ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 75 นักกลั่นโอสถผู้อยากกินมากจนเขาร้องไห้
บทที่ 75 นักกลั่นโอสถผู้อยากกินมากจนเขาร้องไห้
บทที่ 75 นักกลั่นโอสถผู้อยากกินมากจนเขาร้องไห้
ท้องฟ้าในภูเขาด้านหลังของสำนักหลานเทียนที่จู่ ๆ ก็กลายเป็นสีแดงเลือดทำให้เหล่าศิษย์ตื่นตระหนก
“ผู้บำเพ็ญมารต้องติดต่อกับโลกภายนอก และกำลังจะโจมตีสำนักหลานเทียนแน่นอน!”
“เจ้ากลัวอะไร? เราจะอยู่และตายไปพร้อมกับสำนัก!”
“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่า นักกลั่นโอสถน้อยนั่นจะต้องเป็นคนทรยศที่พวกผู้บำเพ็ญมารส่งมาแน่นอน นางวางแผนร่วมมือกับทั้งภายในและภายนอก ตอนนี้เมื่อนางถูกจับได้ ก็เลยคิดจะทุ่มหมดหน้าตักแล้วทำให้พวกเราตายไปพร้อมกับนาง!”
เหล่าศิษย์ของสำนักรีบวิ่งไปที่ภูเขาด้านหลังทีละคน และเมื่อเห็นว่ามีคนเข้าไปในภูเขาด้านหลังมากพอแล้ว บางคนจึงขออาสาเฝ้าทางเข้าออกให้
ผู้คนหลายร้อยคนที่ถูกคุมขังจับขังในกรงวารีมองดูเมฆสีเลือดบนท้องฟ้า
“เกิดอะไรขึ้น? ผู้บำเพ็ญมารเข้ามาหรือ…”
ก่อนที่อวี้เจินจะพูดจบ นางก็ถูกตีหัวเสียก่อน
“ใครตีข้า อยากตายรึ!”
“ข้า” หลงหว่านโหรวพูดอย่างสงบ ทว่าดวงตาของนางแสดงท่าทางห้ามปราม
“ฮา…” อวี้เจินลูบหัวแล้วยิ้ม “ศิษย์พี่หญิงหลง ข้าเพียงล้อเล่นเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“เมฆโลหิตนี้ดูชั่วร้ายมาก ศิษย์พี่หญิงเราหนีออกจากที่นี่กันเถิดเจ้าค่ะ!” ติงหลิวหลิ่วพับแขนเสื้อขึ้นและเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้
ภูเขาจองจำของสำนัก ถูกสร้างขึ้นโดยบรรพชนผู้อยู่ในขอบเขตฝ่าทัณฑ์สวรรค์ขั้นสุดท้าย แต่ในหมู่พวกเขาคนที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ในขอบเขตจินตานเท่านั้น การจะหนีออกไปจากที่นี่ไม่ต่างอะไรจากฝันกลางวัน
“โง่เง่า” โม่จวินเจ๋อบ่นอย่างเย็นชา
“ผู้ฝึกกระบี่บัดซบ! เมื่อข้าหนีออกจากคุกไปได้ ข้าจะไม่พาเจ้าไปด้วยเด็ดขาด!”
“สองวันที่ผ่านมาศิษย์น้องหลิงทำอะไรอยู่ เหตุใดนางไม่มาส่งอาหารเลย?” ความหวังเพียงอย่างเดียวในคุกที่ค้ำจุนอวี้เจินคืออาหารฝีมือหลิงเยว่เท่านั้น แต่ตลอดสองวันเต็มร่างเล็ก ๆ ในชุดสีเขียวนั้นไม่ปรากฏให้เห็นแม้แต่เงา
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าศิษย์น้องคือ…” ว่านอวี้เฟิงเอามือกอดอก น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล
“เป็นไปไม่ได้!” โม่จวินเจ๋อแน่ใจว่าท่านพ่อของเขาจะต้องไม่โกหกอย่างแน่นอน
“เจ้ารู้อะไรมา” ลู่เป่ยเหยียนถามอย่างสงสัย
โม่จวินเจ๋อโบกมือให้เขามองไปที่กรงขังถัดไปซึ่งมีนักกลั่นโอสถคนอื่น ๆ กำลังเงี่ยหูฟังอยู่
“ให้ข้าพูดสั้น ๆ หลิงเยว่ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญมารแน่นอน และจะไม่ถูกไล่ออกจากสำนัก ไม่ต้องพูดถึงว่านางจะไม่ถูกจัดการอย่างลับ ๆ อีก”
คำพูดของโม่จวินเจ๋อทำให้ฝ่ายเดียวกันสงบลง ทว่าผู้คนในกรงขังข้าง ๆ กลับรู้สึกผิดหวัง
ทันใดนั้นท้องฟ้าสีแดงเลือดก็หายไป เช่นเดียวกับที่มันปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ซึ่งทำให้ผู้คนงุนงงยิ่งกว่าเดิม
เหล่าศิษย์ที่มีความคิดจะต่อสู้กับผู้บำเพ็ญมารจนตัวตาย ท้ายที่สุดก็แยกย้ายกันไปโดยการจัดการของเหล่าผู้อาวุโส
แน่นอนพวกเขาไม่ได้รับการอธิบายอะไรทั้งสิ้น
ไม่นานหลังจากที่เมฆโลหิตหายไป ร่างเล็กในชุดเขียวที่ผู้คนกำลังคิดถึงก็เดินลัดเลาะมาพร้อมกับถือกล่องอาหารที่สูงเท่ากับตัวของเด็กสาว
หลังจากที่หลิงเยว่รู้ว่านางติดอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามมาสองวันเต็ม สิ่งแรกที่คิดออกคือการนำอาหารมาให้ศิษย์พี่หญิงและคนอื่น ๆ ที่น่าจะกำลังเป็นกังวล หลิงเยว่จึงรีบขอให้ชิงยวนส่งนางกลับไปที่ยอดเขาโอสถ เพื่อปรุงบะหมี่หม้อใหญ่อย่างรวดเร็ว
บริเวณภูเขาจองจำค่อนข้างคล้ายกับพื้นที่ต้องห้ามที่เป็นแดนไร้วิญญาณ เนื่องจากปราณนั้นไม่สามารถนำออกมาใช้ข้างในได้ ทว่าพื้นที่ต้องห้ามนั้นอันตรายมากกว่า
“ข้า… ข้าลองทำสูตรอาหารใหม่ ๆ มาตลอดสองวัน โดยไม่ได้หลับนอน จึงลืมเรื่องการส่งอาหารไปอย่างไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ…”
หลิงเยว่โกหกหน้าตาย พลันเปิดกล่องอาหารแล้วหยิบบะหมี่ชามใหญ่ออกมา บนบะหมี่น้ำมีหมูย่าง หมูสามชั้นกรอบ เนื้อตุ๋น และน่องไก่ตุ๋น วางโปะหน้าแน่นเต็มชาม จนแทบมองไม่เห็นเส้นและน้ำแกงที่อยู่ด้านล่างเลย
นางเอาบะหมี่น้ำร้อน ๆ ชามใหญ่เจ็ดชามออกมาวาง กลิ่นหอมก็โชยออกมาอย่างรุนแรง จนทำให้เหล่านักกลั่นโอสถที่อยู่กรงขังถัดไปต้องน้ำลายไหลด้วยความกระหาย
“ไม่ใช่ว่าเจ้าบอกว่ากำลังคิดค้นสูตรอาหารใหม่ ๆ หรือ แต่บะหมี่เหล่านี้เจ้าเคยทำมาก่อนแล้วนี่?”
โม่จวินเจ๋อมองดูหลิงเยว่อย่างเพ่งพินิจมาก แต่เขาพบว่านอกจากหน้าตาของนางที่ซีดเซียวแล้วก็ดูไม่มีอะไรผิดปกติ แต่เขาก็ยังสัมผัสได้อยู่ดีว่ามีบางอย่างผิดปกติออกไป
“ท่านไม่อยากกินหรือเจ้าคะ?”
หลิงเยว่เอื้อมมือทำท่าจะเอาบะหมี่ออกไป
“ข้าเพียงถามเฉย ๆ เท่านั้น” โม่จวินเจ๋อรั้งขอบชามของเขาไว้
ทั้งสองคนไม่สามารถใช้ปราณได้ในที่แห่งนี้ และหลิงเยว่ก็พ่ายแพ้ในที่สุด ไม่สิ นางไม่ได้อยากจะดึงชามออกไปจริง ๆ เพียงแต่ทำให้อีกฝ่ายไม่ถามอะไรเพิ่มอีกเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อนางถูกกำชับโดยเหล่าตัวตนระดับสูงของสำนักไม่ให้พูดเรื่องที่เกิดขึ้นในภูเขาด้านหลังเด็ดขาด เด็กสาวช่างเป็นคนที่น่าสงสาร มีความทุกข์และเหนื่อยมากแต่ไม่สามารถระบายกับผู้ใดได้เลยจริง ๆ
“เราควรปล่อยให้เขาดูพวกเรากินเสีย!”
ติงหลิวหลิ่วพึมพำเสียงเบา หากไม่มีบะหมี่ชามใหญ่นี้ตรงหน้านาง นางคงจะพูดต่อแน่นอน แต่ตอนนี้อาหารมาถึงแล้ว ผู้ฝึกกระบี่ไม่มีค่าให้ต้องพูดถึงเลย!
“ฟู่… ซูด!”
อวี้เจินเป่าบะหมี่ร้อน ๆ แล้วสวาปามเสียงดังด้วยสีหน้าพึงพอใจสุดขีด
“ง่ำ ง่ำ!”
ผู่ตานตักน้ำแกงและชิ้นเนื้อเข้าปากหนึ่งช้อนเต็ม และเสียงเคี้ยวก็ทำให้อาหารน่าอร่อยมากขึ้น
เสียงบะหมี่ น้ำแกง และการเคี้ยวอาหารดังก้องไปทั่วภูเขาจองจำอันเงียบสงบ
พวกเขาทั้งเจ็ดคนรู้ว่าหลิงเยว่ต้องซ่อนความลับอะไรบางอย่างไว้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากบอก พวกเขาก็จะไม่ไถ่ถามต่อ นอกจากนี้ที่นี่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมจะถาม
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครซักถามอะไรอีกต่อไป หลิงเยว่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และหยิบส่วนของตัวเองออกมากิน วันนี้นางรีบมาส่งอาหารทันทีที่ทำเสร็จ ดังนั้นนางเองก็หิวมากเช่นกัน
ตอนนี้จึงกลายเป็นภาพที่หลิงเยว่กำลังกินบะหมี่อยู่หน้ากรงขังโดยมีเหล่าสหายอยู่ข้างใน ในขณะที่ผู้คนในกรงขังวารีข้าง ๆ เฝ้าดูอย่างหิวโหย
“ศิษย์น้องหลิงเจ้ายังมีอีกหรือไม่? เจ้าช่วยขายสักชุดให้กับศิษย์พี่คนนี้หน่อยสิ!”
คนที่ตะโกนคือหนึ่งในคนที่กล่าวหาหลิงเยว่ มาตอนนี้เขากลับตะเบ็งเสียงจนคอขึ้นกล้าม พร้อมความปรารถนาในดวงตาของเขาที่ร้อนแรงมากเช่นกัน
“เจ้ากล้ากินอาหารที่ผู้บำเพ็ญมารทำหรือ เดี๋ยวเจ้าก็ตายหรอก!”
นักกลั่นโอสถที่อยู่ข้าง ๆ ชายคนนั้นดึงแขนเสื้อขณะกระซิบเตือน แม้ว่าเขาจะกลืนน้ำลายนับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาก็ไม่กล้าพูดขอ
“ข้าไม่เอาแล้ว!”
นักกลั่นโอสถที่ต้องการซื้ออาหารมองไปยังหลิงเยว่ที่กำลังเดินมาหาเขาด้วยสีหน้าสิ้นหวัง
“มันไม่น่ากินหรือเจ้าคะ?” ชามในมือของหลิงเยว่โบกสะบัดไปทั่วฝูงชน และกลิ่นหอมก็โชยลอยเหนือหัวของเหล่านักกลั่นโอสถ
“อยากกินหรือไม่เจ้าคะ?”
นักกลั่นโอสถพยักหน้า ในที่มืดมิดที่มีลมหนาวจัดเช่นนี้ พวกเขาต้องการบะหมี่ร้อน ๆ สักชามอย่างยิ่ง เพื่อรักษาร่างกายที่หนาวเหน็บให้อบอุ่นเข้าไว้
“หนึ่งชามต่อหินวิญญาณระดับล่างห้าพันก้อน หากท่านต้องการ ข้าจะส่งมาให้ในไม่ช้า”
ทันทีที่หลิงเยว่พูดจบ ผู้ฟังทั้งหมดก็สูดหายใจลึก เด็กไร้ยางอายคนนี้กำลังขูดรีดหินวิญญาณระดับล่างห้าพันก้อนต่อบะหมี่หนึ่งชาม! นางต้องไร้ยางอายเพียงใดถึงได้กล้าตะโกนออกมาเสียงดังเช่นนี้
“เจ้ามันคนหน้าเงิน!”
“ข้าไม่ซื้อหรอก พรุ่งนี้ข้าก็ออกไปได้อยู่แล้ว!”
บางคนเปลี่ยนจากการยืนเป็นการนอนราบ ตราบใดที่พวกเขาไม่มีความปรารถนาใด ๆ พวกเขาก็ไม่ได้กลิ่นอะไรอีกต่อไป
ทันทีที่คำว่า ‘ห้าพันหินวิญญาณ’ ดังออกมา นักกลั่นโอสถที่อยากกินจนแทบอดใจไม่ไหวก็ได้แต่กัดฟันกรอด พวกเขาจะต้องขายโอสถให้ได้กี่ขวดจึงจะได้บะหมี่หนึ่งชาม?
“หากไม่ซื้อก็ช่างเถิด” หลิงเยว่นั่งลงบนพื้นและกินต่อหน้าพวกเขา
เหล่านักกลั่นโอสถ “…”
นางตั้งใจทำ ตั้งใจยั่วยุพวกเขาจริง ๆ!
วิธีการแก้แค้นนี้เป็นสิ่งเดียวที่หลิงเยว่คิดได้ในตอนนี้เท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่ามันได้ผลดีทีเดียว
หลิงเยว่ซดบะหมี่อยู่พักหนึ่งแล้วก็เดินย้ายไปที่อีกกรงขังหนึ่ง นั่งกินยั่วต่อหน้าผู้คนที่อยู่ในกรงขังอย่างเอร็ดอร่อยราวกับลืมว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวอย่างไรอย่างนั้น
“ทำตัวอย่างกับเด็ก!”
จัวหลิงเหยากัดฟันกรอด เด็กสาวผู้นี้! คอยดูเถิด ข้าจะจองเวรเจ้าไปในทุกที่!
แต่ตอนนี้นางออกไปไม่ได้ จึงไม่สามารถชำระบัญชีแค้นได้ หนำซ้ำยังไม่มีแรงจะพูดอีกด้วย สุดท้ายนางก็เลือกที่จะนอนลงและหลับตาไม่มองอะไรทั้งนั้น
แต่ทันทีที่หลับตา ประสาทรับกลิ่นและการได้ยินของนางก็ดีมากกว่าเดิม ตอนนี้นางแทบจะบ้าอยู่แล้ว!
“แบ่งให้ข้าด้วยสักหน่อยเถิด”
เสียงผู้หญิงอายุมากดังมาจากด้านหลัง และหลิงเยว่ก็หันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจ
คนคนนี้… หลิงเยว่เคยเห็นอีกฝ่ายที่ภูเขาด้านหลัง แต่ตอนนั้นนางกำลังอยู่ในอาการสับสน และด้วยหลังออกจากพื้นที่ต้องห้ามนั้น เด็กสาวต้องไม่อธิบายเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เผชิญมาสองวันเต็มเด็ดขาด จากนั้นนางก็รีบมาส่งอาหาร จึงยังคงไม่แน่ใจว่าในตอนนั้นมีตัวตนระดับสูงกี่คนที่เฝ้าดูอยู่ แต่ที่แน่ ๆ คือเกินสิบคนแน่นอน
“ท่านหัวหน้าฝ่ายคุมกฎ!”
“ท่านหัวหน้าฝ่ายคุมกฎ ท่านช่วยไล่หลิงเยว่คนนี้ออกไปเร็ว ๆ ได้หรือไม่ นางกำลังยั่วยุพวกเรา!”
นักกลั่นโอสถที่ถูกทรมานกล่าวหาหลิงเยว่ทีละข้ออย่างไม่หยุดหย่อน พวกเขาทั้งหมดถูกจับมาขังเพื่อชดใช้การกระทำของพวกเขาแล้ว เหตุใดพวกเขายังต้องทนต่อบาดแผลทางจิตใจจากเด็กสาวเช่นนี้อีก?