ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 68 สวรรค์! สิ่งนี้หอมเหลือเกิน!
บทที่ 68 สวรรค์! สิ่งนี้หอมเหลือเกิน!
บทที่ 68 สวรรค์! สิ่งนี้หอมเหลือเกิน!
ติงหลิวหลิ่วผู้ซึ่งนอนสลบอยู่ในหอกลั่นโอสถหมายเลขสาม ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยกลิ่นหอมที่ลอยตลบอบอวลในอากาศ
ทันทีที่ดวงตาของติงหลิวหลิ่วเปิดออก ก็พลันมีของเหลวที่น่าสงสัยไหลออกจากมุมปาก เมื่อรู้สึกตัว นางจึงยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำลาย โดยลืมไปว่าแผลยังไม่หายดี…
“อ๊าก! เจ็บ!”
“ศิษย์พี่สามท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ!”
หลิงเยว่รีบวิ่งเข้ามาโดยถือกีบเท้าหมูย่างที่หั้นเป็นชิ้นแล้วไว้ในมือ เมื่อครู่ที่นางมาส่งน้ำแกง ติงหลิวหลิ่วเป็นลมไปขณะกิน ตอนนี้เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องดัง ก็แปลว่าติงหลิวหลิ่วน่าจะฟื้นตัวได้นิดหน่อยแล้ว
“ศิษย์น้องห้า มือของข้าเจ็บมากและท้องก็หิวมากด้วย”
ติงหลิวหลิ่วจ้องไปที่ชิ้นกีบเท้าหมูย่างในมือของหลิงเยว่ แม้ว่าชิ้นเนื้อย่างนี้จะดูแตกต่างจากที่เคยกินมาก่อน แต่ตราบใดที่ศิษย์น้องห้าเป็นคนทำมันขึ้นมา มันจะต้องอร่อยอย่างแน่นอน!
หลิงเยว่ลังเล จะเป็นอะไรหรือไม่ถ้าให้ผู้ที่บาดเจ็บสาหัสกินกีบเท้าหมูย่างซึ่งเป็นอาหารหนัก?
“ยังมีอีกหลายอย่างเจ้าค่ะ พวกมันจะพร้อมในเร็ว ๆ นี้…”
“ข้าอยากกินอันนี้ อยากกินอันนี้!”
“นี่คือกีบเท้าหมูดำดิน ท่านแน่ใจหรือเจ้าคะว่าจะกินมัน?”
ติงหลิวหลิ่วเงียบไปในทันที ที่แท้มันคือกีบเท้าหมูสกปรก… แต่มันดูน่าอร่อยจริง ๆ นางอยากกินมัน!
หลิงเยว่สั่งให้โม่จวินเจ๋อนำชามน้ำแกงลูกชิ้นหมูมา
เมื่อน้ำแกงลูกชิ้นมาถึง โม่จวินเจ๋อก็ได้รับชิ้นกีบเท้าหมูย่างที่หั่นแล้วจำนวนหนึ่ง
เขาจ้องมองไปที่ชิ้นกีบเท้าหมูย่าง ติงหลิวหลิ่วและอวี้เจินก็เช่นกัน สีหน้าของทั้งสามคนประสานกันในเวลานี้ แม้จะอยากกิน ทว่าพวกเขายังรับไม่ได้
หลิงเยว่ไม่สนใจเหล่าคนตรงหน้า ก่อนตักลูกชิ้นที่มีฤทธิ์เหมือนโอสถระงับปวดขึ้นมา แล้วนำไปที่ปากของติงหลิวหลิ่ว “ศิษย์พี่สามเจ้าคะ อ้าปากสิ”
ทันทีที่ลูกชิ้นพร้อมกับน้ำแกงที่มีกลิ่นหอมเข้าไปในปากของติงหลิวหลิ่ว จิตใจของนางก็ถูกลูกชิ้นในปากดึงดูด เมื่อกัดลูกชิ้น ก็พลันมีน้ำแกงแผ่ซ่านในปาก กลิ่นหอมของเนื้อหมูดำดินแพร่กระจายพร้อมกับกลิ่นหอมจาง ๆ ของสมุนไพรวิญญาณที่ยังคงอยู่
อร่อยมาก!
“อร่อยใช่หรือไม่เจ้าคะ?” หลิงเยว่ถามอย่างภาคภูมิใจ
นางตักอีกช้อนหนึ่งแล้วนำไปที่ปากของติงหลิวหลิ่ว อีกฝ่ายเปิดปากกินด้วยสีหน้าเพลิดเพลินพึงพอใจ
ติงหลิวหลิ่วชอบความรู้สึกของลูกชิ้นที่ระเบิดในปากมาก พลันรู้สึกว่าอาการบาดเจ็บบนร่างกายก็ดูเหมือนจะไม่เจ็บเท่าใดแล้ว
ในขณะที่ฉากป้อนอาหารอันอบอุ่นใจอยู่ตรงนี้ อีกด้านหนึ่งชายหนุ่มที่เพิ่งทำใจได้กับการเอาชนะอุดมการณ์ในใจ ก็พลันกัดกีบเท้าหมูย่าง
ผิวสัมผัสเด้ง ๆ ทว่ารสชาติกลับเข้มข้น เนื้อในหมักอย่างเอร็ดอร่อย เต็มไปด้วยกลิ่นหอม เป็นรสชาติที่ซับซ้อนและไม่อาจต้านทานได้
“เป็นอย่างไรบ้าง?” อวี้เจินถามขณะกลืนน้ำลายของนาง
โม่จวินเจ๋อไม่ตอบ คำแรกที่กินเข้าไปนั้นเล็กเกินไปจนเหมือนว่ายังไม่ได้ลิ้มรสมากพอ เขาจึงกัดเข้าไปอีกคำใหญ่
จากนั้นกีบเท้าหมูย่างก็เข้าไปในท้องของเขา รสชาติมันอร่อย แต่มีเนื้อน้อยเกินไป เพียงข้อเดียวเท่านั้นที่เขายังไม่พึงพอใจ
เขาเอื้อมมือไปยังกีบเท้าหมูที่กำลังย่างอยู่อีกชิ้น เมื่ออวี้เจินเห็นสิ่งนี้จึงหยิบขึ้นมาบ้างสองชิ้น
หลังจากที่หลิงเยว่ป้อนอาหารติงหลิวหลิ่วแล้ว นางก็หันกลับมาก่อนเห็นชายและหญิงคู่หนึ่งนั่งอยู่ข้างเตาย่าง ทั้งคู่กำลังเคี้ยวกีบเท้าหมูย่างอย่างมีความสุข
“ไหนบอกว่ารับไม่ได้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ แล้วเหตุใดพวกท่านถึงกินมันเล่า?”
“ข้าไม่เคยพูดอะไรเช่นนั้น” โม่จวินเจ๋อดูไร้เดียงสา
“ข้าก็ไม่เคยพูดอะไรเช่นนั้นเหมือนกัน” อวี้เจินก็แสร้งทำเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลิงเยว่ยิ้มและพ่นลมหายใจ ก่อนจะเข้าร่วมวงกินกีบเท้าหมู
เมื่อได้กลิ่นหอมเช่นนี้ติงหลิ่วหลิ่วก็นอนไม่หลับ กลับจ้องมองตรงไปยังคนทั้งสามที่อยู่ไม่ไกล ซึ่งกำลังกินกีบเท้าหมูอย่างลืมตัว
หลิงเยว่เป็นคนแรกที่สังเกตสายตาของติงหลิวหลิ่วได้ นางจึงหยิบชิ้นกีบเท้าหมูมาป้อนให้ผู้บาดเจ็บด้วย
“เจ้า… ลืมไปหรือว่ายังมีข้าอีกคนที่บาดเจ็บสาหัสอยู่ตรงนี้ด้วย!”
ว่านอวี้เฟิงที่กำลังลากร่างที่บาดเจ็บสาหัสมาหน้ากรอบประตู เขาไม่เคยรู้สึกเสียใจเช่นนี้มาก่อน มีร้านอาหารสุดอร่อยอยู่ข้าง ๆ แต่เขากลับต้องนอนอย่างโดดเดี่ยวบนเตียงเย็น ๆ ทรมานด้วยกลิ่นหอมจนไม่สามารถข่มตานอนได้
“ศิษย์พี่รอง เหตุใดถึงมาที่นี่เล่าเจ้าคะ?”
หลิงเยว่หยุดป้อนอาหารติงหลิวหลิ่วและวิ่งไปช่วยพยุงว่านอวี้เฟิงเข้ามา
“ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำ ข้าก็เลยยังไม่ได้ออกไปส่งอาหารให้ท่านน่ะ”
ขณะที่พูดหลิงเยว่ก็รู้สึกผิด นางลืมไปจริง ๆ ว่าว่านอวี้เฟิงก็นอนเจ็บอยู่ห้องข้าง ๆ
โม่จวินเจ๋อกำลังจะลุกไปช่วยแบ่งเบาภาระป้อนอาหารให้คนเจ็บ แต่แล้วเขาก็จำได้ว่าว่านอวี้เฟิงบอกว่ากินไม่ลงถ้าเป็นเขาที่ป้อนให้ โม่จวินเจ๋อจึงเลิกล้มความคิดทันที
เขาไม่ใช่คนรับใช้ที่ต้องเอาใจใคร
ในท้ายที่สุดก็เป็นหลิงเยว่ที่ดูแลว่านอวี้เฟิง ส่วนติงหลิวหลิ่วก็เป็นอวี้เจินที่คอยดูแลป้อนอาหารให้
ไม่รู้ว่าศิษย์พี่สี่เป็นอย่างไรบ้าง ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้ออกมาจากหอกลั่นโอสถนานแล้ว… หลิงเยว่คิดขณะป้อนอาหารว่านอวี้เฟิงอย่างเหม่อลอย
ในตอนแรกว่านอวี้เฟิงไม่พอใจกับการที่เขาถูกศิษย์น้องห้าละเลย แต่ทันทีที่เขากินน้ำแกงลูกชิ้นไป ความทุกข์และความไม่พอใจทั้งหมดก็พลันมลายหาย เหลือเพียงความสุขกับลูกชิ้นแสนอร่อยในปาก
ทันใดนั้นกลิ่นหอมหวานอมเปรี้ยวก็โดดเด่นแทรกเข้ามาท่ามกลางกลิ่นต่าง ๆ กีบเท้าหมูเปรี้ยวหวานพร้อมแล้ว!
หลิงเยว่หยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่ง กีบเท้าหมูเป็นสีแดงสดใส ชิ้นเนื้อสั่นเด้งราวกับว่าเนื้อและกระดูกสามารถแยกออกจากกันได้ด้วยการเขย่า ดูน่าอร่อยนัก
เดิมทีหลิงเยว่อยากจะลองชิมชิ้นแรกด้วยตัวเอง แต่ภายใต้ดวงตาที่ลุกเป็นไฟหลายคู่ นางจึงหันตะเกียบไปหาติงหลิวหลิ่วแทน
เมื่อนางยื่นไปตะเกียบก็เบาหวิวทันใด ติงหลิวหลิ่วคว้าไปกินอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าจะถูกขโมย มันเป็นความเร็วถึงขนาดที่ว่าหลิงเยว่มองไม่ทันเสียด้วยซ้ำ
กีบเท้าหมูเคลือบด้วยเครื่องปรุงรสเปรี้ยวหวาน เพียงเอาลิ้นดุน เนื้อก็หลุดออกจากกระดูก ทั้งเนื้อหนังและไขมันละลายในปากจนอยากจะอุทาน
นางพลาดของอร่อยไปกี่อย่างแล้วในยี่สิบห้าปีที่ผ่านมา!
ทันใดนั้นติงหลิวหลิ่วก็รู้สึกว่าชีวิตที่ผ่านมานั้นช่างเสียเวลาเปล่า หากศิษย์น้องห้าปรากฏตัวให้เร็วกว่านี้คงจะดีไม่น้อย!
“อร่อยมากหรือ?”
อวี้เจินน้ำลายไหลด้วยความอิจฉา นางเพิ่งกินกีบเท้าหมูย่างเสร็จ
“พวกท่านกินกันไปก่อนเลย ส่วนข้าจะไปหาศิษย์พี่ใหญ่นะเจ้าคะ”
หลิงเยว่ไม่ลืมที่จะจัดอาหารก่อนออกไปจากห้อง โดยคิดไว้แล้วว่า หากศิษย์พี่ใหญ่ยังยุ่งอยู่นางก็จะป้อนเอง!
“ศิษย์พี่ใหญ่เจ้าคะ…”
หลิงเยว่ซึ่งถือกล่องอาหารผลักประตูเปิดแล้วค่อย ๆ ย่องเข้าไปก่อนจะเรียกเบา ๆ
ท่าทางของทั้งสองคนในห้องเป็นเหมือนก่อนที่นางจะจากไปเช่นไร ตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น
หลงหว่านโหรวเงยหน้าขึ้น “เกือบเสร็จแล้ว”
“ข้าทำอาหารอร่อย ๆ มาเยอะเลยเจ้าค่ะ”
หลิงเยว่ขยับโต๊ะแล้ววางอาหารบนนั้น โดยมีมัมมี่ผู่ตานที่ยังคงนอนกึ่งตายอยู่ เปลือกตาค่อย ๆ ขยับก่อนจะลืมตาขึ้น
“นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ยังมีอีกมากเลยเจ้าค่ะ” หลิงเยว่ป้อนน้ำแกงลูกชิ้นให้ผู่ตานอย่างแข็งขัน
เขาอ้าปากอย่างยากลำบากก่อนซดลงไป น้ำแกงอุ่น ๆ ไหลผ่านลำคอก่อนลงไปในท้อง ทำให้ร่างกายที่เจ็บปวดทุเลาขึ้น และทำให้เขารู้สึกเหมือนกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง
หลิงเยว่เปลี่ยนชามน้ำแกงแล้วป้อนให้หลงหว่านโหรว “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านก็ควรกินเช่นกันนะเจ้าคะ”
เมื่อเผชิญหน้ากับศิษย์น้องห้าที่เอาใจใส่และประพฤติตัวดีเช่นนี้ หลงหว่านโหรวก็ไม่อาจปฏิเสธได้ และ… นางก็ไม่อยากจะปฏิเสธด้วย จึงเปิดปากกินทันที
“อร่อย…”
หลังจากป้อนอาหารไปหลายคำติดต่อกันหลิงเยว่ก็หยุด
“ถ้า… ข้า… จำไม่ผิด ข้าเป็นคนเจ็บใช่หรือไม่?” ผู่ตานสีหน้าดำอย่างกับถ่านเมื่อเขาได้กินไปเพียงแค่คำเดียวเท่านั้น
“ศิษย์พี่ใหญ่เหนื่อยมากกับการช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของท่านนะเจ้าคะ จะเป็นอะไรไปหากท่านได้กินช้าหน่อยเท่านั้นเอง?” หลิงเยว่พึมพำเสียงเบา ไม่กล้าพูดเสียงดังเกินไป ด้วยกลัวจะทำให้ศิษย์พี่ของนางโมโห
“ฮึ่ม!… ข้า”
ขณะที่ผู่ตานกำลังจะพูด ชิ้นอาหารที่ไม่รู้จักก็อุดปากของเขาไว้
อืม… มันอร่อยจริง ๆ ก็ได้ ข้าจะไม่ถือสาเจ้าในตอนนี้แล้วกัน
“ขออีกชิ้นผสมกับน้ำแกง”
เฮ้อ… ชายคนนี้กินเก่งเหลือเกิน!
หลังจากป้อนอาหารเสร็จแล้ว หลิงเยว่ค่อยบอกเขาว่าที่ตักให้กินไปนั้นมันคืออะไร เด็กสาวรอคอยที่จะได้เห็นสีหน้าของผู่ตาน