ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 77 สิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิตคนเราคือการรู้จักเจียมตน
บทที่ 77 สิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิตคนเราคือการรู้จักเจียมตน
บทที่ 77 สิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิตคนเราคือการรู้จักเจียมตน
นับตั้งแต่หลิงเยว่กลับมาพร้อมผู้ช่วยทั้งสามของนาง ‘ห้องครัว’ ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอม คละเคล้าไปด้วยเสียงอุทานของซือจูและคนอื่น ๆ
“สมุนไพรวิญญาณเอามาทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?”
“ชาที่ชงมีรสชาติดี ส่วนสมุนไพรวิญญาณที่นำมาทอดแล้วก็ยังคงรักษาฤทธิ์ของยา และมีความอร่อยจริง ๆ!”
“ศิษย์น้องหลิง ข้าเคยหลงคิดว่าข้ารู้เกี่ยวกับสมุนไพรวิญญาณดีมาโดยตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกโง่งมเช่นนี้!”
หลิงเยว่อดทนเป็นอย่างมากเมื่อต้องชี้แนะผู้ช่วยทั้งสาม นางสอนพวกเขาทีละขั้นตอน พลางให้คำแนะนำด้วยคำอธิบายอย่างละเอียด หนำซ้ำยังลองทำให้ดูเป็นตัวอย่างเมื่อมือของนางว่างอีกด้วย
บรรยากาศในห้องค่อนข้างอบอุ่นเสียจริง
หลิงเยว่กำลังเตรียมขายอาหารวิญญาณพิเศษเหล่านี้ การแข่งขันรอบสุดท้ายของสำนักกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว และคงจะมีผู้คนจำนวนมากอยู่ที่นั่นด้วย เท่าที่รู้ในช่วงเวลานี้จะไม่มีใครขายอาหาร แน่นอนว่าสาเหตุหลักเป็นเพราะผู้บำเพ็ญนิยมกินโอสถปี้กู่กันมากกว่า
หลิงเยว่จำได้ว่าในประเทศจีน ตราบใดที่สถานที่นั้นคับคั่งไปด้วยผู้คน แผงขายของจะสามารถพบเห็นได้ทุกที่อย่างแน่นอน โดยเฉพาะแผงขายอาหาร
ในฐานะคนที่มีหนี้ก้อนโต นางต้องขายให้มากขึ้นเท่านั้น แม้ไม่รู้ว่าตนเองจะขายได้หรือไม่ ท้ายที่สุดยังมีศิษย์อีกไม่น้อยที่ยังคงคิดว่าเด็กสาวเป็น ‘ผู้บำเพ็ญมาร’
ไม่เป็นไร เรามาลองกันสักตั้งเถิด!
ทั้งสี่คนง่วนอยู่กับการทำอาหารมากเสียจนไม่ทันสังเกตเห็นเหล่าคนที่ ‘ถูกปล่อยตัว’ ยืนอยู่หน้าประตู
เมื่อติงหลิวหลิ่วได้กลิ่นหอมอันแรงกล้าลอยมาจากเตากลั่นโอสถ ดวงตาของนางก็เบิกโพลงราวกับระฆังทองแดง “ศิษย์… ศิษย์น้องห้า…” นางชี้ไปที่เตากลั่นโอสถแล้วพูดอย่างอัศจรรย์ใจ “เตากลั่นโอสถสามารถทำน้ำแกงได้ด้วยหรือ?”
“ศิษย์พี่สาม ท่านออกมาแล้วหรือเจ้าคะ!”
หลิงเยว่มองย้อนกลับไป ทุกคนก็อยู่กับพร้อมหน้าพร้อมตา สามคนที่เป็นคนยอดเขาอื่นก็มาด้วยแม้แต่โม่จวินเจ๋อ
“ศิษย์พี่สามคงหิวแล้ว น้ำแกงพร้อมแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะทำเกี๊ยวน้ำให้ท่านลองชิม น้ำแกงที่ทำในเตากลั่นโอสถมันอร่อยมากเลยนะเจ้าคะ!”
หลิงเยว่ไม่ได้โกหกเรื่องนี้ น้ำแกงที่ทำในเตากลั่นโอสถรสชาติดีกว่าน้ำแกงที่ทำในหม้อราคาถูกที่ซื้อในระบบมาก บางทีหม้อราคาแพงในระบบแลกเปลี่ยนก็น่าจะดีเหมือนกัน แต่… นางไม่มีเงินพอจ่ายแล้วนี่สิ!
“จริงหรือ ให้ข้าลองชิมดูหน่อยเถิด” อวี้เจินเบียดติงหลิวหลิ่วออกไป แล้วหยิบเกี๊ยวที่ดูอร่อยเป็นพิเศษขึ้นมา… นี่คือสิ่งที่เรียกว่าเกี๊ยวใช่หรือไม่?
ผิวแป้งด้านนอกดูโปร่งใสจนมองเห็นไส้เนื้อบดนุ่มด้านในได้ชัดเจน น้ำแกงสีขาวออกสีทองเล็กน้อย มีสมุนไพรวิญญาณสับสีเขียวลอยอยู่ด้านบน อาหารชามนี้เต็มไปด้วยสี รส และกลิ่นที่กลมกล่อมนัก!
ขณะที่อวี้เจินกำลังจะลิ้มรสมัน เกี๊ยวในมือของนางก็ถูกเปลี่ยนมือ หลงหว่านโหรวหยิบช้อนอย่างใจเย็น ก่อนกินทั้งน้ำแกงและเกี๊ยวเข้าไปพร้อมกัน
น้ำแกงมีความสดชื่น ส่วนผิวแป้งด้านนอกบาง ๆ ของเกี๊ยวเคี้ยวได้อร่อยนัก และไส้เนื้อบดด้านในนั้นนุ่มและมีกลิ่นหอมอร่อย ทำให้ผู้คนรู้สึกเพลิดเพลินยิ่ง!
โม่จวินเจ๋อหยิบชามขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ มองตามตัวอย่างที่หลิงเยว่สาธิต ก่อนจะตักเกี๊ยวที่ปรุงสุกสำหรับตัวเอง แล้วเติมน้ำแกงตาม จากนั้นจึงโรยหน้าด้วยสมุนไพรวิญญาณสับ
คนอื่นเห็นดังนั้นก็จัดการทำเกี๊ยวน้ำด้วยตัวเอง
หลิงเยว่นำผลงานที่พยายามทั้งค่ำคืนมาขึ้นโต๊ะ ซี่โครงหมูกระเทียมโรยเกลือ พริกไทย ยี่หร่า เนื้อไก่บดทอดรสน้ำผึ้ง เนื้อไก่บดทอดห้าเครื่องเทศ เนื้อหมูบดทอด… มีมากถึงสิบหกประเภทของเนื้อสัตว์ อาหารจานผักก็ได้แก่ ผักที่หมักกับเกลือพริกไทยแบบเผ็ด รากบัวฝาน เห็ดและสมุนไพรวิญญาณต่าง ๆ
อาหารเหล่านี้สามารถขายได้ง่าย ๆ แบบใส่ถุงกระดาษ แน่นอนว่าชานมสมุนไพรวิญญาณหลากหลายรสชาติก็ขาดไม่ได้ ถ้ารู้สึกเหนื่อยก็จิบชานมแล้วชิมอาหาร…
“สวรรค์!”
ลู่เป่ยเหยียนประหลาดใจและหยิบเห็ดทอดขึ้นมาชิ้นหนึ่ง มันมีสีทองอมแดงสวยงามมาก เขาเอาทั้งชิ้นเข้าปาก มันกรอบและเค็ม เห็ดข้างในมีรสชาติสดชื่นและหอมสมุนไพร เวลาเคี้ยวมีเสียงกรอบ น้ำข้างในของมันมีรสหวานมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว และปราณของเขาก็เพิ่มพูนสูงขึ้น
โม่จวินเจ๋อก็ชิมชิ้นหนึ่งด้วยเช่นกัน เขาชอบกินเนื้อสัตว์มาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าสมุนไพรและผักวิญญาณทอดนั้นไม่ได้แย่กว่าเนื้อสัตว์เลย
“ศิษย์น้องห้า ไม่คิดว่าเจ้าทำมามากเกินไปสักหน่อยหรือ?” ว่านอวี้เฟิงกินแทบไม่หยุดมือ ทุกอย่างล้วนรสชาติอร่อยเลิศ และเมื่อยิ่งกินจับคู่กับเกี๊ยวแล้ว ก็เหมือนหลิงเยว่พยายามขุนให้ทุกคนอ้วนท้วนสมบูรณ์อยู่!
“นี่ยังไม่หมดนะเจ้าคะ ข้าเตรียมจานใหญ่ไว้ให้พวกท่านแต่ละคนแล้ว ซึ่งเพียงพอให้พวกท่านเก็บเอาไว้กินได้นาน ๆ เลยเจ้าค่ะ”
ดังนั้นหนึ่งคนจึงได้รับ ‘ของว่าง’ ชุดใหญ่ที่บรรจุอยู่ในถุงใบใหญ่และชานมหลายสิบแก้วในรสชาติต่าง ๆ มา
อวี้เจินแทบจะถือถุงกระดาษด้วยมือไม่ได้ และรู้สึกสะเทือนใจมากจนน้ำตาไหล
“ศิษย์น้องหลิง ข้าไม่คิดเลยว่าการต้อนรับหลังจากถูกคุมขังจะดีเช่นนี้ ข้าควรหาทางไปถูกขังใหม่หลังจากการแข่งขันของสำนักสิ้นสุดดีหรือไม่? เมื่อออกมา ข้าก็จะได้อาหารอร่อย ๆ มากมายอีก!”
หลิงเยว่ “…”
นางคิดได้อย่างไรว่าทำเช่นนั้นเป็นหนทางที่ดี?
“เจ้าคิดว่าเราเป็นหมูหรือ?”
ผู่ตานปากพูดอย่างรังเกียจ แต่ก็กลัวหลิงเยว่จะเสียใจ จึงรีบนำอาหารส่วนของตัวเองใส่ลงในแหวนมิติ
โม่จวินเจ๋อต้องการเอาหินวิญญาณออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่หยุดลงภายใต้การจ้องมองที่ยิ้มแย้มของหลิงเยว่
ไม่ใช่ว่านางขาดหินวิญญาณอยู่หรือ? เหตุใดเจ้าถึงจ้องปรามข้าเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่ข้ากำลังจะมอบหินวิญญาณให้เจ้า?
“ศิษย์น้องห้า…” การแสดงออกของติงหลิวหลิ่วนั้นดูซาบซึ้งมาก
“ถ้ามีอะไรดี ๆ เช่นนี้เกิดขึ้นในอนาคตอย่าลืมเรียกหาข้าด้วย!”
ลู่เป่ยเหยียนเบิกบานมาก เขาดีใจจริง ๆ ที่ได้เข้าคุก!
หลงหว่านโหรวหยิบแผ่นหยกสีเขียวอ่อนออกมาแล้วพูดว่า “นี่คือกุญแจหอกลั่นโอสถหมายเลขห้า มันจะกลายเป็นของเจ้านับจากนี้ไป”
“ข้ามี… หอกลั่นโอสถของตัวเองแล้ว!?”
หลิงเยว่หยิบแผ่นหยกอย่างตื่นเต้นและวิ่งออกไปด้วยความดีใจ
“แต่เดิมท่านอาจารย์วางแผนที่จะรอจนถึงงานรับศิษย์เสร็จก่อนจึงจะมอบให้เจ้า แต่บังเอิญว่าป้ายหยกนี้อยู่ในมือข้าแล้ว”
ฉะนั้นหากหลงหว่านโหรวต้องการให้หลิงเยว่ตอนนี้ ก็สามารถให้ได้เลย
“ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่!”
หลิงเยว่รีบออกจากหอกลั่นโอสถหมายเลขสามอย่างอดรนทนไม่ไหว และวิ่งไปเปิดหอกลั่นโอสถหมายเลขห้าทันที
เพียงมองแวบแรกก็เห็นว่ามันใหญ่! ใหญ่มาก!
พื้นที่ส่วนกลั่นโอสถไม่ได้แตกต่างจากหอกลั่นโอสถห้องอื่น ๆ ทว่า… สิ่งที่นางได้มาเพิ่มคือในห้องนี้มีพื้นที่ทำครัวขนาดใหญ่ และยังมีห้องนั่งเล่นกว้างขวางเอาไว้กินข้าว ซึ่งหอกลั่นโอสถอื่น ๆ ไม่มี!
“เจ้าชอบมันหรือไม่?”
ว่านอวี้เฟิงยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าขยายพื้นที่ห้องนี้ด้วยตัวเองเชียวนะ และอุปกรณ์สำหรับทำครัวก็ถูกสั่งทำขึ้นเป็นพิเศษโดยเหล่าศิษย์จากยอดเขาหลอมศาสตรา”
“ข้าชอบมันมากเลยเจ้าค่ะศิษย์พี่รอง ท่านมีน้ำใจมากเลย!”
หลิงเยว่ชอบมันมากและ… นางตื้นตันใจมากเสียจนดวงตาแดงก่ำ
“เครื่องครัวพวกนี้ไม่ดีเท่าใดหรอก ศิษย์น้องหลิงรอให้ข้าหาอันใหม่ที่ดีกว่าให้เจ้าใช้สักหน่อยนะ!”
เมื่อไม่มีโอกาสในการแสดงผลงาน ลู่เป่ยเหยียนก็ด้อยค่าเครื่องครัวของว่านอวี้เฟิงว่าด้อยคุณภาพ และถึงกับตั้งเป้าไปที่เตากลั่นโอสถด้วยซ้ำ
ขณะที่รับประทานอาหาร โม่จวินเจ๋อก็คิดถึงสิ่งที่ห้องนี้ยังขาดอยู่ แล้วแอบจดบันทึกเงียบ ๆ เตรียมจะไปหามาทันที
เพียงแต่โอกาสในการทำผลงานของเขาหมดไปในทันที หลงหว่านโหรวได้ชดเชยทุกสิ่งที่ขาดหายไปแล้ว เช่นชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับรับประทานอาหารในห้องนั่งเล่น แม้แต่ชามตะเกียบ จานที่สวยงาม ฯลฯ
โม่จวินเจ๋อ “…”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกไร้ประโยชน์เช่นนี้!
แม้แต่แผ่นค่ายกลที่เขาเก่งกาจในการสร้างก็ยังมีอยู่ที่นี่ สามารถบอกได้ทันทีเลยว่าพวกมันถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์ค่ายกลที่ยอดเยี่ยมแน่นอน
เขา… ยังไม่สามารถสร้างแผ่นค่ายกลระดับนี้ได้ด้วยซ้ำ
“จู่ ๆ เจ้าก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์ใช่หรือไม่ล่ะ?” อวี้เจินที่กำลังเคี้ยวซี่โครงพูดแทงใจดำอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
โม่จวินเจ๋อเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา เขาไร้ประโยชน์แล้วนางมีประโยชน์หรืออย่างไร?
“ข้ารู้ว่าเจ้าไร้ประโยชน์ แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าก็เป็นเหมือนกันมันทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้นมาก”
“ศิษย์พี่อวี้ไม่ได้ไร้ประโยชน์นะเจ้าคะ วัตถุดิบเนื้อสัตว์อสูรที่ข้าใช้ทำอาหารนั้นเป็นของที่เขานำมาทั้งหมด”
หลิงเยว่พูดแย้งช่วยทันทีก่อนจะหันไปพูดกับชายหนุ่มที่กำลังมีสีหน้าหงุดหงิดว่า “นอกจากนี้ ท่านไม่ใช่คนที่มอบแผ่นค่ายกลและยันต์ให้ข้าใช้อยู่ตลอดหรือเจ้าคะ?”
“เช่นนั้นคนที่ไร้ประโยชน์ที่สุดก็คืออวี้เจินและผู่ตานสินะ”
ผู่ตานซึ่งจู่ ๆ ก็ถูกพาดพิง ก้าวเข้ามาจ้องมองไปที่โม่จวินเจ๋อ “เจ้าเอาข้ามาเปรียบเทียบหรือ จะลองดูหน่อยหรือไม่?”
ทุกคนรอบ ๆ ต่างเงียบงัน
“ศิษย์น้อง สิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิตคนเราคือการรู้จักเจียมตน”
ติงหลิวหลิ่วไม่ได้แกล้งดูถูกศิษย์น้องของนาง แต่นางดูถูกเขาจริง ๆ
มันคงจะมีปัญหาน้อยหน่อยหากผู่ตานพูดเช่นนี้กับโม่จวินเจ๋อ ในตอนที่เขายังอยู่ในช่วงกลางของขอบเขตสร้างรากฐาน แต่ตอนนี้เขาระดับถดถอยมาอยู่ที่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นแปด… โดยไม่ประมาณตนเช่นนี้ กลับท้าทายกับผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ที่สุดในสำนักน่ะหรือ?
ผู่ตานมีสีหน้าเย็นชา ไม่ใช่ว่าเป็นเขาหรอกหรือที่คอยดูแลศิษย์น้องห้าที่ถูกรังแกจนร้องห่มร้องไห้อยู่เสมอก่อนหน้านี้ในมิติลับน่ะ!