ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 600 พวกเขาคงรำคาญ
บทที่ 600 พวกเขาคงรำคาญ
“ให้ข้าอุ้มหน่อย”
ติงซินอวี่ค่อย ๆ รับติงหลิวหลิ่วจากมือของหลิงเยว่อย่างระมัดระวัง สายตาของนางกวาดมองทุกส่วนของร่างน้อยในอ้อมกอด ทั้งศีรษะเล็ก ๆ ริมฝีปากน้อย ๆ แม้แต่รอยยิ้มที่มุมปากขณะหลับก็ช่างงดงามเหลือเกิน!
“ศิษย์น้อง หากเจ้าไม่ออกมา ศิษย์พี่คงต้องบุกเข้าไปแล้ว!”
หลิงเยว่ที่ได้รับสารจากผู่ตานอย่างกะทันหันถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง โอ้ นางลืมออกไปแจ้งคนข้างนอกว่าทั้งแม่และลูกปลอดภัยดีแล้ว ประตูใหญ่ของหอกลั่นโอสถที่ปิดสนิทถูกเปิดออกจากด้านใน
ผู่ตานกลายเป็นสายลมพุ่งเข้าไปในหอกลั่นโอสถทันที เขาได้กลิ่นของศิษย์พี่สามแล้ว
“ศิษย์…พี่…สาม…” เมื่อผู่ตานเห็นทารกน้อยที่นอนอยู่บนเตียง เสียงและลมหายใจของเขาก็เบาลง ติงหลิวหลิ่วที่เชื่องและสงบเช่นนี้ เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“น่ารักมากใช่หรือไม่” ติงซินอวี่กลายเป็นแม่ที่โง่งมในทันที รู้สึกว่าติงหลิวหลิ่วน่ารักไปหมดทุกส่วน
“ศิษย์น้องน่ารักจังเลย!” หลิงโม่โผล่มาจากที่ไหนไม่รู้ ก้มลงข้างทารกน้อย ใช้นิ้วแตะแก้มอวบเบา ๆ แก้มเป็นรอยนิ้วเล็ก ๆ แล้วก็กลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว
อวี้เจินที่ช้าไปหนึ่งก้าวกอดทารกที่หลับสนิทไว้ พลางร้องไห้อย่างสุดเสียง
ทารกน้อยลืมตาขึ้นด้วยความไม่พอใจ แล้วตบอวี้เจินหนึ่งที
เสียงตบดังกังวาน บนใบหน้าขาวนุ่มของอวี้เจินปรากฏรอยมือเล็ก ๆ ห้านิ้ว แสดงให้เห็นว่าติงหลิวหลิ่วไม่พอใจมากเพียงใดที่มีคนมาปลุกนาง
“โอ้ ศิษย์น้องตัวน้อยรู้จักตีคนแล้ว ช่างเก่งจริง ๆ!” ดวงตาของหลิงโม่เปล่งประกายวิบวับ
อวี้เจินที่ถูกตบ “……”
หากไม่ใช่เพราะนางยังเด็ก ข้าคงต้องซัดติงหลิวหลิ่วสักยกแน่!
ติงซินอวี่ถามอวี้เจินอย่างระมัดระวัง “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
“นางหนังหนาจะเป็นอะไรไปเล่า” ลู่เป่ยเหยียนเอ่ยประโยคแรกทันทีที่เข้ามาเพื่อแขวะอวี้เจิน จากนั้นสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่ทารกในอ้อมแขนของนาง
ก่อนที่ลู่เป่ยเหยียนจะทันได้ทักทายทารกน้อย ผู่ตานก็รีบขวางสายตาของเขาทันที “ศิษย์พี่สาม รู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด?”
“ศิษย์น้อง ศิษย์พี่สามไม่มีความทรงจำใช่หรือไม่?” ผู่ตานรีบดึงหลิงเยว่เข้ามา
“ในวัยทารกไม่มีความทรงจำ”
“ดังนั้น พวกเราสามารถเล่นสนุกกับศิษย์พี่สามในวัยทารกได้อย่างเต็มที่แล้วสินะ” ผู่ตานหัวเราะคิกคัก อย่างนี้สิถึงจะสนุก! “เล่น…หยอก?” ติงซินอวี่รู้สึกงุนงง
“หลบ ๆ ๆ…”
เล่อเหอแทรกตัวเข้าไปในกลุ่มคน แย่งตัวติงหลิวหลิ่วมาจากอ้อมกอดของอวี้เจิน “หลิวหลิ่วน้อย เจ้ายังจำบรรพจารย์ได้หรือไม่?”
ติงหลิวหลิ่วกลอกตาขึ้นบนทันที
“นางถึงกับรู้จักกลอกตาด้วย!” กลุ่มคนพากันล้อมรอบติงหลิวหลิ่วด้วยความประหลาดใจ “นางไม่ได้โง่เสียหน่อย การกลอกตาเท่านั้น มันยากตรงไหนกัน?”
“พวกเจ้าดูเร็ว ดูเหมือนหลิวน้อยกำลังมองพวกเราด้วยสายตาเหมือนมองคนโง่”
เมื่อบรรพจารย์เล่อเหอเอ่ยจบ ทุกคนรีบมองไปทางนั้นทันที และก็เป็นจริงดังว่า นางกำลังมองพวกเขาด้วยสายตาเหมือนมองคนโง่จริง ๆ
หากติงหลิวหลิ่วสามารถพูดได้ตอนนี้ นางคงจะด่าออกมาอย่างรุนแรงแน่นอน!
“ศิษย์น้องพูดถูกแล้ว” ผู่ตานละสายตาจากติงหลิวหลิ่วอย่างไม่เต็มใจ เขาอยากพาศิษย์พี่สามกลับไปเลี้ยงเอง แต่เมื่อเห็นแสงแห่งความรักของแม่ที่แผ่ขยายออกมาจากติงซินอวี่ เขาก็ไม่อาจทำเรื่องแย่งลูกคนอื่นได้
“ไปเถอะศิษย์พี่ พรุ่งนี้ค่อยมาดูอีกก็ได้” หลิงเยว่ลากดึงอย่างยากลำบากกว่าจะพาผู่ตานออกมาจากหอกลั่นโอสถได้สำเร็จ
“พรุ่งนี้พวกเจ้าไปหาไข่กันเองเถอะ ข้าต้องอยู่ที่นี่เฝ้าหลิวหลิ่ว” อวี้เจินที่ถูกไล่ออกมาไม่ได้เลือกกลับไปยอดเขาบ่มเพาะกายา แต่กลับนำเก้าอี้ออกมานั่งไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์อยู่หน้าประตูหอกลั่นโอสถ
“ที่สำนักหลานเทียนมีคนตั้งมากมาย ขาดเจ้าไปคนเดียวจะเป็นไรไป” ผู่ตานเบ้ปาก แม้ว่าเขาจะอยากอยู่ที่นี่เช่นกัน แต่ตอนนี้ศิษย์พี่ใหญ่ต้องการพวกเขา! “เรื่องหาไข่ไม่ต้องรีบร้อน”
หลิงเยว่กล่าวพลางคลายหนามที่พันรอบข้อมือออก แล้วโยนไปยังร่างแท้ของตน “เจ้าไปหาที่เหมาะสมเพื่อฝึกฝนเองเถิด”
หนามเคลื่อนตัวราวกับงู หายวับไปอย่างรวดเร็วใต้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์
เมื่อทำเรื่องนี้เสร็จ หลิงเยว่ก็เริ่มขุดบ่อปลาใต้ร่างแท้ของตน นางยังไม่ลืมไข่ปลาของว่านอวี้เฟิง
หลังจากขุดบ่อปลาเสร็จ หลิงเยว่รีบนำไข่ปลาหลากสีใส่ลงไปทั้งหมด เพื่อรับประกันอัตราการรอดชีวิตของพวกมัน นางได้ใส่ลมหายใจแห่งชีวิตลงในน้ำเป็นจำนวนมากตอนนี้เหลือเพียงไข่ของศิษย์พี่ใหญ่ที่ยังหาไม่พบ หลิงเยว่ตัดสินใจว่าจะไปหาไข่ให้เจอก่อนแล้วค่อยว่ากัน!
“ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” โม่จวินเจ๋อแน่นอนว่าไม่อยากปล่อยให้หลิงเยว่ไปคนเดียว คนมากย่อมมีกำลังมาก
“ศิษย์พี่สี่ ท่านอยู่ที่นี่คอยดูแลอาจารย์กับศิษย์พี่รองให้ดีนะ” แม้ว่าร่างแท้ของหลิงเยว่จะอยู่ที่นี่ คนทั่วไปคงไม่กล้าบุกรุกเข้ามา แต่ถ้าเกิดเจอคนที่ไม่ธรรมดาขึ้นมาล่ะ
“ก็ได้” ผู่ตานรู้สึกน้อยใจ พวกเขาสองคนแค่รำคาญเขาเท่านั้นเอง ไข่ของว่านอวี้เฟิงกับหนามของอาจารย์อยู่ใต้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์จะเกิดอะไรขึ้นได้!
หลิงเยว่และโม่จวินเจ๋อแทบไม่ได้หยุดพักเลย พวกเขารีบมาถึงถ้ำสะสมไข่บนยอดเขาใหญ่ในทันที แม้จะเพิ่งจากไปเพียงไม่กี่วัน จำนวนไข่ในถ้ำก็เพิ่มขึ้นอีกแล้ว
“ยังคงไม่รู้สึกถึงร่องรอยพลังอยู่อีกหรือ?”
หลิงเยว่ส่ายหน้า ช่างแปลกจริง ๆ หรือว่าศิษย์พี่ใหญ่จะไม่ต้องการให้นางพบจริง ๆ
แม้ในใจจะคิดเช่นนั้น หลิงเยว่ก็ไม่ยอมแพ้ นางรวบรวมพลังชีวิตเล็ก ๆ ก้อนหนึ่ง พยายามให้มันนำทาง ผลปรากฏว่าทันทีที่พลังชีวิตปรากฏขึ้น ไข่ที่ดูไร้ชีวิตเหล่านั้นก็กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที พวกมันใช้กำลังเตะเปลือกไข่ออก กลายเป็นลูกนกอินทรีตัวน้อย แย่งชิงกันดูดซับลมหายใจแห่งชีวิตอย่างบ้าคลั่ง
หากกินก้อนนี้ได้ พวกมันอาจจะโตได้ในทันที!
เสียงอึกทึกในถ้ำปลุกเผ่าอินทรียักษ์ทั้งหมด พวกมันบินเข้าไปในถ้ำกันอย่างรวดเร็ว…
“!!!”
“หรือว่า ข้าควรเก็บมันกลับคืนมา”
โม่จวินเจ๋อส่ายหน้า หากเก็บกลับคืนมา เผ่าอินทรีย์ยักษ์คงจะบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม
“เจ้าว่าในบรรดาพวกที่เพิ่งฟักออกจากไข่และกำลังแย่งชิงลมหายใจแห่งชีวิตอยู่นั้น จะมีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วยหรือไม่”
“คงไม่มีหรอก หลงหว่านโหรวแทบไม่เคยแย่งชิง แม้แต่ตอนเข้าไปในเขตแดนลับ”
ใช่ ศิษย์พี่ใหญ่โดยปกติไม่ทำเรื่องแย่งชิง ในยามเช่นนี้นางคงจะนั่งเงียบ ๆ อยู่ตรงมุมใดมุมหนึ่ง คอยดูเหตุการณ์อยู่เป็นตัวไหนกันนะ
เมื่อมองไปทั่ว หลิงเยว่และโม่จวินเจ๋อต่างก็ไม่พบว่ามีลูกนกตัวไหนที่เพิ่งออกจากไข่กำลังดูการต่อสู้อยู่ แทบทั้งหมดต่างพุ่งเข้าหาพลังชีวิต
“หรือว่าศิษย์พี่ใหญ่จะเปลี่ยนไปแล้ว?” ถึงอย่างไรหลงหว่านโหรวก็ไม่มีความทรงจำ อาจเป็นไปได้ว่านางกำลังแย่งชิงพลังชีวิตตามสัญชาตญาณ
“เป็นไปได้”
ทั้งสองซ่อนตัวอยู่ในที่มืด เฝ้าดูการแย่งชิงระหว่างนกอินทรีอย่างเงียบ ๆ ขนนกมากมายลอยวนอยู่ในถ้ำไม่หยุด บดบังสายตาของหลิงเยว่ที่กำลังสังเกตลูกนกแต่ละตัวอยู่ ศิษย์พี่ใหญ่คือตัวไหนกันแน่!
ลูกนกอินทรีส่วนใหญ่ล้วนมีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกัน ทำเอาหลิงเยว่ปวดหัวไปหมด