ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 88 ภาพลักษณ์อะไร? ของเช่นนั้นกินได้หรือ?
บทที่ 88 ภาพลักษณ์อะไร? ของเช่นนั้นกินได้หรือ?
บทที่ 88 ภาพลักษณ์อะไร? ของเช่นนั้นกินได้หรือ?
‘โอสถชนิดใหม่’ ที่จู่ ๆ ก็ปรากฏในงานเลี้ยงรับศิษย์ ทำให้เกิดความโกลาหล
หลิงเยว่ซึ่งอยู่บนยอดเขาโอสถ ยังคงเล่นกับกระโปรงใหม่ของนาง
วันนี้หลิงเยว่เด็กสาวใส่ชุดกระโปรงสีน้ำเงิน ใบหน้าเล็กสะท้อนอยู่ในกระจก ดวงตากลมโตของนางดูสุกใส ผมที่ยาวถึงเอวถูกปล่อยสยายอยู่บนแผ่นหลัง และบนศีรษะถูกปักด้วยปิ่นปักผมราชาดอกไม้เกล็ดหิมะ
หลิงเยว่จิ้มราชาดอกไม้เกล็ดหิมะดำน้อยที่กลายเป็นปิ่นปักผม และรอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็ค่อย ๆ สว่างขึ้น แม้จะดูแปลกไปสักหน่อย ทว่าก็ดูสวยงามหากมองนาน ๆ
ราชาดอกไม้ซึ่งถูกปลายนิ้วเล็กเรียวจิ้มยังคงไม่ขยับเขยื้อน มันทำหน้าที่เป็นปิ่นปักผมที่ควรจะไร้อารมณ์ตามหน้าที่
“ศิษย์น้องห้าเสร็จหรือยัง? งานเลี้ยงจะเริ่มขึ้นเร็ว ๆ นี้แล้ว ขืนช้าเราจะไปกินไม่ทันเอานะ!” ติงหลิวหลิ่วกอดอกและเดินอย่างกระวนกระวายใจออกไปนอกประตู
“จริง ๆ เลย! แค่สวมใส่เสื้อผ้า เหตุใดต้องใช้เวลานานถึงเพียงนี้ด้วยเล่า หากเจ้าไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรก็ขอให้ข้าศิษย์พี่สามของเจ้าช่วยสวมให้ก็ได้!”
“หุบปาก” ผู่ตานกลอกตาใส่ติงหลิวหลิ่วที่กำลังบ่นหลังจากหลิงเยว่เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า หูของเขาอื้อชาไปหมดแล้ว
“นี่มันใช่คำพูดที่เจ้าสมควรพูดกับศิษย์พี่สามของเจ้าหรืออย่างไรกัน!”
เพื่อไม่ให้ดูแย่ติงหลิวหลิ่วจึงโต้กลับ ทว่าสิ่งที่นางได้รับในท้ายที่สุดคือการเยาะเย้ยเหยียดหยามจากศิษย์น้องสี่
“พวกเจ้าสองคนอย่าทะเลาะกันเลย” ว่านอวี้เฟิงจ้องมองทั้งสองคน
ตอนนี้เหลือเพียงสี่คนบนยอดเขาโอสถ หลงหว่านโหรวในฐานะศิษย์เอกยอดเขาโอสถ จึงต้องรับหน้าที่พาเหล่าศิษย์ยกอาหารไปบริการอาหารแต่เช้า
วันนี้พวกเขาทั้งสามจึงทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันของหลิงเยว่ และพานางไปยังสถานที่จัดเลี้ยงอย่างปลอดภัย
หลิงเยว่เปิดประตู ในขณะที่รอยยิ้มบนใบหน้าของนางเกือบจะทำให้คนทั้งสามที่รออยู่ข้างนอกตาบอด
“ศิษย์น้องห้า เจ้าดูเรียบเกินไปหน่อยหรือไม่?” ติงหลิวหลิ่วกะพริบตา ยกเว้นสีชุดกระโปรงของหลิงเยว่ ทุกอย่างยังดูธรรมดาอยู่เช่นเดิม
“เหตุใดเจ้าจึงแต่งตัวธรรมดาเช่นนี้?”
แต่ผู่ตานมีมุมมองที่แตกต่างออกไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ “มีศิษย์กี่คนที่อยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณสามารถติดปิ่นปักผมเป็นราชาดอกไม้ระดับแปรสภาพบนศีรษะได้กันเล่า?”
“พวกท่านมีอย่างนางหรือ?”
เมื่อถูกถามเช่นนี้ ว่านอวี้เฟิงก็ได้แต่ส่ายหน้า อันที่จริงมันน่าเศร้าที่ต้องพูดว่า แม้ในตอนนี้… เขาก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ
“ศิษย์น้องห้ายังเด็กอยู่ ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องแต่งตัวให้มากจนเกินไป เช่นนี้ดีแล้ว เรียบง่าย หรูหราและน่ารักอยู่ในที”
จู่ ๆ ผู่ตานก็เหลือบมองติงหลิวหลิ่วที่แต่งหน้าหนา แล้วยังจะติดปิ่นปักผมบนศีรษะเต็มไปหมด
เมื่ออายุมากขึ้น ก็ต้องพึ่งสิ่งเหล่านี้…
“คนอย่างเจ้าจะรู้เรื่องความสวยงามได้อย่างไร!” ติงหลิวหลิ่วชี้หน้าผู่ตาน
เมื่อเห็นว่าทั้งสองกำลังจะทะเลาะกันอีกครั้ง หลิงเยว่ก็รีบจับทั้งคู่ด้วยมือคนละข้างแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะเจ้าค่ะ ใกล้จะสายแล้ว เดี๋ยวพวกเราจะอดกินข้าวเปล่า ๆ นะเจ้าคะ”
ผู่ตานเหลือบมองแขนของเขาที่ถูกจับ ก่อนจะพ่นลมหายใจเบา ๆ เขาไม่ได้สะบัดแขนออก
เมื่อทั้งสี่ไปถึงสถานที่จัดงานเลี้ยง พวกเขาก็ตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า ไม่สิ ยกเว้นหลิงเยว่ที่กำลังตื่นตระหนก
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญต่างสำนักจำนวนมาก จู่ ๆ หลิงเยว่ก็รู้สึกกลัว
ด้วยเด็กสาวอยู่ที่โลกนี้มาเกือบครึ่งปี แต่ก็ยังไม่เคยก้าวออกจากสำนักเลยสักครั้ง นางไม่เคยพบผู้บำเพ็ญคนใดจากโลกภายนอก แม้แต่คนรู้จักก็ผ่านทางศิษย์พี่ของนางทั้งนั้น
ผู่ตานสังเกตเห็นชัดเจนว่าเด็กสาวที่กำลังจับแขนของเขาอยู่ กำลังบีบแขนแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“เจ้ากังวลอะไรกัน? ที่นี่คือถิ่นของเจ้าสำนักหลานเทียนนะ”
ใช่ เหตุใดนางถึงประหม่าเล่า ศิษย์น้องห้าเป็นตัวเอกของงานเลี้ยงวันนี้ ใช่แล้ว… นางเป็นตัวเอก ตัวเอกต้องมั่นใจและเฉิดฉาย!
ชิงยวนเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นการมาถึงของหลิงเยว่
ทันทีที่ชิงยวนยื่นมือออกไป หลิงเยว่ซึ่งแต่เดิมยืนอยู่บนพาหนะวิญญาณก็ลอยเข้ามาหานางในเวลาต่อมา
“ไม่ใช่ว่าพวกท่านอยากเห็นลูกศิษย์ที่รักคนที่ห้าของข้าหรือ?”
หลิงเยว่ซึ่งดึงดูดความสนใจได้มากลุกขึ้นยืนตัวตรงเกือบจะในทันที รอยยิ้มที่สงบและสุภาพปรากฏบนใบหน้าของนาง ก่อนจะก้มหัวลงเบา ๆ และทำความเคารพไปในทิศทางต่าง ๆ
สัมผัสวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนพยายามเจาะเข้าไปในร่างกายของหลิงเยว่ ทว่าพวกมันทั้งหมดกลับถูกชิงยวนปัดป้องออกไป
“หยุดสืบส่องได้แล้ว ลูกศิษย์คนที่ห้าของข้าบอบบางและอ่อนแอ นางไม่สามารถทนต่อการตรวจสอบของพวกท่านที่คุกคามเช่นนั้นได้”
ชิงยวนดึงหลิงเยว่ให้นั่งลงและตบหลังที่ตึงเครียดของลูกศิษย์เบา ๆ
“ผู้มีแก่นปราณทั้งห้า?”
ชายหัวโล้นที่นั่งอยู่ไม่ไกลร้องอุทาน ก่อนจะตบท้องของตนเองแล้วหัวเราะ “มีเพียงยอดเขาโอสถที่ร่ำรวยและทรงพลังเท่านั้นที่สามารถจ่ายได้ ฮ่า ๆ!”
“ท่านอาจารย์ ผู้มีแก่นปราณทั้งห้าคืออะไรหรือ?” ศีรษะโล้นเล็ก ๆ ที่อยู่ข้าง ๆ คนศีรษะโล้นใหญ่ถามอย่างสับสน
หลิงเยว่มองดูเจ้าของศีรษะโล้นเล็ก ๆ แล้วถอนหายใจ ภายในโลกบำเพ็ญเซียนมีคนน่าเกลียดไม่มากนัก พวกเขาดูเหมือนสัตว์อสูรตัวเล็ก ทว่าดวงตาของพวกเขากลับบริสุทธิ์มากเสียจนผู้คนสบตาตรง ๆ ไม่ไหว
พวกเขาควรเป็นหลวงจีนหรือผู้ฝึกวิถีพุทธใช่หรือไม่?
“เจ้าไม่อยากกินหรือ?”
โม่จวินเจ๋อที่อยู่ด้านข้างเม้มริมฝีปากอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นว่าหลิงเยว่ดูเหมือนจะมองไม่เห็นเขา
“เอ๋! ท่านก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือเจ้าคะ?”
หลิงเยว่ซึ่งในที่สุดก็เห็นคนรู้จัก พลันรู้สึกดีใจมากจนลืมตัวเบียดบรรพจารย์เล่อเหอที่กำลังเอาแต่กินออกไป และนั่งข้างชายหนุ่ม
เล่อเหอ “…”
เด็กสาวตัวเหม็นนี่เริ่มไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่เสียแล้ว รอให้ข้ากินอิ่มก่อนเถอะ จะข้าสั่งสอนนางอย่างแน่นอน!
เล่อเหอหยิบปีกนกย่างขึ้นมาแล้วกัดฉีกมันออกจากกัน ซึ่งทำให้ริมฝีปากของชิงยวนกระตุก นางอดไม่ได้ที่จะดึงแขนเสื้อของเขา “ท่านบรรพจารย์โปรดใส่ใจกับภาพลักษณ์ของตนเองด้วย!”
“ภาพลักษณ์อะไร ของเช่นนั้นมันกินได้หรือ? เฮอะ!” เล่อเหอสะบัดชิงยวนแล้วกินต่อ
ชิงยวน “…”
แต่เดิมชายหนุ่มไม่มีความสุขนัก ทว่ากลับยกมุมปากขึ้นทันที เมื่อได้ยินประโยคจากปากหลิงเยว่ที่ว่า “ข้ามองหาท่านอยู่ตั้งนานเจ้าค่ะ”
มีคนไม่มากที่โต๊ะ ยกเว้นผู้ฝึกวิถีพุทธเด็กและแก่ที่หลิงเยว่เพิ่งพบก็มีอีกหกคน ซึ่งทั้งหมดมาเป็นคู่หนึ่งเด็กหนึ่งแก่เช่นกัน
“พวกท่านไม่อยากกินหรือเจ้าคะ?”
หลิงเยว่พบว่ามันน่าทึ่งมาก ที่มีผู้คนสามารถเผชิญหน้ากับอาหารอร่อย ๆ บนโต๊ะใหญ่ ในขณะที่ยังคงสงบสติอารมณ์และไร้สีหน้าเช่นนั้นได้
ลืมเรื่องพวกคนแก่ไปเสีย แต่เหตุใดกระทั่งเด็กชายหัวโล้นที่ดูแก่กว่านางไม่กี่ปี กลับอดกลั้นได้กัน?
ถ้าไม่ใช่เพราะเล่อเหอที่กำลังกินอาหารอยู่ หลิงเยว่คงจะสงสัยในทักษะการทำอาหารของตนเองแล้ว
“มันอร่อยนะ” เด็กชายหัวโล้นตัวน้อยยิ้มให้หลิงเยว่ ทว่าท่าทียังคงนิ่งเฉยราวกับว่าอาหารตรงหน้าเป็นเพียงธาตุอากาศ แต่เขากลับสนใจนางมากขึ้น
“ท่านกินมังสวิรัติเท่านั้นหรือเจ้าคะ?”
เด็กชายหัวโล้นตัวน้อยส่ายหัวแล้วพูดว่า “อาตมาน้อยผู้นี้งดอาหาร”
“แล้วท่านกินยารักษาเมื่อได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
เด็กชายหัวโล้นตัวน้อยตกตะลึงและพยักหน้า
“นี่ก็เป็นโอสถเหมือนกัน เหตุใดท่านไม่ลองดูล่ะ”
หลิงเยว่ยื่นเชียนเฉิงเกาชิ้นหนึ่งให้กับเด็กชายหัวโล้นตัวน้อย
หัวโล้นเล็กมองดูหัวโล้นใหญ่อย่างลังเล และหัวโล้นใหญ่ก็ยิ้ม “กินเถิด”
“อาจารย์ เจ้าหัวโล้นตัวน้อยกินได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็กินได้ใช่หรือไม่?”
เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่นั่งในแนวทแยงมุมตรงข้ามกับหลิงเยว่ จ้องมองขนมที่สวยงามบนโต๊ะอย่างปรารถนา เห็นได้ชัดว่าเด็กหญิงผู้นั้นเหมือนกับแมวตัวน้อยที่กำลังกระหาย
“กินเลย กินให้หมดทุกอย่าง เจ้ายังเด็กนัก เหตุใดถึงต้องถูกห้ามกินเล่า?”
เล่อเหอเหลือบมองไปด้านข้าง ในขณะที่ชายวัยกลางคนกำลังจะปฏิเสธ
“ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องขอรบกวนท่านบรรพจารย์แล้ว”
ชายวัยกลางคนยิ้มและมองไปที่หลิงเยว่ “ฝึกฝนแก่นปราณครบทั้งห้าธาตุ ปิ่นปักผมราชาดอกไม้ขั้นแปรสภาพ ช่างน่าทึ่งมาก…”
“เขาคือท่านอินชี่ เจ้าสำนักของสำนักชิงอินอยู่ในขอบเขตบำเพ็ญเต๋าช่วงกลาง” โม่จวินเจ๋อเตือนหลิงเยว่ด้วยเสียงต่ำ
ที่แท้ก็เป็นเจ้าสำนักของสำนักชิงอินที่โด่งดังในการเป็นผู้ฝึกสังคีต!
ผู้ฝึกฝนด้านเสียงนั้นหายากพอ ๆ กับผู้ฝึกค่ายกลและผู้ฝึกยันต์!
ไม่มีผู้ฝึกสังคีตในสำนักหลานเทียน ซึ่งทำให้หลิงเยว่มองไปที่อินชี่ด้วยความสนใจ อาวุธของเขาจะเป็นอย่างไรนะ?
และอาวุธของสาวน้อยคนนั้นคืออะไร?
ข้าอยากเห็นมันจริง ๆ
อินชี่รู้สึกอึดอัดเมื่อถูกจ้องมองด้วยดวงตาที่แทบจะลุกเป็นไฟของหลิงเยว่
“เหตุใดเจ้าถึงมองข้าเช่นนี้เล่า?”
หลิงเยว่ยิ้มอย่างไร้เดียงสา “ข้าอยากรู้ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นผู้ฝึกสังคีตเจ้าค่ะ”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ชิงยวนก็กลายเป็นเป้าสายตาของผู้คนจำนวนมาก
ชิงยวนที่กำลังกินขนมชิ้นเล็ก “…”
พวกเจ้ามองอะไรกัน?
คิดว่าข้าขังหลิงเยว่ไว้แต่ในสำนักไม่ยอมให้ออกไปเห็นโลกภายนอกหรือ?
เห็นข้าเป็นคนเช่นนั้นจริง ๆ หรือ? ฮึ่ม!