ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 79 มองอะไรกันนักกันหนา ไม่เคยเห็นสาวงามหรืออย่างไร!
บทที่ 79 มองอะไรกันนักกันหนา ไม่เคยเห็นสาวงามหรืออย่างไร!
บทที่ 79 มองอะไรกันนักกันหนา ไม่เคยเห็นสาวงามหรืออย่างไร!
“สวรรค์! นั่นผู้ใดกัน หน้าตาอัปลักษณ์นัก!”
“ข้าตกใจแทบตาย เหตุใดนางจึงดูขี้เหร่ได้ถึงเพียงนี้”
“ไม่คาดคิดเลยว่าอาจารย์อาโม่จะรู้จักคนเช่นนี้ด้วย”
…
ใบหน้าของหลิงเยว่แต่งเสริมจนหนาเตอะ ริมฝีปากสีแดงเข้มจนดูเกินพอดีราวกับตัวประหลาด หันหน้าไปเผชิญกับโม่จวินเจ๋อ และสีหน้าของชายหนุ่มเองก็ตกตะลึงเช่นกัน
บริเวณรอบดวงตาทาสีดำ มีจุดสีแดงสดสองจุดบนแก้มทั้งสองข้าง และริมฝีปากดูราวกับคนปากเจ่อสีแดงเข้ม
“มองอะไรกันนักกันหนา? ไม่เคยเห็นสาวงามหรืออย่างไร!”
ฝูงชน “…”
ต้องหน้าหนาเพียงใดกัน ถึงกล้าเปล่งวาจาเช่นนี้ได้ ไม่สิ นางคงไม่มีแม้แต่ความละอาย ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถพูดอะไรเช่นนี้ออกมาได้
หลิงเยว่สะบัดมือของโม่จวินเจ๋อ จัดเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิงของนางให้เรียบร้อยก่อนจะกวาดสายตามองผู้คนที่อยู่รอบตัวอย่างดุเดือด ก่อนหันกลับมามองชายหนุ่มอีกครั้ง
“อย่าคิดว่าเพียงเพราะท่านเป็นอาจารย์อาโม่แล้วข้าจะต้องยอมให้ท่าน ฝันไปเถิด!”
โม่จวินเจ๋อ “…”
“สวรรค์ ข้าไม่เคยเห็นสาวน้อยที่มั่นใจในขณะที่ตัวเองขี้เหร่มากถึงเพียงนี้มาก่อน นางคิดว่าอาจารย์อาโม่ชมชอบในตัวนางจริง ๆ หรือ?”
“ถูกต้อง คนอะไรไม่รู้จักเจียมตัวสักนิด ข้าทนไม่ไหวแล้ว!”
…
หลิงเยว่ดูราวกับลูกเป็ดขี้เหร่ที่ภาคภูมิใจในตัวเอง เด็กสาวเชิดคางขึ้นและหรี่ตามองทุกคน
“หากทนไม่ไหวก็หลีกทางไปเสีย สุนัขที่ดีไม่ขวางทางคน!”
“หา…”
ฝูงชนอ้าปากค้างไปตาม ๆ กัน นางไปเอาความกล้าจากที่ใดมาพูดเช่นนี้?
โม่จวินเจ๋ออุ้มหลิงเยว่ขึ้นแล้วกระโดดเหยียบกระบี่เหมันต์เร้นลับบินออกไปก่อนที่นางจะถูกกลุ่มคนทุบตี
หลิงเยว่เองก็ตกใจเช่นกัน เมื่อสักครู่เหมือนนางจะโอ้อวดเกินไปสักหน่อย
“เจ้าจะไปที่ใดกัน?”
“ไปดูการแข่งขันน่ะสิเจ้าคะ! เหตุใดมันดูราวกับใกล้จะจบแล้วเช่นนี้?”
หลิงเยว่เพิ่งจะมาถึง ก็เห็นศิษย์พี่สามของนางถูกทุบตีจนนอนแผ่บนสนามประลองแล้ว หากนางจำไม่ผิดการแข่งเพิ่งเริ่มต้นไม่ถึงหนึ่งก้านธูปเอง!
“หยุดนะเจ้าคะ! ปล่อยข้าลง!”
เมื่อหลิงเยว่เห็นติงหลิวหลิ่วที่อยู่ในสภาพเพิ่งถูกทุบตีอย่างหนักหน่วง เด็กสาวก็อดร้อนใจไม่ได้
เมื่อลงจอด โม่จวินเจ๋อก็ติดตามเด็กสาวอย่างไม่ลดละ จนหลิงเยว่รู้สึกเหนื่อยหน่ายใจ
“ท่านไปที่อื่นเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะตกอยู่ในอันตรายหากมีท่านอยู่ที่นี่ด้วย”
หลังจากที่หลิงเยว่พูดจบก็ราวกับนึกบางอย่างได้ นางจึงเริ่มสนใจและพูดอย่างตื่นเต้นกับชายหนุ่มว่า “หรือให้ข้าช่วยแต่งหน้าให้ท่านดีหรือไม่เจ้าคะ”
เพียงคิดว่าจะได้ทำลายใบหน้าหล่อเหลาที่ทำให้ทั้งคนและเทพเซียนอิจฉา หลิงเยว่ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
โม่จวินเจ๋อตกใจมากจนถอยกลับไปสองสามก้าว หากให้แต่งหน้าเหมือนกับหลิงเยว่ในตอนนี้ ให้เขาตายยังดีเสียกว่า เขาจึงใช้มือลูบหน้าตัวเอง ก่อนที่ใบหน้าของชายหนุ่มจะถูกแปลงโฉม จนกลายเป็นชายที่มีหน้าตาธรรมดาทั่วไป
ชายผู้นี้น่าเบื่อเสียจริง
หลิงเยว่ทำหน้าบูดบึ้ง “เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยนะเจ้าคะ เสื้อผ้าของท่านดูโดดเด่นเกินไป”
จากนั้นหลิงเยว่ก็มองดูอย่างช่วยไม่ได้ ในขณะที่โม่จวินเจ๋อเปลี่ยนจากเสื้อผ้าสีดำ กลายมาเป็นชุดศิษย์สายนอก ทว่าเสื้อผ้าของเขาก็ยังดูดีมากอยู่ดี!
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่จ้องมองมาของหลิงเยว่ โม่จวินเจ๋อก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอธิบายว่า “นี่เป็นแค่การตบตา”
เสื้อผ้าดูไม่เปลี่ยนไปเท่าใดเลยจริง ๆ
หลิงเยว่รู้สึกผิดหวัง
ทั้งสองเดินผ่านฝูงชน ได้กลิ่นที่คุ้นเคยและเสียงเคี้ยวอาหารทอดกรุบกรอบ
“เจ้าได้สิ่งนี้มาจากที่ใด? รสชาติมันอร่อยนัก!”
“ข้าซื้อมันจากนักกลั่นโอสถคนหนึ่งด้วยหินวิญญาณจำนวนห้าร้อยก้อนต่อหนึ่งชุด แต่เขาเป็นคนใจดำนัก!”
“ไม่เลวเลย ให้ผลมากกว่าโอสถระดับหนึ่ง ซ้ำยังอร่อยอีกต่างหาก นักกลั่นโอสถคนที่ขายอยู่ที่ใดกัน ข้าจะไปซื้ออีกสักสิบชุด”
เมื่อหลิงเยว่ได้ยินว่าจะมีเงินมาประเคนให้ถึงหน้าประตูบ้าน นางก็ดึงโม่จวินเจ๋อเข้ามาราวกับปลาไหล
“ศิษย์พี่จะซื้ออีกหรือ ข้ามีมันอยู่อีกนะเจ้าคะ!”
“นักกลั่นโอสถคนนั้นขอให้ข้าขายแทนเขา” หลิงเยว่พูดแล้วหยิบอาหารอีกสิบชุดออกจากถุงเก็บของ และหยิบชานมให้เพิ่มอีกหนึ่งแก้ว “ในฐานะที่ท่านซื้อมากถึงเพียงนี้ ดังนั้นข้าจะเพิ่มชานมให้ท่านอีกหนึ่งแก้ว ทั้งหมดรวมเป็นราคาหินวิญญาณระดับล่างจำนวนห้าพันก้อนเจ้าค่ะ”
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของหลิงเยว่ทำให้ผู้บำเพ็ญที่อยู่รอบ ๆ เงียบลง จากนั้นพวกเขาก็มองดูนางอย่างสงสัย
“ดูสิ มันเป็นของแท้”
เมื่อเห็นหลิงเยว่ขยิบตาให้โม่จวินเจ๋อ เขาจึงเอื้อมมือไปเปิดถุง และกลิ่นหอมก็ฟุ้งกระจายออกมาทันที
“เอาเลย สหายเต๋าสามารถลองได้ มันให้ผลมากกว่าโอสถระดับหนึ่ง พวกเจ้าจะไม่ขาดทุนอย่างแน่นอน!”
โม่จวินเจ๋อยื่นถุงอาหารให้ฝูงชนอย่างเย็นชา แต่สิ่งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความกระตือรือร้นของผู้บำเพ็ญที่จะลิ้มลองรสชาติมันเลย
“สาวน้อย เจ้าลดราคากว่านี้ได้หรือไม่ ข้าจะซื้อยี่สิบชุด”
“ตกลง ข้าจะให้ท่านเพิ่มอีกหนึ่งถุงหากท่านซื้อยี่สิบชุดเจ้าค่ะ”
ผู้บำเพ็ญคนนั้นควักหินวิญญาณออกมา ทันใดนั้นหลิงเยว่ก็ได้รับหินวิญญาณระดับล่างหนึ่งหมื่นก้อน
“เอามาสิบชุด!”
“ข้าเอาห้าชุด!”
“ได้เลยเจ้าค่ะ!” หลิงเยว่มีความสุขมากจนยิ้มไม่หุบ
โม่จวินเจ๋อไม่สนใจที่จะเป็นเครื่องเก็บเงินมากนัก เขาจึงเลือกกิน ‘ของว่าง’ และดื่มชานมพลางยืนในกลุ่มผู้ชมเพื่อดูติงหลิวหลิ่วถูกทุบตีแทน
ติงหลิวหลิ่วผู้ซึ่งร้องโอดครวญหลังจากถูกทุบตี เพิ่งบังเอิญเห็นคนรู้จักทั้งสอง กำลังขายของต่อหน้าผู้ชมที่ด้านข้างสนามประลอง โดยเฉพาะศิษย์น้องห้าของนางซึ่งยิ้มแย้มสดใสในหมู่ผู้ชม จู่ ๆ นางก็พลันรู้สึกเศร้า
นางอยู่ในสภาพน่าอนาถมากเช่นนี้ แต่ศิษย์น้องห้ากลับยังมีอารมณ์ที่จะขายของอีกหรือ!
เมื่อติงหลิวหลิ่วโกรธ นางก็ลุกขึ้นจากพื้นแล้วควักน่องไก่ทอดอันใหญ่ออกมากิน พร้อมกับขว้างยันต์ออกไปใส่คู่ต่อสู้ด้วย!
“ยังมีอารมณ์กินอยู่สินะ เมื่อสักครู่ข้าคงจะเบามือกับเจ้าเกินไปหน่อยเสียแล้ว!”
คู่ต่อสู้ของติงหลิวหลิ่วรู้สึกว่านี่เป็นการดูถูกเขา ดังนั้นอีกฝ่ายจึงโจมตีกลับอย่างรุนแรงอีกครั้ง
เขายังคว้าน่องไก่ทอดที่ติงหลิวหลิ่วกินไปครึ่งหนึ่งแล้วกระทืบลงไปที่พื้นอย่างแรง การกระทำนี้ทำให้ติงหลิวหลิ่วเดือดดาลอย่างยิ่ง
อาวุธวิญญาณในมือของนางกลายเป็นต้นไม้ยักษ์ในอากาศ และกิ่งก้านของต้นไม้ยักษ์ก็กลายเป็นแส้จำนวนนับไม่ถ้วนฟาดใส่คู่ต่อสู้อย่างแรง!
“ในที่สุดก็ยอมใช้อาวุธวิญญาณแล้วรึ!”
“เฮ้อ… ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสมองของติงหลิวหลิ่ว เหตุใดกว่าที่นางจะใช้อาวุธวิญญาณ จะต้องเป็นหลังจากถูกทุบตีจนแทบตายด้วย?”
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาวุธวิญญาณนี้ต้องใช้ปราณวิญญาณจำนวนมหาศาล?”
ในที่สุดผู้บำเพ็ญในกลุ่มผู้ชมก็เริ่มสนใจ ใช่แล้วพวกเขาชอบดูสาวงามถูกทุบตี…
หลังจากขายหมด หลิงเยว่และโม่จวินเจ๋อต่างก็เอาอาหารว่างวิญญาณของตัวเองออกมารับประทานขณะรับชมการต่อสู้
หลิงเยว่มองดูต้นไม้ยักษ์ที่มีพลังการต่อสู้แข็งแกร่งด้วยความอิจฉา นี่น่ะหรือพลังของผู้บำเพ็ญขอบเขตสร้างรากฐานช่วงปลาย เมื่อใดนางถึงจะสร้างต้นไม้ใหญ่ที่ทรงพลังเช่นนี้ได้กัน?
ต้องรอจนถึงหลังจากบรรลุเข้าสู่ขอบเขตสร้างฐานรากหรือ?
ร่างของผู้หญิงคนนั้น ตอนที่นางได้วิชามาก็สามารถเปลี่ยนต้นไม้ทั้งหมดในโลกให้กลายเป็นสัตว์วิญญาณขนาดยักษ์แสนจะทรงพลัง ถึงขนาดว่าฉีกสัตว์อสูรที่บุกรุกจนร่างแยกอย่างง่ายดายราวกับฉีกกระดาษ นางน่าจะ… ทำได้เหมือนกันในอนาคตใช่หรือไม่?
แม้ว่าจะไม่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น แต่การทำได้สักหนึ่งในสิบก็เพียงพอที่จะทำให้หลิงเยว่มีเป้าหมายต่อแล้ว
เมื่อเห็นฉากที่ติงหลิวหลิ่วเรียกต้นไม้ยักษ์ออกมา หลิงเยว่ก็คิดว่าการต่อสู้นี้คงจะยังไม่จบลงโดยง่ายแน่ ดังนั้นนางจึงตัดสินใจไปดูสนามประลองอื่นก่อน
“ไปดูศิษย์พี่รองของข้ากันเถิดเจ้าค่ะ”
โม่จวินเจ๋อปล่อยให้หลิงเยว่ดึงตนเองเข้าไปในฝูงชน
หลิงเยว่ไปที่สนามประลองอีกแห่ง และพบเข้ากับโอกาสทำธุรกิจอีกครั้ง ด้วยไม่คาดคิดเลยว่าพนักงานขายที่ตนเองจัดหามาก่อนหน้านี้จะมีทักษะการขายที่เก่งกาจถึงขนาดขายอาหารให้กับผู้บำเพ็ญขอบเขตสร้างรากฐานได้มากเช่นนี้
ไม่ว่านางจะก้าวไปทางใด ก็เห็นแต่คนกินอาหารวิญญาณขณะชมการต่อสู้บนสนามประลอง
“เอาเลย เอาชนะเจ้าว่านอวี้เฟิงนั้นเร็ว ๆ เลย!”
“ฮ่าฮ่า ว่านอวี้เฟิงเจ้าเจ็บพอแล้วรึ หากพอแล้วก็รีบลงมาจากสนามประลองเสีย!”
“เอาเลย เอาเลย อัดเจ้าว่านอวี้เฟิงคนใจดำนี่ให้เป็นง่อยเลย!”
กลุ่มผู้ชมเต็มไปด้วยความไม่พอใจต่อว่านอวี้เฟิง บางคนถึงกับส่ายหมัดขึ้นชกอากาศ ราวกับว่าพวกเขาเป็นคู่ต่อสู้ของว่านอวี้เฟิง
ศิษย์พี่รองเคยขูดรีดคนมาเท่าใดกันแน่เนี่ย…
หลิงเยว่ซ่อนตัวด้วยความกลัว หากพวกผู้ชมพบว่านางไม่เพียงแต่เป็น ‘ผู้บำเพ็ญมาร’ แต่ยังเป็นศิษย์น้องของว่านอวี้เฟิง จะทำให้สิ่งต่าง ๆ แย่ยิ่งกว่าเดิมอย่างแน่นอน!
นางจึงเลิกความคิดขายอาหารวิญญาณที่นี่ และพาโม่จวินเจ๋อหนีไปทันที