ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 65 มาสิ! ไม่ เจ้าสิมาก่อน
บทที่ 65 มาสิ! ไม่ เจ้าสิมาก่อน
บทที่ 65 มาสิ! ไม่ เจ้าสิมาก่อน
หลิงเยว่ซึ่งกำลังพึงพอใจกับการบรรลุจากขั้นหกไปสู่ขั้นแปดของขอบเขตกลั่นลมปราณ พลันเห็นดอกไม้ดำน้อยกลีบแห้งเหี่ยวในทันทีที่นางลืมตา
สีหน้าของปิงซู่ก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวังเช่นกัน
เกิดอะไรขึ้น?
นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง และคำตอบที่นางได้รับกลับเป็นการส่ายหน้า
“ไปกันเถิด การแข่งขันกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”
หลิงเยว่เริ่มจริงจังมากขึ้นทันทีที่ได้ยินว่าการแข่งขันกำลังจะเริ่ม การบรรลุมาถึงขั้นแปดอย่างน้อยก็ทำให้นางมีความมั่นใจมากกว่าก่อนหน้านี้…
สนามต่อสู้ขนาดใหญ่เต็มไปด้วยผู้คนสุดสายตา และลานประลองหนึ่งร้อยแห่งก็ดูแออัดนัก
ในลานประลองทั้งหนึ่งร้อย ห้าสิบแรกเป็นของผู้เข้าแข่งที่อยู่ในขอบเขตสร้างรากฐาน และห้าสิบหลังเป็นของผู้อยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณ
บังเอิญเหลือเกินที่หลิงเยว่ก็ยังประจำอยู่ที่ลานประลองหมายเลขเก้าสิบเก้าเหมือนเดิม ซึ่งเลขนี้ค่อนข้างเป็นเลขมงคลสำหรับนาง
ปิงซู่อุ้มหลิงเยว่ขึ้นมาแล้วโยนนางขึ้นไปกลางอากาศทางลานประลองหมายเลขเก้าสิบเก้า รูปลักษณ์ที่โดดเด่นของนางค่อนข้างสะดุดตาอยู่แล้ว และเด็กสาวก็กรีดร้องเสียด้วยซ้ำ
โม่จวินเจ๋อจำร่างในชุดเขียวที่ลอยอยู่เหนือหัวของเขาได้ว่าเป็นหลิงเยว่ “…”
ติงหลิวหลิ่วและว่านอวี้เฟิงเงยหน้าขึ้น เมื่อพวกเขาเห็นร่างหล่นลงบนลานประลอง แทนที่จะกังวลพวกเขากลับหัวเราะออกมาเสียงดัง
ศิษย์น้องห้าช่างน่าสงสารนัก…
หลิงเยว่ลุกขึ้นจากพื้นพลางลูบก้นตัวเอง ปิงซู่ผู้นั้นเป็นอะไรมากหรือไม่ เอ่ยเตือนนางสักหน่อยก่อนจะโยนขึ้นมาจะไม่ดีกว่าหรือ?
“สมควรแล้ว”
เสียงของชายหนุ่มที่คุ้นเคยดังมาจากด้านข้าง หลิงเยว่หันศีรษะแล้วพ่นลมหายใจ ฮึ่ม! คนคนนี้ดูคุ้นเคยนัก อ้อ! ข้าจำได้แล้ว เขาเป็นคนที่ใช้หินวิญญาณระดับล่างหนึ่งพันก้อนซื้อชุดอาหารวิญญาณของนาง เขาคือชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินคนนั้น!
“ว่าอย่างไร! ไม่เจอกันนานเลยนะ!”
เจียงจือเชียนดูไม่มีความสุข เขาไม่อยากเจอนางเลย!
“อาหารชุดของข้าอร่อยหรือไม่ เจ้าอยากได้มันอีกชุดหรือ?”
นางกำลังจะเอาอาหารออกมาหลังจากที่พูดจบ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเวลานี้ยังไม่ควรขายอาหารให้กับคู่ต่อสู้ ไม่เช่นนั้นคงจัดการอีกฝ่ายยากกว่าเดิมใช่หรือไม่?
“ไม่สิ รอให้จบเรื่องก่อนดีกว่า” หลิงเยว่เก็บอาหารกลับอีกครั้ง
เจียงจือเชียนผู้ซึ่งนำถุงหินวิญญาณออกมาโดยไม่รู้ตัว “…”
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชุดอาหารนั้นอร่อยจริง ๆ
บ้าเอ๊ย! เขาไม่ควรซื้ออาหารจากปีศาจใจดำคนนี้!
หลิงเยว่หยิบอมยิ้มวิญญาณออกมาแล้วใส่เข้าไปในปากพลางมองไปรอบ ๆ จำนวนผู้ชมแถวลานประลองหมายเลขเก้าสิบเก้ามีจำนวนต่างจากลานประลองอื่น ๆ มากนัก
เดี๋ยวนะ… คนพวกนี้หมายถึงอะไร คิดว่านางคงจบเห่เร็ว ๆ นี้ก็เลยไม่อยากเสียเวลาดูงั้นหรือ?
เมื่อก่อนพวกเขาไม่เป็นเช่นนี้นี่นา!
จู่ ๆ สีหน้ามืดหม่นของเจียงจือเชียนก็กลายเป็นประหลาดใจ เมื่อจับฉลากในตอนเช้า เด็กสาวตรงหน้าเขาอยู่ที่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นหกเท่านั้น นางบรรลุมาอยู่ขั้นแปดได้ในเช้าวันเดียวได้อย่างไร!?
ต่อให้กินโอสถกลั่นลมปราณก็ไม่เร็วได้ถึงเพียงนี้!
นี่เป็นเรื่องยากแล้ว หากเด็กสาวเป็นผู้บำเพ็ญที่อยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นหก ต่อให้นางฝึกแก่นปราณครบห้าธาตุ เขาก็ยังสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายด้วยการบำเพ็ญขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเก้า ทว่าตอนนี้ระดับของพวกเขาแตกต่างกันเพียงขั้นเดียวเท่านั้น…
เขาไม่สามารถสู้ยืดเยื้อกับนางได้ ต้องรีบจบศึกโดยเร็ว!
คราวนี้อารมณ์ของหลิงเยว่ค่อนข้างคงที่ ท้ายที่สุดแล้วการอยู่ใน ‘โรงหนัง’ สิบห้าวันนั้นเป็นประโยชน์อย่างมาก
“การแข่งขันรอบที่สามของสำนักเริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว!”
ทันทีที่เสียงประกาศก้องกังวานจบลง คู่ต่อสู้ที่ยืนเผชิญหน้าก็เคลื่อนที่ลงมือเกือบจะพร้อมกัน
เจียงจือเชียนทำมุทรา และวงแหวนอัญเชิญสีแดงใต้เท้าของเขาก็ส่องสว่างอย่างสดใส หลิงเยว่รู้ว่ามันสายเกินไปที่จะหยุดอีกฝ่าย ดังนั้นนางจึงโยนดอกไม้ดำน้อยออกไป
ดอกไม้ดำน้อยค่อย ๆ ขยายร่างกลางอากาศ ทางด้านของเจียงจือเชียนก็ปรากฏสุนัขจิ้งจอกสีขาวสามตาที่มีเท้าติดไฟและร่างกายของมันก็เรืองแสงสีแดง
ตาที่สามที่ปิดอยู่เปิดขึ้นทันที เมื่อมันเห็นราชาดอกไม้
ดอกไม้หนึ่งดอกและสุนัขจิ้งจอกหนึ่งตัว
ดอกไม้ถนัดด้านการสร้างภาพลวงตา ส่วนสุนัขจิ้งจอกสร้างความสับสนในใจผู้คนได้ดี พวกมันเหมือนมีความเชื่อมโยงกันบางอย่าง
ครึ่งหนึ่งของลานประลองถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีดำ และอีกครึ่งหนึ่งถูกครอบครองโดยไฟ มันกลายเป็นฉากที่ท้องฟ้าน้ำแข็งและไฟมาเจอกัน
“บรู๋ว!”
จิ้งจอกขาวสามตาแหงนหน้าไปบนท้องฟ้าแล้วหอน หางปุยของมันแกว่งไปมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาที่สามของมันเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มขึ้น และไฟบนท้องฟ้าก็บิดเบี้ยวทันที
ราชาดอกไม้ผู้ไม่สามารถกรีดร้องได้ก็ไม่ยอมแพ้ มันแพร่หมอกสีดำกระจายไปอย่างรวดเร็ว เพื่อพยายามกลืนไฟของจิ้งจอกขาว
อุ้งเท้าหน้าของจิ้งจอกขาวกลายเป็นอุ้งเท้าใหญ่แล้วตบออกไป ราชาดอกไม้หลบอย่างสง่างาม ทว่าทั้งสองก็ยังไม่ยอมเข้าใกล้กัน
เจียงจือเชียนตระหนักว่าเขาได้รับผลกระทบจากอาการประสาทหลอนของหมอกดำ ดังนั้นเขาจึงรีบโยนโอสถเม็ดหนึ่งเข้าไปในปาก และใช้ปราณเพื่อปกป้องร่างกายทั้งหมดของเขาโดยเฉพาะสมอง
ภาพที่เห็นว่าเจียงจือเชียนกลายเป็นคนหัวใหญ่สีทอง ทำให้หลิงเยว่นึกขบขัน
ทันทีที่มุมปากของเด็กสาวยกขึ้น แสงสีทองจากหัวคนก็กลายเป็นห่าลูกธนูพุ่งเข้ามาหานาง หลิงเยว่รู้ว่าเขาจะใช้ท่านี้ จึงสร้างกำแพงน้ำสีฟ้าเหลือบทองต้านทานลูกธนูทองเอาไว้ และในขณะเดียวกันก็มีหนามโลหะปรากฏขึ้นในทะเลเพลิงฝั่งตรงข้าม หนามยาวนั้นพุ่งแทงเข้าใส่เจียงจือเชียน
“มาได้อย่างไร!”
เจียงจือเชียนรู้สึกหวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ถูก จิ้งจอกขาวสามตาไม่รู้ได้อย่างไรว่ามีหนามบ้านี่ซ่อนอยู่ในไฟของมัน!
ทักษะชั่วร้ายนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมาย เจียงจือเชียนรีบใช้ทักษะการเคลื่อนไหวเพื่อหลบหนีหนามที่กำลังจะแทงเท้าของเขา!
ทันใดนั้นหนามโลหะก็แยกออกจากลำต้นของมัน และกลายเป็นเหมือนห่าฝนลูกธนูยิงเข้าใส่เจียงจือเชียน
ลำต้นของต้นหนามที่เพิ่งยิงหนามออกไปนั้นบางลงทว่ากลับยาวขึ้น ในพริบตามันมีหนามเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นตรงจุดเดิม ดูเหมือนว่ามันต้องการใช้ลำต้นของมันสานเป็นตาข่ายขนาดยักษ์เพื่อดักจับเจียงจือเชียนในเวลาเดียวกัน
หลิงเยว่ผู้ควบคุมหนามและกำแพงน้ำในเวลาเดียวกัน รู้สึกว่าปราณของนางลดลงอย่างรวดเร็ว การวางแผนตามทฤษฎีเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การต่อสู้จริงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง การจะจัดการทั้งสองสิ่งได้นั้นยากยิ่ง
ลานประลองที่มีการปะทะกันของน้ำและไฟดึงดูดความสนใจของผู้ชมอย่างรวดเร็ว และจำนวนผู้ชมที่แต่เดิมบางตาก็เริ่มหนาขึ้น
“สวรรค์! หนามสามารถแยกออกจากลำต้นของมันได้เช่นนี้ด้วยหรือ!”
“การต่อสู้ระหว่างดอกไม้กับสุนัขจิ้งจอกน่าตื่นเต้นนัก ตัวหนึ่งตบอีกตัวด้วยอุ้งเท้า ส่วนอีกตัวก็ตบคืนด้วยกลีบดอกของมัน น่าขบขันนัก!”
“อา! เจียงจือเชียนติดอยู่ในหนาม!”
…
เจียงจือเชียนที่ใช้ทักษะการเคลื่อนไหวของเขาเพื่อหลบหนีจากตาข่ายหนาม โดยบังเอิญเท้าของเขาไปพัวพันกับลำต้นหนามอื่นที่ปรากฏขึ้นบนพื้นอย่างไม่ทันทั้งตัว
ลูกไฟลูกใหญ่ถูกยิงใส่ลำต้นหนาม เมื่อทั้งสองสิ่งปะทะกัน ภาพตรงหน้าก็กลายเป็นไอหมอก เจียงจือเชียนสังเกตว่าลำต้นหนามรอบข้อเท้าของเขาคลายออกแล้ว จึงรีบกลิ้งตัว และคลานออกไปโดยขว้างยันต์ระเบิดใส่หลิงเยว่
การระเบิดที่รุนแรง ทำให้ร่างของหลิงเยว่กระเด็น
กำแพงน้ำหายไปแล้ว และห่าฝนลูกศรสีทองก็เปลี่ยนทิศทางมาวิ่งตามร่างของนาง
คนหนึ่งถูกตาข่ายหนามและห่าฝนหนามไล่ล่า ส่วนอีกคนถูกห่าฝนลูกศรสีทองอันแหลมคมพร้อมเปลวไฟไล่ตาม
ฉากนี้ทำให้ผู้ชมหัวเราะ
ลานประลองอื่นกำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่วนสองคนนี้ก็กำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นกัน เพียงแต่อารมณ์นั้นต่างกันอย่างอธิบายไม่ได้
“เจียงจือเชียน เจ้าหน้าด้าน ข้าไม่ได้ใช้ยันต์ด้วยซ้ำ!”
“เจ้าสิไร้ยางอาย! ใครอนุญาตให้เจ้าใช้วิชาที่ชั่วร้ายเช่นนี้… อ๊าก!”
ก่อนจบประโยค เจียงจือเชียนพลันร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด
คนหัวไฟสีทองขนาดใหญ่ถูกลำต้นหนามฟาดจนปลิว ทิ้งรอยพาดยาวไว้ข้างหน้าเสื้อ และจากนั้นเขาก็ถูกหนามแหลมแทงที่แผ่นหลังอีกหลายครั้ง
“อ๊าก!”
ในเวลาเดียวกันหลิงเยว่ก็ถูกโจมตีด้วย ไหล่ของนางถูกลูกศรสีทองยิงทะลุผ่าน ซึ่งทำให้เกิดความเจ็บปวดแสนสาหัส
ฝ่ายหนึ่งถูกหนามปักจนตัวเกือบเหมือนเม่น ส่วนอีกฝ่ายไหล่ถูกยิงทะลุจนเกือบตาย
“เจ้าคอยดูเถิด!” หลิงเยว่พูดอย่างดุเดือดพลางกุมไหล่ของนางไว้ “คอยดูเถิดข้าจะเปลี่ยนเจ้าให้เป็นเม่น!”
ทั้งสองยังไม่ลืมที่จะสบถใส่กัน
ทันทีที่หลิงเยว่พูดจบลูกไฟลูกเล็กก็ยิงมาโดนน่องของนาง ในขณะที่เจียงจือเชียนก็ถูกลำต้นหนามฟาดออกไป
คนหนึ่งกระเด็นตกลงไปในทะเลเพลิง และอีกคนก็กระโดดเหยง ๆ ด้วยขาข้างเดียว