ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 82 ช่วยพาข้าขึ้นภูเขาไปหาอะไรกินหน่อยได้หรือไม่ ขอบคุณ!
บทที่ 82 ช่วยพาข้าขึ้นภูเขาไปหาอะไรกินหน่อยได้หรือไม่ ขอบคุณ!
บทที่ 82 ช่วยพาข้าขึ้นภูเขาไปหาอะไรกินหน่อยได้หรือไม่ ขอบคุณ!
พวกเขาทั้งสามยังคงเชื่องช้าในการจัดการกับหมูดำดินทั้งตัว ฉีซิวซีคืบหน้าไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และในเวลาต่อมาสือเชี่ยนก็มาพร้อมกับอวี้รุ่ย ซึ่งหลิงเยว่เองก็รู้จักเช่นกัน
อวี้รุ่ยเป็นศิษย์น้องของอวี้เจิน นางอยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นแปด และเป็นลูกค้ารายแรกของหลิงเยว่ในมิติลับแห่งภาพลวงตา
“ศิษย์น้องหลิง!”
เมื่ออวี้รุ่ยเห็นหลิงเยว่ ดวงตาของนางก็พลันสว่างขึ้น ก่อนจะหยิบถุงหินวิญญาณออกมาทันที “ข้าต้องการอาหารวิญญาณแบบพิเศษของเจ้าสิบชุด!”
“ท่านช่วยข้าจัดการกับหมูดำดินก่อนเถิดเจ้าค่ะ แล้วข้าจะเลี้ยงหมูย่างท่านหลังจากนี้แทน มันอร่อยกว่าชุดอาหารวิญญาณพิเศษเยอะเลยนะเจ้าคะ!”
เมื่อได้ยินว่าหมูย่างอร่อยกว่าอาหารวิญญาณแบบพิเศษ อารมณ์เมื่อครู่นี้ของสือเชี่ยนก็พลันรู้สึกดีขึ้นทันที
เมื่อมีลูกมืออีกสองคน หลิงเยว่ก็มีเวลาในการทำเครื่องปรุงสำหรับทาหมูย่างต่อ
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มซือจูสามคนนั่น พวกเขาขายหมดแล้ว หรือกำลังถูกทุบตีอยู่ถึงยังไม่กลับมาเช่นนี้?
หลิงเยว่คิดในขณะที่นางกำลังวางสมุนไพรวิญญาณและเครื่องเทศที่ซื้อไว้บนโต๊ะ นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรวิญญาณมากมายที่สร้างขึ้นโดยใช้ดินที่มีคุณสมบัติธาตุต่างกัน
“เจ้าใช้สมุนไพรวิญญาณมากมายในการย่างหมู ว่าแต่… พวกนี้คืออะไรหรือ?” สือเชี่ยนชี้ไปที่พวกเครื่องเทศและโหลแปลก ๆ ที่มีหญ้าอยู่ข้างใน
“ไม่ต้องถาม แค่กินอย่างเดียวก็พอ”
ก่อนที่หลิงเยว่จะพูด ฉีซิวซีก็ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงของนางแล้ว
เมื่อหลงหว่านโหรวกระโดดลงจากพาหนะวิญญาณของนางพร้อมกับติงหลิวหลิ่วและว่านอวี้เฟิงในอ้อมแขน กลิ่นหอมแปลก ๆ ก็โชยเตะจมูกของหลงหว่านโหรวทันที
“ศิษย์พี่ใหญ่ท่านกลับมาแล้ว ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่สามชนะหรือไม่เจ้าคะ?” หลิงเยว่ที่เพิ่งหมักหมูดำดินรีบวิ่งออกมาที่ประตูทันที ที่นางเห็นผู้มาใหม่ทั้งสามคน
“แพ้”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในบรรดาศิษย์ทั้งห้าของชิงยวน มีเพียงผู่ตานที่นอนปางตายอยู่บนเตียงเท่านั้น ที่เข้าสู่สิบอันดับแรกของการแข่งขันสำนัก
“ปีก่อนหน้านี้ไม่มีผู้ใดของยอดเขาโอสถสามารถเข้าสู่รอบสิบคนสุดท้ายได้เลย ในปีนี้ต้องขอบคุณศิษย์น้องสี่ที่ค้นพบวิธีเอาชนะใหม่ และเต็มใจที่จะลดระดับการบำเพ็ญของตนเองเพื่อเข้าสู่การแข่งขันขอบเขตกลั่นลมปราณ”
ฟังดูเหมือนเป็นการโอ้อวด แต่จริง ๆ แล้วมันคือการกลับดำเป็นขาวให้กับศิษย์พี่สี่ของนางใช่หรือไม่?
ไม่รู้ว่าผู่ตานทำอะไรให้ศิษย์พี่ใหญ่ที่เงียบขรึม กลับพูดประโยคยาว ๆ เพื่อดึงเขาออกมาเหยียบย่ำเช่นนี้
“ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่สาม พวกเขาจะไม่เป็นอะไรมาก…ใช่หรือไม่เจ้าคะ?” หลิงเยว่ชี้ไปยังคนสองคนที่หมดสติในอ้อมแขนของหลงหว่านโหรว พวกเขาดูไม่ดีนัก อย่างน้อยรอบที่แล้ว พวกเขาก็ยังร้องโหยหวนได้เมื่อกลับมาถึง ทว่าคราวนี้พวกเขากลับมาทั้งที่หมดสติ ดูเหมือนว่าการแข่งขันเพื่อให้ได้เข้าสู่รอบสิบคนสุดท้ายจะหนักหน่วงเสียจริง
แม้ว่านางจะต้องเข้าไปอย่างไม่เต็มใจ ทว่าจุดจบของเด็กสาวก็คงจะเหมือนกับของพวกเขา ไม่สิ อาจจะแย่เสียยิ่งกว่าอีก เมื่อเปรียบเทียบกับการเข้าสู่สนามประลองและถูกทุบตี หลิงเยว่กลับรู้สึกผ่อนคลายมากเมื่อได้ฝึกการทำอาหารอร่อยและขายอาหาร
ท้ายที่สุดแล้วอาหารคือความหลงใหลของหลิงเยว่ ส่วนความแข็งแกร่งที่เกิดขึ้นคือสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอด
“ไม่เป็นอะไรหรอก อีกสองวันก็จะหายดีแล้ว”
หลงหว่านโหรวพาทั้งสองคนเข้าไปในหอกลั่นโอสถหมายเลขหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นาน ก็เกิดเสียงกรีดร้องถึงสองครั้ง และด้วยเสียงที่แตกต่างกันดังขึ้นนั้น ก็ทำให้เหล่าผู้คนที่อยู่ข้างนอกเผลอสะดุ้งในเวลาเดียวกัน
หลิงเยว่และโม่จวินเจ๋อค่อนข้างสงบ พวกเขาคุ้นเคยกับเสียงกรีดร้องนี้เสียแล้ว หลังจากที่ได้ยินพวกมันบ่อยครั้งเข้า
หมูดำดินซึ่งหมักไว้นานกว่าชั่วยามครึ่งถูกนำไปตั้งไฟ และย่างตามคำเรียกร้องของทุกคน จริง ๆ แล้วหมูตัวใหญ่ขนาดนี้คงจะอร่อยกว่าถ้าหมักนานกว่าสี่ชั่วยาม ทว่า… คนเหล่านี้ใจร้อนกว่าจะรอได้นานขนาดนั้น
และอย่าลืมว่าต้องใช้แปรงทาเครื่องปรุงทุก ๆ หนึ่งก้านธูประหว่างย่าง เพื่อให้เครื่องปรุงซึมเข้าไปในเนื้อได้มากกว่าเดิม นั่นจะทำให้รสชาติอาหารดีขึ้น
ไฟที่ใช้ย่างนั้นมาจากแก่นปราณอัคคีของหลิงเยว่ ระดับของหมูดำดินนั้นต่ำกว่าวิหคเนตรม่วงครั้งที่แล้วถึงสองระดับ ดังนั้นไฟของนางจึงเพียงพอที่จะย่างมัน
ไฟอ่อน ๆ ย่างหมูดำดินอย่างช้า ๆ โม่จวินเจ๋อและอวี้รุ่ยต่างถือชามเครื่องเทศพลางทาให้ทั่วทั้งตัวหมู สือเชี่ยนและฉีซิวซีมีหน้าที่รับผิดชอบในการพลิกหมูย่าง
เครื่องเทศและไขมันที่เดือดของหมูดำดินหยดลงในไฟ ก่อนจะเกิดควันสีขาวลอยขึ้นมา กลิ่นควันไม่ฉุนเหม็น ทว่ามันกลับมีกลิ่นหอมที่ทำให้น้ำลายสอ
หมูดำดินเปลี่ยนสีภายใต้ความร้อนที่แผดเผาของแก่นปราณอัคคี
“ศิษย์น้องหลิง จะต้องย่างนานเพียงใดถึงจะกินได้หรือ?” สือเชี่ยนเลียมุมปากของนาง ด้วยหวังว่าตนเองจะสามารถหั่นหมูออกมากินได้ทันที
“ใช้เวลาประมาณสองชั่วยามกระมังเจ้าคะ?”
หลิงเยว่ไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่นางย่างสัตว์อสูรทั้งตัว
“นานนัก!”
เปลวไฟแห่งความคาดหวังของฉีซิวซีค่อย ๆ ดับลง ซึ่งหมายความว่าพวกเขาจำเป็นต้องพลิกหมูต่อไปเป็นเวลาสองชั่วยาม แม้จะไม่มีปัญหาในการพลิกหมู แต่เพียงการสูดดมกลิ่นหอมนี้โดยไม่สามารถกินมันได้ เป็นเรื่องที่โหดร้ายเกินกว่าเขาจะทนไหว
หลิงเยว่คิดไปว่าทั้งสองกำลังเศร้า เพราะพวกเขากลัวว่าจะไม่มีใครมาช่วย เด็กสาวจึงหันหลังกลับชี้ไปที่โม่จวินเจ๋อและอวี้รุ่ย
“หากมือของพวกท่านเจ็บ ก็สามารถขอให้สองคนนั้นมาแทนที่ได้นะเจ้าคะ”
มีคนจัดการกับหมูย่างแล้วหลิงเยว่ก็ไม่คิดที่จะอยู่ว่าง และวางแผนที่จะใช้สมุนไพรวิญญาณที่ปลูกเองจากดินที่มีคุณสมบัติธาตุต่าง ๆ เพื่อทำอาหารอื่น ๆ ที่แสนอร่อยเพิ่มอีก
กลิ่นหอมของหอกลั่นโอสถหมายเลขห้าถูกลมพัดโชยไปไกล และเมื่อกลิ่นหอมลอยไปถึงบริเวณสนามประลอง อวี้เจินก็พยายามขอให้ศิษย์น้องของนางพานางไปที่ยอดเขาโอสถทันที
“เจ้าได้กลิ่นอาหารหรือไม่? ศิษย์น้องหลิงคงกำลังเตรียมอาหารที่แสนหอมนี้ไว้เป็นพิเศษสำหรับข้าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเป็นแน่” อวี้เจินที่หมดสติไปเมื่อครู่ จู่ ๆ ก็ตื่นขึ้นมาหลังจากได้กลิ่นหมูย่างพัดโชยมา
ผู้ฝึกกายาทั้งสองที่อุ้มนางไม่อยากพูดคุยด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่ายอดเขาบ่มเพาะกายาของพวกเขาไม่มีโอสถสักหน่อย เหตุใดพวกเขาถึงต้องเดินอ้อมไกล ๆ ไปที่ยอดเขาโอสถด้วย?
“เจ้าสองคนเดินให้เร็วมากกว่านี้สักหน่อยเถิด ขืนช้าเกินไป พวกเราจะไม่ได้กินแน่!”
อวี้เจินเร่งเร้าโดยหวังว่าตัวเองจะสามารถบินขึ้นไปได้ ทว่าน่าเสียดายที่ตอนนี้นางไม่มีปราณเหลืออยู่ในร่างกายอีกแล้ว หนำซ้ำยังมีกฎของยอดเขาบ่มเพาะกายาห้ามไว้…
“โอ้! เจ้าจะขึ้นไปบนยอดเขาโอสถด้วยหรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าขอล่วงหน้าไปก่อนแล้วกัน!”
ลู่เป่ยเหยียนที่นอนร่อแร่อยู่บนกระบี่บินของเขาบินคดเคี้ยวขึ้นไป เมื่อเขาบินผ่านหัวของอวี้เจินก็หยุดทักทาย ก่อนจะบินขึ้นไปบนยอดเขาโอสถอย่างกับงูเลื้อย
มีศิษย์สองคนจากยอดเขาหลอมศาสตราตามเขาไปด้วย และเสียงหวีดหวิวสองเสียงก็ดังขึ้นเหนือหัวของอวี้เจิน
อวี้เจินจะทนน้ำเสียงนี้ได้อย่างไร “รีบเอาอาวุธวิญญาณของเจ้าออกมาพาข้าบินไปเดี๋ยวนี้!”
“ผู้นำยอดเขากำหนดว่าศิษย์ทุกคนของยอดเขาบ่มเพาะกายาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้พาหนะวิญญาณภายในสำนัก เราพึ่งพาได้เพียงเท้าของเราเท่านั้นนะศิษย์พี่” ผู้ฝึกกายาอธิบายอย่างไม่แสดงสีหน้า
กฎบ้าบออะไรกัน!
เหตุใดศิษย์ของยอดเขาอื่นจึงสามารถบินได้ทุกเมื่อที่ต้องการเช่นนี้เล่า แต่นางกลับทำได้เพียงอาศัยความเจ็บปวดที่ขาเท่านั้น!
เมื่อกลับไปถึง นางจะต้อง… ช่างเถิด… ตอนนี้ยังเอาชนะอาจารย์ของนางไม่ได้ แต่เมื่อใดที่ชายชราวางมือแล้ว อวี้เจินจะยกเลิกกฎนี้ทันทีเมื่อนางเข้ารับตำแหน่งแทน!
อวี้เจินสาปแช่งอยู่ในใจ แต่ก็ทำได้เพียงยอมรับชะตากรรม และกระตุ้นให้พาหนะมนุษย์ทั้งสองรีบเร่งเท่านั้น
“วิ่งขึ้นไปเสีย!”
“ศิษย์พี่หญิง ท่านบาดเจ็บสาหัสภายในเช่นนี้ ถ้าเราวิ่งเร็วท่านจะกระอักเลือดก็ได้ และหากท่านหมดสติไปจะยิ่งไม่สามารถกินอาหารได้เลย”
อวี้เจิน “…”
ก็จริง… นางจะหมดสติลงตรงนี้ไม่ได้ และต่อให้จะหมดสติ ก็ควรไปเป็นต่อหน้าศิษย์น้องหลิงผู้เป็นคนจิตใจอ่อนโยนเท่านั้น ศิษย์น้องหลิงจะแบ่งอาหารส่วนใหญ่ไว้ให้นางอย่างแน่นอน
อวี้เจินจึงหลับตาลง สีหน้าของนางเริ่มเคลิบเคลิ้มมากขึ้น ยิ่งเข้าใกล้ยอดเขา กลิ่นหอมก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปอีก คุ้มค่าแล้วที่นางอุตส่าห์ลากร่างของตนเองขึ้นมา โดยไม่คาดคิดว่าคนแซ่ลู่ก็มีความคิดเช่นเดียวกับนาง!
แม้ว่าลู่เป่ยเหยียนที่นอนร่อแร่อยู่บนกระบี่บินจะบินอย่างคดเคี้ยว และบินไปตรงนู้นทีตรงนี้ที แต่เขาก็ยังไปถึงยอดเขาได้เร็วกว่าอวี้เจินหนึ่งก้าว
“ศิษย์… ศิษย์น้องหลิง!”
ลู่เป่ยเหยียนตะโกนคำนี้ด้วยกำลังเฮือกสุดท้าย ก่อนจะทนไม่ไหวและหมดสติกลางอากาศไปทันที แต่โชคดีที่ศิษย์ของยอดเขาหลอมศาสตราสองคนที่อยู่ข้างหลังเขาจับลู่เป่ยเหยียนได้ทันเวลา
หลิงเยว่ซึ่งยุ่งอยู่กับครัวรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว และรีบวิ่งออกไปทันที
“ศิษย์พี่ขอให้เราปกป้องเขาและพามาที่นี่”
ศิษย์สองคนส่งผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสให้กับหลิงเยว่ด้วยใบหน้าอมทุกข์
มุมปากของหลิงเยว่กระตุก แม้ว่าจะมีสภาพปางตายเช่นนี้ แต่อีกฝ่ายก็ยังอยากกินอยู่อีก!
“พาเขาเข้ามาเถิด”
ถือว่าเขาโชคดี นางเพิ่งได้รับโอสถดี ๆ มาจำนวนมาก
ทันทีที่ทั้งสองก้าวเข้าไปในหอกลั่นโอสถ คนที่นอนตายแทบจะหมดสติไปเมื่อครู่นี้พลันเบิกตาโดยไม่รู้ตัว และอุทานว่า “กลิ่นหอมนัก!”
จากนั้นเขาก็คอพับและเป็นลมไปอีกครั้ง แต่ใบหน้าของอีกฝ่ายดูจะไม่เจ็บปวดเหมือนในตอนแรกอีกแล้ว คราวนี้มีรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าแทน
คนรอบ ๆ “…”
นี่มันเกินไปหน่อยหรือไม่?