ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 70 ไร้สาระ! นางไม่ได้กลัวสักหน่อย!
บทที่ 70 ไร้สาระ! นางไม่ได้กลัวสักหน่อย!
บทที่ 70 ไร้สาระ! นางไม่ได้กลัวสักหน่อย!
ว่านอวี้เฟิงยืนอยู่หน้าโต๊ะจับสลากพลางร้องไห้ ก่อนที่จะมา เขาได้ทุ่มเททำพิธีชำระล้างความโชคร้ายให้กับตัวเองนับร้อยแบบ โดยหวังว่ามันจะมีประโยชน์บ้าง
ติงหลิวหลิ่วที่ยืนอยู่ในกลุ่มผู้จับฉลากพลันปิดปากขณะกลั้นเสียงหัวเราะ เมื่อเห็นว่าพิธีชำระล้างหมื่นโชคร้ายของศิษย์พี่รองที่น่าสงสารของนางนั้นไร้ประโยชน์เพียงใด!
ไม่รู้ว่าจะจับฉลากได้ใคร?
ติงหลิวหลิ่วเหลือบมองโม่จวินเจ๋อที่ยืนอยู่ในตำแหน่งจับฉลากเช่นกัน โชคดีที่ศิษย์พี่รองจะไม่เจอกับชายคนนี้แน่นอน ไม่เช่นนั้น… อืม นับได้ว่าพิธีชำระล้างโชคร้ายยังมีประโยชน์อยู่มาก…
ไม่รู้เลยว่าศิษย์น้องหลิงคิดถึงคำแนะนำของนาง และอยู่ให้ห่างจากชายตัวซวยคนนั้นหรือไม่…
คำตอบคือไม่!
หลิงเยว่ยืนอยู่กับผู่ตานเพื่อรอจับฉลาก ขณะเดียวกันเด็กสาวก็สวดภาวนาในใจว่าขออย่าให้ได้เจอกับผู้ฝึกกระบี่ นางไม่อยากมีชะตากรรมเหมือนศิษย์พี่สามและศิษย์พี่สี่
“เริ่มการจับฉลากได้!”
ประโยคนี้กระแทกใจของหลิงเยว่ราวกับค้อนทุบ
หลิงเยว่ที่พนมมือสวดอ้อนวอนไม่รู้ว่าเป็นบทสวดข้อใดดึงดูดการเยาะเย้ยของผู่ตาน ไม่ว่าพวกเขาทั้งสองจะจับฉลากได้ใครจุดจบก็น่าอนาถเช่นเดิม
“หมายเลขสิบเอ็ด ปะทะ หมายเลขเก้าสิบแปด!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของผู่ตานแข็งค้าง หมายเลขสิบเอ็ด คือปรมาจารย์ยันต์ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสิบ!
“หมายเลขสิบห้า ปะทะ หมายเลขเก้าสิบเก้า!”
มือที่กำลังพนมอธิษฐานของหลิงเยว่แข็งค้างเช่นกัน สีหน้าของนางก็ดูสงสัยกับชีวิต หากจำไม่ผิด หมายเลขสิบห้าคือนักหลอมศาสตราขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสิบ!
ศิษย์พี่และศิษย์น้องมองหน้ากันอย่างเงียบ ๆ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ
“ศิษย์พี่สี่ ความซวยของท่านส่งผลถึงข้าจริง ๆ เจ้าค่ะ!”
“ข้าต่างหากที่ต้องพูดว่าเจ้าเป็นตัวซวยที่ทำให้ข้าโชคร้ายไปด้วย!” ผู่ตานกัดฟันกรอด ผู้บำเพ็ญพิเศษนั้นหายากและยากที่จะรับมือ ยกเว้นนักกลั่นโอสถที่ ‘บอบบางและอ่อนแอ’
ผู้บำเพ็ญทั้งสอง หลิงเยว่และผู่ตานซึ่งอยู่อันดับล่างสุดได้ทำให้ทุกคนมีรอยยิ้มอันสดใสเมื่อพวกเขาเดินลงไปจากโต๊ะจับฉลาก
“ดูเหมือนว่าคู่ศิษย์พี่น้องจากยอดเขาโอสถจะไม่สามารถรอดได้ในครั้งนี้แน่ ๆ”
“เฮอะ! ความสามารถในการเข้าสู่รอบยี่สิบห้าอันดับแรกนั้นถือว่าเป็นความภาคภูมิใจสำหรับยอดเขาโอสถแล้ว ท้ายที่สุดไม่มีใครในยอดเขาโอสถสามารถเข้าสู่หนึ่งร้อยอันดับแรกได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา”
“ใช่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงผู่ตานคนบ้าผู้นี้ มันเป็นเรื่องปกติที่เขาจะโดดเด่นในการแข่งขันของผู้อยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณหลังจากที่ระดับของเขาถดถอย แต่ศิษย์น้องของเขา…”
การสนทนารอบตัวทำให้หลิงเยว่ยิ่งเศร้าหมอง นอกจากนี้จะรู้สึกว่านางจะไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ในครั้งนี้ โดยเฉพาะหลังจากรู้รายละเอียดของนักหลอมศาสตราที่ตนต้องเจอ
นักหลอมศาสตราที่ต้องเจอนั้น เป็นทั้งผู้เชี่ยวชาญในการใช้อาวุธวิญญาณและยังเป็นผู้ฝึกกายาด้วย! นางเคยเห็นบุคคลนี้ใน ‘โรงหนัง’ อาวุธวิญญาณของเขานั้นธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อรวมกับทักษะการต่อสู้และความแข็งแกร่งของร่างกายแล้ว มันช่างแข็งแกร่งนัก ทั้งยังยากที่จะรับมือ!
เอาชนะได้ยากแล้ว! คราวนี้ยากจริง ๆ!
ไม่น่าแปลกใจแล้วที่ระบบไม่มีการลงโทษถ้าหากทำภารกิจไม่สำเร็จ และรางวัลที่จะได้ก็มหาศาล…
ผู้โชคร้ายทั้งสองกลับไปที่ยอดเขาโอสถด้วยสภาพโศกเศร้าพอ ๆ กัน
“ศิษย์น้องห้า ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่รอดจากดวงที่โชคร้ายของชายผู้มีดวงซวยเสมอ”
น้ำเสียงของติงหลิวหลิ่วสงบราวกับว่าตนเองเคยเห็นฉากนี้มาตลอดชีวิต
อันที่จริงนางก็ไม่ได้รอดตัวเช่นกัน ตอนนี้เมื่อคิดทบทวน อาจเป็นเพราะนางเข้าใกล้ว่านอวี้เฟิงที่กำลังทุกข์ทรมานจากโชคร้าย ดังนั้น… นางจึงจับฉลากได้สู้กับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสร้างรากฐานช่วงกลางอีกครั้ง
แม้ว่าระดับการบำเพ็ญของทั้งสองจะเท่ากัน ทว่านางเป็นนักกลั่นโอสถที่อ่อนแอในด้านการต่อสู้กว่า! ยิ่งไปกว่านั้นผู้ฝึกกระบี่คือศัตรูตัวฉกาจตลอดชีวิตของนางอีก!
ผู่ตานพ่นลมหายใจและจงใจนั่งลงข้าง ๆ ติงหลิวหลิ่ว ด้วยหากเขาเป็นตัวซวยจริง ๆ และย้ายโชคร้ายไปแล้ว เหตุใดเขาถึงยังได้เจอกับปรมาจารย์ยันต์อีก?
ตัวซวยที่แท้จริงน่าจะเป็นศิษย์น้องห้ามากกว่า!
ติงหลิวหลิ่วไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ นางยอมรับชะตากรรมของตัวเอง ตราบใดที่พวกเขาเป็นศิษย์อาจารย์คนเดียวกัน โชคร้ายก็จะติดตามพวกเขาเสมอ เว้นแต่… อาจารย์จะไล่ศิษย์อับโชคตัวจริงออกไป!
ใช่ เหตุใดนางไม่คิดถึงเรื่องนี้ได้ก่อนหน้านี้เล่า?
ต้องไปหาอาจารย์หลังจากนี้!
“ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องเตรียมแผ่นค่ายกลและยันต์เพิ่ม!”
ว่านอวี้เฟิงรู้สึกเศร้าโศก คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ในช่วงปลายของขอบเขตสร้างรากฐาน และอยู่ห่างจากขอบเขตจินตานเพียงครึ่งก้าว เขาซึ่งเพิ่งก้าวเข้าสู่ช่วงปลายของขอบเขตสร้างรากฐานไม่สามารถเทียบกับอีกฝ่ายได้เลย!
ในท้ายที่สุดจะเหลือเพียงหลิงเยว่และผู่ตานซึ่งเป็นศิษย์จากยอดเขาโอสถ
หลิงเยว่ใช้เวลาทั้งเช้าศึกษาอาวุธวิญญาณที่มี ด้วยไม่เคยใช้อาวุธวิญญาณในการแข่งขันรอบก่อน ๆ แต่ถ้านางต้องการชนะการต่อสู้ครั้งนี้ คงจะไม่สามารถทำได้โดยไม่ใช้อาวุธวิญญาณ
เวลาผ่านไปอย่างเงียบ ๆ และการแข่งขันกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
สี่คนจากยอดเขาโอสถออกเดินทางไปยังลานประลอง
สนามประลองประลองจากหนึ่งร้อยแห่ง ลดลงเหลือห้าสิบแห่ง หนำซ้ำจำนวนผู้ชมยังมากกว่าเมื่อวาน และที่นั่งของเหล่าคนระดับสูงของสำนักก็เกือบเต็มแล้ว
แตกต่างจากเมื่อวานที่ผู้ชมกระจัดกระจาย วันนี้ทุกสนามประลองเต็มไปด้วยผู้คน ทันใดนั้นหลิงเยว่ก็รู้สึกได้ทันที คงจะเป็นจุดสนใจที่นางไม่เต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้ จึงทำให้เหล่าผู้ชมติดตามนางมาใช่หรือไม่?
ทันทีที่ความคิดนี้เกิดขึ้น นางก็เหมือนถูกตบหน้าในชั่วพริบตาต่อมา
“ศิษย์พี่หญิงฟู่ ท่านแข็งแกร่งที่สุดเจ้าค่ะ!”
“นั่นเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว ศิษย์พี่หญิงฟู่จะสามารถฆ่านักกลั่นโอสถที่อ่อนแอได้ด้วยกระบวนท่าเดียว!”
“กระบวนท่าเดียวอะไร? เพียงครึ่งกระบวนท่าก็มากเกินพอแล้ว!”
“ต้องออกกระบวนท่าอะไรอีก ดูนักกลั่นโอสถสาวน้อยนั่นก่อนสิ นางกลัวจนแทบตายไปเองแล้ว ฮ่า ๆ!”
…
หลิงเยว่ “…”
ไร้สาระ! นางไม่กลัวสักหน่อย!
นางแค่รู้สึกหน้าชา ในสายตาของนางมีแต่ฟู่หลินที่อยู่ในชุดสีชมพู
พอมาเห็นจริง ๆ ฟู่หลินในชุดสีชมพูดูดีกว่าใน ‘จอหนัง’ มาก!
“ศิษย์น้องหลิง หากเจ้ายอมรับความพ่ายแพ้ในตอนนี้ เจ้าจะสามารถหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นได้” เสียงที่มีเสน่ห์ทำให้ผู้ชมหลงใหลเอ่ยขึ้น
“อ่า… เสียงของศิษย์พี่หญิงฟู่ของข้าไพเราะมาก!”
“เฮ้! สาวน้อยนักกลั่นโอสถยอมรับความพ่ายแพ้เสียเถิดเพื่อประโยชน์ของเจ้าเอง ศิษย์พี่หญิงฟู่ของเรากำลังพูดเพื่อประโยชน์ของเจ้าอยู่นะ”
“ถูกต้อง รู้ตัวหน่อยว่าเจ้าอยู่ในระดับใด รีบยอมรับความพ่ายแพ้เสีย!”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้หลิงเยว่ก็หันหน้าไปทางผู้ชมที่โห่ร้อง “ข้าจะไม่ลงไป ข้าจะทำให้พวกเจ้าผิดหวัง! สักนิดหน่อย…”
ไม่เพียงนางจะไม่ยอมแพ้เท่านั้น แต่ยังจะหาวิธีทำให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้อีกด้วย!
นางจะไม่มีวันยอมรับความพ่ายแพ้เด็ดขาด!
ทันทีที่หลิงเยว่พูดจบ รอบสนามประลองก็เงียบลงไปครู่หนึ่ง
ฟู่หลินยิ้มบาง ๆ “ในเมื่อศิษย์น้องหลิงพูดเช่นนี้แล้ว ศิษย์พี่อย่างข้าคงจะไม่สามารถแสดงความเมตตาได้หลังจากนี้…”
“ศิษย์พี่หญิง โปรดอย่าเมตตา ไม่เช่นนั้นหากศิษย์น้องชนะได้โดยบังเอิญ ผู้สนับสนุนของท่านคงจะอ้างว่าข้าไม่ได้ชนะด้วยความสามารถของตัวเองอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ…”
หลิงเยว่ก็ยิ้มค่อนข้างหวาน ทว่าดวงตากลับแสดงความดูถูก ราวกับว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพียงกุ้งตัวเล็ก ๆ ที่ไม่สำคัญอะไร
ท่าทางยั่วยุนี้เกือบจะทำให้ฟู่หลินไม่สามารถรักษารอยยิ้มบนใบหน้าได้ แต่ในที่สุดนางก็สามารถยิ้มต่อไปได้
พูดจาใหญ่โตเหลือเกิน! แล้วอย่ามาอ้อนวอนขอความเมตตาจากข้าทีหลังก็แล้วกัน! อ้อ… ไม่สิ ข้าจะไม่ให้เจ้ามีโอกาสพูดขอความเมตตาด้วยซ้ำ!
“ศิษย์พี่ฟู่ ข้าสนับสนุนท่าน ทำให้นางพิการเสีย!”
“ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริง ๆ!”
“ฮึ่ม! ยิ้มหวานตอนนี้ไปเถิด แล้วเจ้าจะร้องไห้ที่หลัง!”
ผู้รับชมทั้งหมดพูดสนับสนุนฟู่หลิน
หลังจากได้ยินสิ่งนี้หลิงเยว่ก็แค่เคาะหูของนางอย่างเฉยเมย ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้นางมีชะตากรรมไม่ต่างจากพิการมาก่อนหรอกหรือ?
จะต้องกลัวอะไรอีก?
เอ่อ… แต่ข้าก็ยังกลัวอยู่นะ
มันเจ็บจริง ๆ!
หลังจากการพูดคุยก่อนจะเริ่ม หลิงเยว่ก็คำนวณเวลาและเปิดร่มสีสันสดใสอย่างรวดเร็วทันทีที่มีเสียงประกาศว่า “เริ่มการต่อสู้!”
ทันใดนั้นร่างมังกรสีทองก็พุ่งเข้ามาหานาง!
“ตูม!”
มังกรทองปะทะกับร่มหลากสีทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง หลิงเยว่ที่ถือด้ามร่มถูกกระแทกถอยห่างออกไปไกล
ฟู่หลินถือหอกสีทองอยู่ในมือ ขณะเยาะเย้ยเด็กสาวตรงหน้า
ด้วยการสะกิดเท้าออกอย่างแผ่วเบา ฟู่หลินก็พุ่งตามหลิงเยว่ไปอย่างรวดเร็ว…