ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 8 นี่คือคำพูดของมนุษย์หรือ?
บทที่ 8 นี่คือคำพูดของมนุษย์หรือ?
บทที่ 8 นี่คือคำพูดของมนุษย์หรือ?
หลิงเยว่ซึ่งแก้ไขวิกฤตได้ชั่วคราวกำลังจะออกไปศึกษาตำราอาหารวิญญาณ แต่ทันทีที่นางก้าวขาขึ้นก็ถูกลักพาตัวจากด้านหลัง
หลิงเยว่ที่ตื่นตระหนกพยายามดิ้นรนอย่างสิ้นหวังและกระทั่งใช้ปราณของตัวเอง แต่ก็ยังไม่สามารถหนีไปได้
นางอยากจะตะโกนดัง ๆ แต่เมื่อเปิดปาก ใบหน้าก็พลันบิดเบี้ยวเพราะลมที่ตีเข้ามา
อาจจะเป็นบิดาของผาวฮุย?
หลิงเยว่ยิ่งตื่นตระหนก ตราบใดที่นางตรวจไม่พบเจตนาฆ่า เครื่องรางคุ้มครองจะไม่ตอบสนอง หากนางไม่ปรากฏตัวบนลานประลองตรงเวลาจะถูกตัดสินว่าละเมิดกฎการประลอง ซึ่งเครื่องรางช่วยชีวิตนั้นจะกลายเป็นเครื่องรางปลิดชีวิตทันที ร่างกายของนางจะระเบิดออกเป็นชิ้น ๆ จนไม่เหลือซาก
จบแล้ว! จบแล้ว! ข้าเพิ่งเกิดใหม่ได้ไม่เท่าไหร่เอง
หลิงเยว่แลดูสิ้นหวัง
โอ้! ไม่สิ นางยังมีระบบอยู่ แม้ว่าจะถูกกังขัง ก็ยังสามารถซื้อของบางอย่างจากระบบแลกเปลี่ยนเพื่อหลบหนีได้! หากแต้มไม่เพียงพอก็สามารถทำแบบผ่อนจ่าย อย่างไรก็ตาม ถ้าผาวซ่านกล้าที่จะฆ่านางจริง ๆ เขาเองก็จะต้องตายอย่างอนาถด้วยเช่นกัน!
หลิงเยว่คิดเช่นนั้น ก่อนหยุดดิ้นรน
“เอ๊ะ! ทำไมเจ้าไม่ดิ้นรนต่อไปอีกล่ะ?”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นเหนือหัวของหลิงเยว่
หลิงเยว่ถูกโยนลงพื้น ก่อนเหลือบมองอีกฝ่าย ปรากฏให้เห็นใบหน้าหญิงสาวคนหนึ่ง นั่นคืออวี้เจิน
หลิงเยว่คิดมากเกี่ยวกับปัญหาที่อาจตามมาในอนาคต แต่กลับถูกคนรู้จักลักพาตัวมาเสียอย่างนั้น
“เจ้าค่อนข้างกล้าหาญ ทั้ง ๆ ที่อยู่เพียงขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสาม กลับกล้าที่จะประกาศท้าผู้อื่นต่อหน้าศิลาชี้ชะตา”
อวี้เจินจับหลิงเยว่ขึ้นมาจากพื้นแล้วปล่อยให้นางพิงหินใกล้ ๆ จากนั้นจึงค่อยตบไหล่พลางชมเชยว่า “เจ้าทำได้ดีมาก! ข้าผู้นี้เคยท้าผู้อื่นประลองชี้ชะตามามากมายเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ไม่มีผู้ใดกล้ารับคำท้าของข้าสักคน!”
หลิงเยว่ไออย่างรุนแรงเสียจนอวัยวะภายในแทบจะเคลื่อนผิดที่ทาง
“แม้จะดูไม่เข้ากันกับผู้ที่บอบบางและอ่อนแอเช่นเจ้า แต่ถือเสียว่าเจ้าย่างเนื้อได้อร่อยและกล้าหาญมาก กระนั้นแล้วศิษย์พี่หญิงผู้นี้จะช่วยฝึกเจ้าอย่างหนักให้เอง เพื่อที่จะได้อยู่รอดบนลานประลองได้นานขึ้นอีกหน่อย”
นี่คือคำพูดของคนหรือ?
หลิงเยว่ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกขอบคุณหรือเสียใจดี
แม้แต่อวี้เจินก็ยังคิดว่านางไม่อาจต่อกรกับผาวฮุยได้
“ศิษย์พี่อวี้ ท่านช่างมีน้ำใจเหลือเกิน”
หลิงเยว่หลั่งน้ำตา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสียใจหรือซาบซึ้งกับชะตากรรมของตนในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้านี้กันแน่
อวี้เจินหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะควักเอาวัวตัวใหญ่เท่ากับภูเขาลูกย่อม ๆ ออกมาจากแหวนมิติ
ทันทีที่วัวตัวเท่าภูเขาปรากฏขึ้น ร่างเล็กของหญิงสาวทั้งสองก็แทบจะถูกบังมิดมองไม่เห็น
เมื่อเห็นวัววิญญาณตัวใหญ่นี้ มุมปากของหลิงเยว่พลันกระตุกทันทีเพราะตอนนี้นางรู้สึกหิวมาก
ไม่ว่าจะอย่างไรต่อให้โลกนี้กว้างใหญ่เพียงใด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนางคือการกิน!
เมื่อโม่จวินเจ๋อกลับไปที่ภูเขาด้านหลัง เขาพลันได้กลิ่นหอมของเนื้ออันเข้มข้น มันทั้งหอมทั้งฉุนเผ็ด หลังจากเดินเข้าไปก็เห็นคนทั้งสองกำลังยุ่งวุ่นวาย
เมื่อหลิงเยว่เห็นโม่จวินเจ๋อ ดวงตาของนางก็สว่างขึ้นทันที จากนั้นนางก็มีสีหน้าเขินอายก่อนชี้ไปที่น้ำแกงในหม้อไฟที่เพิ่งทำใหม่ “ศิษย์พี่โม่ ท่านช่วยข้าแช่แข็งน้ำแกงนี้ได้หรือไม่?”
นี่คือเรื่องที่อวี้เจินส่งข้อความไปหาเขาว่ามีเรื่องเร่งด่วนอย่างนั้นหรือ?
บรรยากาศรอบกายของโม่จวินเจ๋อต่ำลงอย่างรวดเร็วจนแทบจะเป็นน้ำแข็งแล้ว!
หากนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเจอกัน หลิงเยว่คงไม่กล้าร้องขอเช่นนี้อย่างแน่นอน อันที่จริงโม่จวินเจ๋อเป็นชายหนุ่มที่มีนิสัยเย็นชาเพียงภายนอกเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วเป็นชายหนุ่มที่มีจิตใจดี ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้พวกเขานับได้ว่าเป็นสหายกันแล้วอีกต่างหาก
“ข้าไม่ได้ให้ท่านช่วยเปล่า ๆ นะ แต่จะเลี้ยงท่านด้วยหม้อไฟเนื้อ!”
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าหม้อไฟเนื้อคืออะไร …
โม่จวินเจ๋อเม้มริมฝีปาก ทันใดนั้นน้ำแกงก็เริ่มแข็งตัวจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
หลิงเยว่เก็บน้ำแกงที่ถูกแช่แข็งแล้วลงในถุงมิติอย่างมีความสุข นางได้แบ่งส่วนเล็ก ๆ แยกไว้แล้ว เมื่อพิจารณาถึงรสนิยมที่ชอบอาหารรสชาติเบาหน่อยของพวกผู้บำเพ็ญ ควรเลือกใช้น้ำแกงที่ต้มจากกระดูกวัวให้พวกเขา ส่วนของตัวนางจะทำเป็นแบบรสจัดและเผ็ดซึ่งเหมาะมากกว่า
“ศิษย์พี่โม่ ให้ข้าเล่าให้ท่านฟังก่อน…”
อวี้เจินผู้ซึ่งจัดการกับวัววิญญาณอย่างขยันขันแข็งพูดอย่างรวดเร็วเกี่ยวกับการกระทำของหลิงเยว่ในวันนี้ น้ำเสียงแฝงความอิจฉาของนางทำให้ผู้ที่กำลังถูกพูดถึงอย่างหลิงเยว่รู้สึกละอายใจ
จากนั้นอวี้เจินก็เปลี่ยนเรื่อง “ไม่ใช่ว่าท่านสามารถเข้าและออกจากหอคัมภีร์ได้ตามต้องการหรือ เหตุใดท่านไม่ช่วยศิษย์น้องหลิงเสียหน่อยโดยการไปเอาตำราวิชาขั้นสูงสักอย่างที่เหมาะสมมาให้นางล่ะ”
โดยไม่คาดคิด อวี้เจินเรียกหาโม่จวินเจ๋อเพราะตนหรอกหรือ? หลิงเยว่รู้สึกซาบซึ้งมาก ทั้ง ๆ ที่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางเป็นเพียงแค่สหายทำเนื้อย่างเท่านั้นเอง…
“ไม่… ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้ามีวิชาของข้าอยู่แล้ว”
หลิงเยว่ปฏิเสธอย่างรวดเร็ว นางสามารถเรียนรู้หมื่นชีวางอกเงยได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเรียนรู้วิชาอื่นอีก
โม่จวินเจ๋อเงียบไปครู่หนึ่งแล้วควักเอาตำราที่หน้าปกดูเรียบง่ายและค่อนข้างชำรุดออกมา
“ตอนนี้ข้ามีตำราวิชานี้ติดตัวอยู่ ซึ่งน่าจะเหมาะกับนาง”
อวี้เจินรับมันมาดู นางสูดหายใจเข้าลึกทันที “วิชาบ่มเพาะกายาขั้นโลกา! วิชาเคลื่อนคล้อยไร้ลักษณ์!?”
ด้วยกลัวว่าโม่จวินเจ๋อจะเปลี่ยนใจ อวี้เจินจึงรีบยัดตำราบ่มเพาะกายานี้ใส่มือของหลิงเยว่ทันที “เจ้ารีบเก็บมันไปซะ!”
อวี้เจินไม่มีแก่นปราณครบทั้งห้าธาตุ นางฝึกฝนร่างกายแนวทางแข็งกร้าวไม่ใช่พลิ้วไหวรวดเร็ว ไม่เช่นนั้นนางคงจะเอาตำรานี้หนีไปแล้ว ไม่มอบให้หลิงเยว่แน่นอน!
วิชาขั้นโลกาคืออะไร?
วิชาในแดนเซียนนี้แบ่งออกเป็นสี่ขั้น ได้แต่ จุติ มายา โลกา สวรรค์ โดยขั้นสวรรค์เป็นขั้นสูงสุดตามด้วยขั้นโลกา!
วิชาขั้นโลกาถูกที่สุดที่ขายในระบบแลกเปลี่ยนต้องใช้ค่าพลังวิญญาณนับล้าน นับประสาอะไรกับขั้นสวรรค์ซึ่งมีราคาไม่ต่ำกว่าหลักหลายสิบล้านแต้ม! หมื่นชีวางอกเงยของนางไม่ได้มีขายในระบบแลกเปลี่ยน และขั้นของมันนั้นก็อาจจะสูงกว่าขั้นสวรรค์ โชคดีที่ระบบมอบให้นางเป็นของรางวัลจากการทำภารกิจเสร็จสิ้น ไม่เช่นนั้นนางคงไม่สามารถซื้อมันได้ในชีวิตนี้ของนาง
“ท่านให้ข้าจริง ๆ หรือ?” หลิงเยว่ถามอย่างไม่มั่นใจ
นี่เป็นการกระทำที่มีน้ำใจมากจริง ๆ ซึ่งมันทำให้นางไม่กล้ารับมา
โม่จวินเจ๋อพยักหน้า “ข้าเก็บมันไว้ก็ไม่มีประโยชน์”
“รีบเก็บมันไปซะ เจ้าน่าจะฝึกฝนสำเร็จขั้นต้นได้ภายในหนึ่งเดือน ขอแค่เจ้าทำสำเร็จก็จะสามารถเอาชนะไอ้กระจอกนั่นได้แน่นอน!”
อวี้เจินทุบเนื้อขณะที่นางพูด ในเวลานี้เนื้อแทบจะเหลวกลายเป็นโคลนอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าหลังจากถูกทุบแบบนี้จะยังสามารถกินได้อีกหรือไม่
หลิงเยว่ไม่ได้ปฏิเสธอีกต่อไป อย่างแย่ที่สุดนับจากนี้ไปนางก็แค่ต้องตอบแทนพวกเขาด้วยของอร่อย
หลังจากคิดแบบนี้ ภาระในใจของหลิงเยว่พลันสลายไป ก่อนหันความสนใจไปที่หม้อไฟ
หม้อไฟนั้นเรียบง่ายมาก อวี้เจินแล่เนื้อตามความต้องการของหลิงเยว่ น้ำต้มกระดูกวัวถูกตั้งไฟจนมีกลิ่นหอม และยังมีน้ำแกงเผ็ดที่เตรียมไว้อีกต่างหากด้วย
หลิงเยว่ใช้ช้อนตักเนื้อที่ถูกทุบจนเละมาปั้นเป็นลูกชิ้นเนื้อแล้วโยนพวกมันลงไปในหม้อน้ำแกงร้อน ๆ ทีละลูก
อวี้เจินและโม่จวินเจ๋อถือตะเกียบในมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างถือถ้วยน้ำจิ้มอย่างสับสน
“ต้องกินอย่างไร?”
อวี้เจินถามก่อน
หลิงเยว่ใช้ตะเกียบคีบชิ้นเนื้อที่แล่มาแล้วบาง ๆ จุ่มลงในน้ำต้มกระดูกวัว รอมันสุกจนเปลี่ยนสี จากนั้นจึงใส่ลงในถ้วยน้ำจิ้มของอวี้เจิน
โม่จวินเจ๋อมองไปที่หลิงเยว่ด้วยสายตาขุ่นเคือง
ทำไมไม่ให้เขาก่อนล่ะ?
หลิงเยว่มองแววตาของโม่จวินเจ๋อออก นางจึงยิ้มแล้วคีบเนื้อลงไปลวกอีกชิ้นก่อนจะใส่ลงในถ้วยของโม่จวินเจ๋อ จากนั้นความขุ่นเคืองในแววตาก็สลายไป
อวี้เจินคีบเนื้อชิ้นใหญ่ใส่ปากก่อนจะอุทานว่า “หวา! ฟู่ ๆ ร้อน ๆ ๆ ๆ … แต่อร่อยสุด ๆ เลย!”
จากนั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้หลิงเยว่สอนอะไรอีกแล้ว อวี้เจินคีบเนื้อวัวลงไปจุ่มในหม้อไฟ
โม่จวินเจ๋อมองดูหลิงเยว่แล้วเลียนแบบการกระทำของนาง จุ่มชิ้นเนื้อลงในถ้วยน้ำจิ้ม เมื่อชิ้นเนื้อถูกเคลือบด้วยน้ำจิ้ม เขาก็เป่ามันเบา ๆ แล้วกินมันในคำเดียว!
ทั้งสองหรี่ตาลงพร้อมกัน
เนื้อชิ้นนุ่มร้อน ๆ ในปาก เข้ากับน้ำจิ้มรสชาติเข้มข้นเผ็ดร้อน เมื่อเคี้ยวเนื้อติดมันจนน้ำแกงข้นซึมออกมา กลิ่นหอมเข้มก็พลันกระจายไปโพรงปาก
ภูเขาด้านหลังอันเงียบสงบถูกกลิ่นหอมของหม้อไฟปกคลุม!
ทั้งสามกินกันอย่างสำราญใจจนไม่ทันสังเกตเห็นคนสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังด้วยซ้ำ
ไม่สิ โม่จวินเจ๋อรู้ แต่เขาเลือกที่จะเมินและจ้องมองไปยังหลิงเยว่ แก้มของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงหลังจากกินหม้อไฟรสเผ็ด มันอร่อยขนาดนั้นจริงหรือ?
อวี้เจินคีบชิ้นเนื้อขึ้นมาอย่างระมัดระวังและตัดสินใจลองดู
“ข้าเองก็จะลองดู!”
นางคีบเนื้อใส่ลงในหม้อเผ็ด จากนั้นก็เอาขึ้นมาจุ่มน้ำจิ้ม แล้วยัดใส่ปากโดยไม่เป่า อวี้เจินเคลื่อนไหวเร็วมากจนหลิงเยว่ไม่ทันห้ามปราม!
“อ๊า! ร้อนอย่างกับปากจะไหม้เลย! ลิ้นข้าชาไปหมดแล้ว! นี่ข้าโดนวางยาพิษหรือ!?”
แม้ว่าอวี้เจินก็จะพูดอย่างนั้น แต่นางก็ไม่เต็มใจที่จะคายมันออกมา นางเลือกที่จะเคี้ยวต่อไป ทันทีที่เคี้ยวมันน้ำตาก็ไหลออกมา มันทั้งชา เผ็ด หอม สดชื่น อวี้เจินไม่สามารถกลั้นน้ำตาของนางได้อีกต่อไป!