นปราณครบห้าธาตุอันนี้ผ่าน! แต่ระดับของแก่นปราณแต่ละธาตุของนางนั้นนับได้ว่ายังห่างไกลจากความต้องการนัก!
แต่จะให้นางยอมแพ้เช่นนั้นหรือ? นางไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้แน่นอน! ด้วยวิชาที่เลิศล้ำเช่นนี้ต่อให้นางเรียนรู้แค่เพียงหางอึ่ง ก็ไม่ต้องกลัวที่จะก้าวออกจากสำนักหลานเทียนอีก โลกนี้ใหญ่มาก ถ้านางไม่ได้ออกไปท่องดูมัน การเกิดใหม่นี้จะไม่เท่ากับเป็นการสูญเปล่าหรอกหรือ?
[โอสถเสริมแก่นปราณ : สามารถสุ่มปรับปรุงระดับแก่นปราณได้เล็กน้อย ราคา 1,000 ค่าพลังวิญญาณต่อ 1 เม็ด]
คล้ายกับระบบจะได้ยินความคิดของหลิงเยว่อย่างไรอย่างนั้น มันแจ้งเตือนเพื่อเริ่มขายสินค้าทันที
ตอนนี้นางมีเพียงหนึ่งพันแต้มเท่านั้นซึ่งสามารถซื้อได้เพียงเม็ดเดียว ช่างไร้ประโยชน์!
[ท่านสามารถผ่อนชำระได้โดยไม่มีดอกเบี้ย]
หลิงเยว่ “…”
ระบบบ้านี่รู้วิธีขายด้วย!
แล้วข้าต้องกินยาเสริมแก่นปราณนี้กี่เม็ดเพื่อให้ร่างกายของข้าถึงเกณฑ์ขั้นต่ำสำหรับการเรียนรู้วิชาได้ล่ะ?
[ขึ้นอยู่กับโชค หากท่านโชคดี ค่าพลังวิญญาณ 100,000 แต้มก็เพียงพอแล้ว]
หลิงเยว่รู้สึกว่านางเป็นคนโชคดีมาเสมอ ไม่เช่นนั้นนางจะมีโอกาสมาเกิดใหม่ในโลกนี้ได้อย่างไร?
เอาเลย!
พริบตาต่อมา ระบบแจ้งเตือนหลิงเยว่ว่านางเป็นหนี้ค่าพลังวิญญาณสามล้าน! นี่มันโชคบ้าแบบไหนกัน!?
หลิงเยว่แทบหน้ามืด
[ใช้เวลา 100 ปีในการผ่อนชำระค่าพลังวิญญาณของท่าน ระบบจะหัก 2,500 แต้มของท่านทุกเดือน!]
หนึ่งร้อยปี!
การฝึกวิชา ‘หมื่นชีวางอกเงย’ แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเกี่ยวกับพืช และส่วนที่สองเกี่ยวกับสัตว์ ในส่วนของสัตว์ต้องมีระดับการบำเพ็ญถึงขอบเขตสร้างรากฐานก่อนจึงจะสามารถเรียนรู้ได้
สัตว์และพืชที่เกิดจากวิชานี้สามารถนำมาใช้เป็นอาหารและกลั่นโอสถได้ ซึ่งจะให้ผลที่เหนือจินตนาการ!
เมื่อได้เห็นคำอธิบายนี้ หลิงเยว่จึงรู้สึกว่านางไม่ได้สูญเสียอะไรเท่าไหร่!
ในขณะนี้ทำได้เพียงปลอบใจตัวเองด้วยวิธีนี้เท่านั้น
นางซื้อเมล็ดพันธุ์พืชถุงใหญ่และเริ่มเรียนรู้วิธีการปลูกเมล็ดพันธุ์ตั้งแต่ระดับเริ่มต้น
คืนหนึ่งผ่านไป
เมล็ดพืชสูญเปล่าไปหลายร้อยเมล็ด มีต้นกล้าที่เติบโตได้สำเร็จเพียงสิบต้น แต่เมื่อนางใช้วิชาเร่งการเติบโตใส่พวกมัน ต้นกล้าทั้งสิบก็เหี่ยวเฉาทันที
เป็นเพราะว่าข้าทำมันพร้อม ๆ กันจำนวนมากเกินไปหรือเปล่า?
หลิงเยว่ที่เหนื่อยล้าทั้งกายและใจมองดูท้องฟ้าที่สว่างไสวอยู่นอกหน้าต่าง นางเปิดประตูแล้วตรงไปที่ศาลากงซาน
ตนยังไม่ลืมว่าวันนี้เป็นเส้นตายของภารกิจหลักที่สอง
สำนักสายนอกของสำนักหลานเทียนมีโรงอาหารโดยเฉพาะสำหรับศิษย์ผู้ที่มีระดับการบำเพ็ญขอบเขตกลั่นลมปราณ โดยจะมีอาหารสามมื้อต่อวัน ทว่าแต่ละคนจะต้องจ่ายหินวิญญาณระดับล่างห้าก้อนต่อเดือนเพื่อรับอาหารสามมื้อต่อวัน
เวลานี้หลิงเยว่อยู่ในครัวของโรงอาหาร กำลังผัดเนื้อซี่โครงหมูในกระทะใบใหญ่ กลิ่นเปรี้ยวหวานเริ่มฟุ้งกระจาย นางจึงหยิบกระทะอีกใบมาแล้วใส่ฝรั่งซอยลงไป ตามด้วยปรุงรสเปรี้ยวเผ็ด กลิ่นน่ารับประทานมาก อบอวลไปด้วยรสหวานอมเปรี้ยวที่เข้ากันทำให้น้ำลายสอและกระเพาะร้องลั่น
เมื่ออาหารเสร็จแล้วนางจึงนำอาหารทั้งหมดออกมาวางบนโต๊ะในโรงอาหาร
หลิงเยว่วางเนื้อซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานและมันฝรั่งรสเผ็ดเปรี้ยวที่เตรียมไว้
แผนการที่นางคิดเมื่อวานนี้ที่จะชนะภารกิจคือการมาที่ศาลากงซานเพื่อทำอาหารที่นี่
ขอบเขตกลั่นลมปราณแบ่งออกเป็นสิบขั้น ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นแปดจะต้องกินอาหารเพื่อเติมพลังงานแก่ร่าง ส่วนผู้ที่อยู่สูงกว่าขั้นแปดส่วนใหญ่จะเลือกกินโอสถงดธัญพืช
เหตุใดพวกผู้บำเพ็ญจึงหมกมุ่นอยู่กับการกินโอสถงดธัญพืช นอกจากอาหารในโรงอาหารจะไม่ค่อยอร่อยแล้ว เหตุผลใหญ่ที่สุดก็คือการกินโอสถงดธัญพืชไม่เพียงแต่ช่วยลดความอยากอาหารเท่านั้น แต่ยังทำให้ร่างกายบริสุทธิ์อีกด้วย ซึ่งทำให้บำเพ็ญได้เร็วขึ้น
ทว่าแม้จะมีเหตุผลดังกล่าว หลิงเยว่ก็ยังนึกไม่เห็นด้วย
ต่อให้นางสามารถประทังชีวิตได้ด้วยการดูดซับปราณเพียงอย่างเดียว นางก็จะไม่มีทางละทิ้งอาหารอร่อยเป็นแน่!
แค่คิดถึงชีวิตที่ขาดอาหารอร่อยหลิงเยว่ก็เริ่มหายใจไม่ออก จะบำเพ็ญให้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ไปเพื่ออะไรถ้าต้องละทิ้งความสุขยิ่งใหญ่เช่นนี้ไป
หลิงเยว่ที่กำลังหายใจไม่ออกรีบกินข้าวให้เสร็จก่อนที่จะมีใครมาปรากฏตัว
เมื่อถึงเวลารับประทานอาหาร ประตูโรงอาหารแต่ละแห่งจะเปิดออก และกลิ่นหอมก็จะฟุ้งกระจายไปข้างนอก ซึ่งเป็นกลิ่นหอมหวานอมเปรี้ยวน่ารับประทานที่สุด
“หืม? ร้านอาหารหมายเลขสิบเปิดแล้วหรือ มีแม่ครัวคนใหม่หรืออย่างไร?”
ผู้บำเพ็ญที่มาโรงอาหารกับเพื่อนต่างสูดจมูกดมกลิ่น โดยปกติแล้ว กลิ่นของอาหารในร้านอาหารหมายเลขสิบจะค่อนข้างซ้ำ ๆ เพียงสูดกลิ่นก็บอกได้เลยว่าวันนี้มีรายการอาหารอะไรในโรงอาหาร
ทว่าในบรรดากลิ่นอาหารมากมาย กลิ่นของร้านอาหารหมายเลขสิบที่ไม่ได้เปิดมานานกลับมีเสน่ห์ที่สุดในวันนี้
“ไปกินข้าวที่ร้านอาหารหมายเลขสิบกันเถอะ!”
ผู้บำเพ็ญผู้หนึ่งลากเพื่อนของเขาตรงไปที่ร้านอาหารหมายเลขสิบ
“เจ้าเป็นแม่ครัวคนใหม่ของร้านอาหารหมายเลขสิบหรือ?”
หลิงเยว่ผู้หมกมุ่นอยู่กับการทำอาหารไม่เงยหน้าขึ้นและเพียงพยักหน้า
“รอเดี๋ยวนะใกล้เสร็จแล้ว”
หลิงเยว่ตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก จากนั้นหยิบชามกระเบื้องสีขาวใบใหญ่ออกมา และยิ้มการค้าให้กับผู้บำเพ็ญหนุ่มทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงหน้านาง
“ข้าจะตักให้พวกท่านเดี๋ยวนี้”
หลิงเยว่รีบเติมข้าวขาวชามใหญ่อย่างรวดเร็วและวางเนื้อซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานสีแดงหนึ่งชิ้นใหญ่ไว้บนข้าว น้ำราดย้อมข้าวขาวให้เป็นสีแดงทอง จากนั้นจึงเติมมันฝรั่งผัดเปรี้ยวเผ็ดอีกช้อนลงในช่องว่างให้เต็มพื้นที่
ชามข้าวซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานและมันฝรั่งผัดที่เรียบง่ายสวยงามทั้งยังอร่อยพร้อมแล้ว
“ลองกินดู!”
หลิงเยว่ซึ่งเพิ่งตักอาหารให้กับผู้บำเพ็ญทั้งสองเริ่มต้อนรับแขกคนที่สาม
รอยยิ้มบนใบหน้าของนางกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่ว่านี่มันมีความสุขมากกว่าการได้รับของขวัญอีกหรือ?