ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 62 ท่ามกลางสายตาของสาธารณชน นาง… ถูกปล้น
บทที่ 62 ท่ามกลางสายตาของสาธารณชน นาง… ถูกปล้น
บทที่ 62 ท่ามกลางสายตาของสาธารณชน นาง… ถูกปล้น
หลิงเยว่ไม่รู้จริง ๆ ว่าพืชที่มีฤทธิ์กัดกร่อนนี้สามารถกัดกร่อนม่านพลังของค่ายกลป้องกันได้หรือไม่ แต่นี่เป็นวิธีเดียวที่นางคิดออก
ภายใต้การกระตุ้นของหลิงเยว่ พืชที่มีฤทธิ์กัดกร่อนเริ่มปล่อยน้ำยางสีหมึกที่มีกลิ่นเหม็นออกมา
“ข้าจำได้แล้ว มันคือหญ้าที่มีพิษกัดกร่อน ว่าแล้วเชียวเหตุใดจึงดูคุ้นนัก!”
“หืม? พิษของหญ้ากัดกร่อนจะสามารถทำลายค่ายกลป้องกันได้จริงหรือ?”
“เอ่อ… มันดูไม่ดีเท่าหนามโลหะเสียด้วยซ้ำ และเจ้าดอกไม้สีดำนั่นก็ดูทรงพลังมากกว่าอีกไม่ใช่หรือ?”
ผู้รับชมในกลุ่มคนด้านล่างลานประลองเริ่มสนทนากันไปต่าง ๆ นานา
ทว่าเหล่าตัวตนระดับสูงของสำนักเห็นได้ถึงความแตกต่างในหญ้ากัดกร่อนนี้ ทว่าก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าแตกต่างในทางใด
สยงฉีเลวี่ยครุ่นคิดอย่างหนัก ทว่าก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ แต่เขามั่นใจว่าหญ้ากัดกร่อนนี้แตกต่างออกไป!
ชิงยวนคิดถึงสมุนไพรวิญญาณในซาลาเปาที่เพิ่มคุณสมบัติธาตุลม ตอนนี้หญ้ากัดกร่อนนี้ราวกับมีคุณสมบัติอื่นอีกด้วย!
พิษที่มีฤทธิ์กัดกร่อนปกคลุมค่ายกลป้องกันทั้งหมด หลิงเยว่ยกมือขึ้น ก่อนจะยืนขึ้นจากพื้นแล้วเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
“ระเบิด!”
“ตูม!”
เปลวไฟสีดำลามไปทั่ว
ไฟสีดำ?!
ผู้บำเพ็ญในกลุ่มผู้ชมตกตะลึง
เอ๊ะ! นั่นไม่ใช่ไฟ แต่เป็นการระเบิดของน้ำพิษสีดำที่ทำให้ผู้คนเข้าใจผิด! ดูพื้นลานประลองที่สึกกร่อนเสียก่อน ไฟนั่นเป็นของเหลวไม่ผิดแน่!
ร่างในชุดสีน้ำเงินกระเด็นออกจากลานประลองทันที
“หลิงเยว่ป้องกันสำเร็จ!”
หลิงเยว่ปาดเหงื่อออกจากหน้าผากแล้วยิ้ม เด็กสาวรู้สึกผิดที่เกือบลืมคำเตือนของเหล่าศิษย์พี่ของนางที่บอกว่า อย่าเปิดเผยความลับที่ว่านางสามารถเพิ่มหรือเปลี่ยนคุณสมบัติให้กับพืชวิญญาณได้ ดังนั้นในตอนท้ายภาพไฟสีดำที่เกิดขึ้นจึงได้กลายเป็นของเหลวในพริบตา
โชคดีที่นางตอบสนองได้เร็วเพียงพอ จึงสามารถดึงปราณไฟออกไปในขณะที่เกิดการระเบิดได้ทันเวลา
เพียงแต่นางสามารถหลอกลวงได้เพียงเหล่าศิษย์ในกลุ่มผู้ชมได้เท่านั้น ทว่าไม่สามารถหลอกลวงตัวตนระดับสูงของสำนักที่เฝ้าดูอยู่ได้
ชิงยวนซึ่งกำลังนั่งอยู่ในตัวตนระดับสูงเชิดหน้า ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่จ้องมา ชิงยวนจึงถามเบา ๆ ว่า “เหตุใดพวกเจ้าถึงมองข้าเช่นนี้”
“ลูกศิษย์ของเจ้ามีภูมิหลังอย่างไรหรือ?”
“ข้าไม่รู้ แต่ถ้าหากเจ้าอยากรู้จริง ๆ ก็สามารถถามท่านบรรพจารย์เล่อเหอได้”
นี่เป็นการบอกทางอ้อมว่าหลิงเยว่ไม่เพียงแต่ได้รับการคุ้มครองจากนางเท่านั้น ทว่ายังถูกเล่อเหอปกป้องอีกด้วย!
“ท่านบรรพจารย์เล่อเหอให้ความสำคัญกับหลิงเยว่มาก พวกเจ้าทุกคนอย่าได้มีความคิดอื่นเด็ดขาด!” สยงฉีเลวี่ยกวาดสายตามองอย่างดุเดือด และเหล่าตัวตนระดับสูงก็เงียบลง
เพียงแค่สงสัยใคร่รู้เท่านั้น ใครจะไปมีความคิดเอาเปรียบศิษย์รุ่นใหม่กันเล่า?
คนผู้นี้จะดูถูกผู้คนมากเกินไปหน่อยกระมัง!
“ยิ่งกายาต้านหายนะแข็งแกร่งเท่าใด มันก็จะเป็นประโยชน์ต่อเรา… รวมถึงทั้งโลกบำเพ็ญเซียนด้วย แล้วเราจะไปมีความคิดอื่นได้อย่างไร?” ปิงซู่ตอบอย่างใจเย็น
“ใช่แล้ว”
ตอนนี้ผู้นำยอดเขาต้วนรู้สึกถูกชะตาหลิงเยว่ไปทุกทีที่เขามอง อนาคตของเด็กคนนี้ช่างสดใสนัก!
ชิงยวนแอบพ่นลมหายใจ เข้าใจได้เช่นนี้ก็ดี!
สายตาหลายคู่จับจ้องไปที่หลิงเยว่อีกครั้ง ในเวลานี้เด็กสาวนอนอยู่บนพื้นในช่วงเวลาพัก นางเหล่ตาพลางนับเวลาที่ผ่านไป แน่นอนว่ามือและปากต่างทำหน้าที่ไม่หยุดหย่อน เด็กสาวกำลังเพลิดเพลินไปกับอาหาร
เหล่าศิษย์ในกลุ่มผู้ชมเริ่มไม่อาจทนต่อภาพตรงหน้านี้ได้ และชักจะอยากกินอาหารขึ้นมาบ้างแล้ว
ในที่สุดหลิงเยว่ก็จำตัวตนของนางในฐานะทูตประชาสัมพันธ์อาหารวิญญาณได้ เหตุใดนางถึงทำอาหารวิญญาณมากมายเช่นนี้ นั่นก็เพื่อส่งเสริมอาหารวิญญาณพิเศษไม่ใช่หรือ! ทั้งอร่อย อิ่มท้อง และมีฤทธิ์ทางยา ใครเล่าจะปฏิเสธมันได้!
“พวกศิษย์พี่ ต้องการน่องไก่ทอดหรือไม่เจ้าคะ?”
เมื่อเผชิญหน้ากับน่องไก่ทอดตรงหน้า อีซานก็รับมันไปอย่างเงียบ ๆ
หลิงเยว่จำอีซานได้ นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วยื่นอมยิ้มฟื้นปราณให้อีกอันด้วยความเห็นใจ
“นี่เป็นการปลอบใจขุนศึกที่พ่ายแพ้ใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” หลิงเยว่ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
อีซานต้องการเขวี้ยงน่องไก่ใส่หน้าศิษย์น้องคนนี้นัก ทว่าเขาก็ยังอดทนและบอกว่าตัวเองต้องมีน้ำใจผู้แพ้
หลังจากหลิงเยว่กินอาหารวิญญาณครบสามอย่างแล้วจึงเช็ดมือทำความสะอาด และทันทีที่คู่ต่อสู้คนต่อไปกระโดดขึ้นมาบนลานประลอง นางก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วและเปิดค่ายกลป้องกันออกมาใช้งาน
จะไม่มีการต่อสู้อีกต่อไป นางจะใช้เวลาสองวันที่เหลือนอนราบกับพื้นเท่านั้น
เมื่อเห็นหลิงเยว่ใช้กลยุทธ์นี้อีกครั้ง ผู้ท้าชิงที่ขึ้นลานประลองก็ราวกับหมดหนทาง แต่ก็ไม่เต็มใจที่จะจากไปโดยง่าย ยันต์ในมือของคู่ต่อสู้ถูกโยนไปที่ค่ายกลป้องกันราวกับของไร้ราคา
หลังจากลองวิธีดังกล่าวแล้ว เมื่อเห็นว่าค่ายกลไม่มีทีท่าสะเทือน คู่ต่อสู้นางนี้ก็จากไปโดยไม่ลังเล ราวกับว่านางเพียงมาเดินเล่นเท่านั้น
เหล่าผู้ชม “…”
ข้าเกรงว่าศิษย์พี่หญิงคนนี้จะป่วยทางสมองเสียแล้ว
หลิงเยว่จำได้ว่าหญิงสาวคนนี้คือผู้บำเพ็ญยันต์ซึ่งเป็นลูกค้าคนที่สองที่นางพบในมิติลับรอบแรกใช่หรือไม่?
ในอีกสองวันข้างหน้า หลิงเยว่ตั้งใจจะซ่อนตัวอยู่ในค่ายกลป้องกัน และจะไม่ยอมออกมาเด็ดขาด แม้ว่ามันจะทลายลง ทว่าเด็กสาวก็จะเปิดใช้ค่ายกลใหม่โดยเร็วที่สุด
เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยามก่อนจะถึงจุดสิ้นสุดของการแข่งขันรอบสอง และหลิงเยว่ก็คิดถึงวันคืนที่จะได้นอนสบายบนเตียง แต่ทว่า… การปรากฏตัวของผู้ท้าชิงคนสุดท้ายทำให้ใบหน้าของนางต้องแข็งค้าง
ถ้านึกถึงสือเชี่ยนร่างกายของนางจะปวดร้าวไปถึงกระดูก แต่ถ้านึกถึงคนที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ ไม่เพียงแต่นางจะรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกายเท่านั้น กระทั่งวิญญาณยังกรีดร้องไปในเวลาเดียวกันด้วย
“ศิษย์พี่ฉี เหตุใดท่านถึงมาที่นี่ด้วยเจ้าคะ?”
ดวงตาของหลิงเยว่เต็มไปด้วยน้ำตา และด้วยรูปลักษณ์ที่น่าสงสารของนางก็ทำให้เหล่าผู้ชมตื่นเต้น
พวกเขาไม่พอใจที่หลิงเยว่กำลังจะจบการแข่งขันรอบสองโดยง่ายดายเช่นนี้ การเห็นเด็กสาวร้องไห้จึงเป็นการบรรเทาความไม่พอใจของพวกเขา!
“ศิษย์พี่หญิงของข้าถูกรังแกเช่นนั้น ข้าที่เป็นศิษย์น้องของนางต้องมาที่นี่เพื่อคิดบัญชีกับเจ้า”
เขามีรอยยิ้มขี้อายบนใบหน้า ทว่าวิธีการกลับไม่ได้อ่อนโยนเลย ศิษย์พี่คนนี้ร้ายกาจนัก แตกต่างจากผู้ฝึกกายาทั่วไป ผู้ฝึกกายาส่วนใหญ่มักจะใช้ทักษะหมัดและเตะ แต่เขาคนนี้ใช้ความแข็งแกร่งของทั้งร่างกายเข้าปะทะ!
แก่นปราณทั้งสามของเขาคือโลหะ ดิน และลม เมื่อได้รับการฝึกฝนร่วมกันแล้ว แก่นปราณลมแก้ไขข้อบกพร่องของความเร็วในผู้ฝึกกายาที่ช้า ทั้งยังเสริมพลังการต่อสู้ให้รุนแรงยิ่งขึ้น!
คู่ซ้อมเพียงคนเดียวที่หลิงเยว่ไม่สามารถหลบหนีได้คือเขา!
“ตูม!”
ด้วยหมัดเดียวก็มีรอยแตกบนค่ายกลป้องกัน
“เอ่อ… มันเปราะบางถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”
ฉีซิวซีถอนมือของเขาอย่างผิดหวัง และเมื่อเขาเห็นหลิงเยว่หยิบแผ่นค่ายกลอีกแผ่นออกมาเพื่อเตรียมพร้อม เขาก็ชักชวนอย่างมีน้ำใจ “ศิษย์น้องหลิงได้โปรดออกมาเถิด อย่าทำให้แผ่นค่ายกลเสียเปล่าเลย”
มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะออกไป!
หลิงเยว่จับแผ่นค่ายกลไว้แน่น และทันทีที่ค่ายกลปัจจุบันพัง นางก็จะใช้ค่ายกลอันใหม่ทันที
จากนั้นฉากบีบหัวใจผู้คนก็ปรากฏขึ้น คนหนึ่งทำลายค่ายกลป้องกันด้วยการเหวี่ยงหมัดไม่กี่ครั้ง และอีกคนก็ใช้ชดเชยได้ทันเวลา
ค่ายกลป้องกันที่ปรมาจารย์ค่ายกลขอบเขตสร้างรากฐานทำออกมานั้นมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าแปดหมื่นหินวิญญาณระดับล่าง ตอนนี้หินวิญญาณระดับล่างมูลค่ากว่าแปดแสนก้อนพลันสลายไปกับสายลม
“เจ้ามีแผ่นค่ายกลป้องกันนั่นอีกกี่แผ่นงั้นหรือ?”
ฉีซิวซีหัวเราะเบา ๆ การกระทำของเขาทำให้ผู้คนเจ็บปวดใจ
“เกือบจะหมดแล้ว ศิษย์พี่ฉีครั้งนี้โปรดปล่อยข้าไปเถิด แล้วท่านค่อยทุบตีข้าหลังจากการแข่งขันจบลงก็ได้เจ้าค่ะ”
เพื่อแสดงความจริงใจของนาง หลิงเยว่จึงหยิบอาหารวิญญาณออกมาหลายอย่างเพื่อติดสินบน
“น้อยเกินไป”
ฉีซิวซีไม่พอใจ เขาเคยได้ยินอวี้รุ่ยพูดว่าชุดอาหารพิเศษนี้มีราคาเพียงแปดร้อนหินวิญญาณระดับล่าง
หลิงเยว่หยิบอาหารออกมาอีกห้าชุด เมื่อรวมกับของเดิมก็มีเป็นสิบชุดพอดี “เท่านี้… พอจะได้แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“ไม่ ข้าจะเอาสิบชุด ส่วนศิษย์พี่หญิงเชี่ยนของข้าก็ต้องการยี่สิบชุดเพื่อรักษาบาดแผลของนางด้วยจริงหรือไม่?”
ไร้ยางอาย!
ชายหนุ่มคนนี้ใจร้ายนัก หากเมื่อใดที่นางเก่งขึ้น หลิงเยว่จะทุบตีศิษย์พี่ผู้นี้ให้น่วม ทำให้เขาร้องไห้ราวกับเด็กเลยคอยดู!
“ถ้าไม่ตกลงงั้นข้าจะทุบค่ายกลของเจ้าต่อแล้วนะ” ฉีซิวซีพูดพร้อมยกกำปั้นขึ้นเตรียมทุบ
“เดี๋ยวก่อน ข้าจะให้… ข้าจะให้ท่าน!”
ทุกอย่างทำไปเพื่อชัยชนะ หลิงเยว่ส่งมอบอาหารวิญญาณสามสิบชุดให้ทั้งน้ำตา
หลังจากได้รับสิ่งที่เขาต้องการแล้ว ฉีซิวซีก็ไม่สนใจอีกต่อไป และกระโดดลงจากลานประลองอย่างรวดเร็ว
“ป้องกันสำเร็จ!”
“ตอนนี้ ข้าขอประกาศว่าการแข่งขันรอบที่สองสิบวันสิ้นสุดลงแล้ว!”
ในที่สุดก็จบลงเสียที…
ร่างกายของหลิงเยว่เดินกะเผลกและทรุดตัวลงกับพื้น