ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 89 กับดักหนุ่มหล่อ? มันใช้งานไม่ได้ต่อข้า!
บทที่ 89 กับดักหนุ่มหล่อ? มันใช้งานไม่ได้ต่อข้า!
บทที่ 89 กับดักหนุ่มหล่อ? มันใช้งานไม่ได้ต่อข้า!
ขณะที่หลิงเยว่กำลังรับประทานอาหาร จู่ ๆ นางก็จำภารกิจของนางได้ และมองตรวจสอบที่หน้าต่างความคืบหน้าภารกิจ
[ได้รับการยอมรับจากผู้บำเพ็ญ 10,000 คน ความคืบหน้าภารกิจขณะนี้ 774/10,000 คน]
“…”
ที่นี่มีแขกมากกว่าสองหมื่นคน แต่นี่คือผลลัพธ์หรือ?
หลิงเยว่ไหล่ตก ทุกคนรอบตัวชอบกินอาหารของนางอยู่ชัด ๆ และถูกขุนจนกลายเป็นนักชิมตัวยงไปเสียแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอาหารอร่อยเช่นนี้ หนำซ้ำยังมีคนประชาสัมพันธ์ที่รูปงามอยู่หลายคน รวมไปถึงคนระดับสูงของสำนักอีกสามคนที่โต๊ะก็ต่างพูดส่งเสริม ทว่าแขกส่วนใหญ่กลับยังคงเมินเฉย เอาแต่จิบชานมทีละน้อยเท่านั้น
“เหตุใดพวกท่านทั้งสามไม่เห็นแก่หน้าข้าเลย?”
ขณะที่หลิงเยว่กำลังจะหยิบชานมสมุนไพรวิญญาณหายากออกมา และตั้งใจจะเสนอให้แขกชราจากสามสำนักดื่ม ชิงยวนก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน
มันเป็นคำพูดที่หลิงเยว่น้อยผู้น่าสงสารไม่กล้าคิดฝัน
หญิงสาวรูปงามที่เงียบงันในหมู่แขกทั้งสามมองไปยังชิงยวน นางจิบชานมอย่างสงบก่อนจะพูดว่า “เท่านี้ก็ถือว่าข้าไว้หน้าท่านแล้วใช่หรือไม่?”
“ไม่! วันนี้พวกเจ้าต้องชิมอาหารและขนมทั้งหมด ไม่เช่นนั้นก็จะไม่มีใครได้ออกไปจากที่นี่สักคน!”
เล่อเหอถือตีนเป็ดย่างไว้ในมือแล้วชี้ไปที่แขกทั้งสาม เขาไม่ยอมให้อาหารจานโปรดของเขาโดนดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้ นี่มันไม่ต่างอะไรกับการทำให้บรรพจารย์อับอาย!
ชิงยวนปิดปากแล้วยิ้ม ด้วยเหตุนี้นางจึงอยากนั่งโต๊ะเดียวกันกับบรรพจารย์ ใครก็ตามที่ไม่ไว้หน้าเขา เขาก็จะไม่ไว้หน้าคนเหล่านั้นแม้แต่เศษส่วนเดียว
อินชี่ หัวโล้นใหญ่ หญิงรูปงาม “…”
ยังคงมีนิสัยเอาแต่ใจจอมบงการเช่นเดิม… พวกเขาไม่ควรมานั่งร่วมโต๊ะนี้เลยตั้งแต่แรก!
หญิงรูปงามหยิบถ้วยขึ้นมาอีกครั้งพลันดื่มชานมจนหมด หลังจากดื่มแล้ว สีหน้าของนางยังคงไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม เด็กชายอ้วนตัวน้อยที่อยู่ข้าง ๆ กันนั้นกลับกลืนน้ำลายไปอึกใหญ่ เขาถือขานกย่างที่ถูกกัดจนเกลี้ยงด้วยมือข้างหนึ่ง อีกมือหนึ่งกำลังยัดหมูทอดเข้าปาก สุดท้ายจึงดื่มชานมและกัดขานกเข้าไป
คนที่ร่วมโต๊ะอย่างไม่ถือตัว และมีความอยากอาหารมากที่สุด คือเด็กชายอ้วนตัวน้อยคนนี้
“ท่านแม่ หากท่านไม่อยากกินส่วนของท่านก็ให้ลูกชายคนนี้ช่วยกินเถิด”
เด็กชายอ้วนตัวน้อยออกตัวไปเช่นนั้น ก่อนจะหยิบชานมต่อหน้าหญิงรูปงามมาดื่มหมดในอึกเดียว มันช่างน่ายินดีนัก
เล่อเหอรู้สึกขบขันเมื่อเห็นว่าเด็กคนนี้ยังคงอยากอาหารอยู่
“อาจารย์ ถ้าท่านไม่อยากกิน ลูกศิษย์ของท่านสามารถช่วยได้นะ”
เด็กชายหัวโล้นตัวน้อยเหมือนถูกปลดผนึกทันทีหลังจากกินเชียนเฉิงเกาชิ้นหนึ่ง เขากินขนมส่วนใหญ่บนโต๊ะแล้ว แม้ว่าจะกินเร็ว แต่ก็ไม่ได้กินมูมมามเหมือนอย่างเด็กชายอ้วนตัวน้อย แต่ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ยังคงมีความเป็นเด็ก ดังนั้นบนใบหน้าของเขาจึงยังคงมีเศษขนมเลอะอยู่มาก
เด็กหญิงตัวน้อยที่อยู่ตรงข้ามกำลังรับประทานอาหารอย่างมีมารยาท ดูเหมือนนางจะกลัวเจ้าสำนักอินชี่จริง ๆ เด็กหญิงกินไปคำหนึ่งพลางลอบมองดูอาจารย์ทีหนึ่ง ท่าทางหวาดระแวงของนางดูน่าสงสารนัก
“คนที่ไม่รู้คงคิดว่าอาจารย์เช่นข้าชอบลงมือทำร้ายเจ้าเป็นปกติอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแน่” อินชี่พูดอย่างช่วยไม่ได้ด้วยความขบขัน “เจ้ากินเถิด วันนี้ไม่มีข้อจำกัดว่าเจ้าจะกินอะไรได้บ้าง”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา เด็กหญิงตัวน้อยก็พลันยิ้มหวาน
“ศิษย์พี่หลิงเยว่ ท่านทำทุกอย่างนี้หรือ? ช่างน่าทึ่งนัก!”
ดวงตาของเด็กหญิงตัวน้อยเต็มไปด้วยประกาย นางอ้าปากและกัดขนมทีเดียวครึ่งชิ้นจนแก้มป่องออก ไม่นานดวงตาก็เต็มไปด้วยความชื่นชมต่อหลิงเยว่
“สิ่งที่เจ้ากินตอนนี้ทำโดยศิษย์พี่สามของข้า” หลิงเยว่จะทำอาหารให้คนจำนวนมากเพียงลำพังได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น นักกลั่นโอสถทั้งหมดจากยอดเขาหลักก็ถูกระดมพลเพื่อช่วยกันทำมันทั้งเดือน คาดว่าสุดท้ายหลังจบงานคงจะมีอาหารเหลือเยอะเป็นแน่
ท้ายที่สุดแล้วมีผู้บำเพ็ญที่งดอาหารไม่กี่คนยินดีที่จะไว้หน้าบรรพจารย์ พวกเขาลองชิมดู ส่วนใหญ่ผู้ที่ลองชิมก็เป็นผู้บำเพ็ญรุ่นเยาว์ทั้งนั้น
“อย่างไรก็ตาม ถ้าเจ้ารู้สึกว่าตนเองยังกินไม่เพียงพอ ก็สามารถไปที่นั่นได้…”
หลิงเยว่ชี้ไปที่ใจกลางจัตุรัส มีผู้คนมากมายอยู่รอบโต๊ะยาว ดังที่หลิงเยว่เห็น ส่วนใหญ่เป็นศิษย์หนุ่มกำลังรับประทานอาหาร ในขณะที่ผู้สูงวัยก็มองดูพวกเขาอย่างเมตตา แต่แน่นอนว่ามีผู้บำเพ็ญระดับสูงที่แอบกินอย่างลับ ๆ ราวกับว่าการรับประทานของอร่อยนั้นเป็นสิ่งที่น่าละอาย
ทว่าผู้บำเพ็ญที่โลภมากบางคนก็ทำให้หลิงเยว่พูดไม่ออก แม้พวกเขาจะแอบเก็บอาหารไว้ในแหวนมิติอย่างแนบเนียน แต่ปริมาณอาหารบนโต๊ะก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
“ศิษย์พี่หญิงอวี้ ท่านกำลังทำอะไรอยู่เจ้าคะ?”
มือของอวี้เจินสั่นเทาขณะที่นางแอบยัดอาหารเข้าไปในแหวนมิติ และยิ่งใจกล้ามากขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นหลิงเยว่
“ข้าจะไปที่สำนักจ้านเจี้ยนในอีกสองวัน นั่นเป็นการเดินทางที่ยาวนาน ดังนั้นข้าต้องนำติดตัวไปมากขึ้นอีกหน่อย” อวี้เจินพูดขณะกำลังยัดชิ้นเนื้อเข้าปาก และโบกมือให้หลิงเยว่มองไปข้าง ๆ “ดูสิ แขกพวกนั้นไม่ยอมกินกันเลย หลังจากนี้มันคงจะเหลือและเสียเปล่า ๆ ไปแน่…”
“ใช่แล้ว ศิษย์พี่หญิงพูดถูกเจ้าค่ะ!”
ถัดจากอวี้เจินคือ สือเชี่ยน ฉีซิวซี อวี้รุ่ย และผู้ฝึกกายาอีกหลายคน ซึ่งกำลังแอบยัดอาหารลงในถุงเก็บของอย่างจริงจัง
“เดี๋ยวนะ… ถ้าข้าจำไม่ผิด ท่านไม่จำเป็นต้องไปที่สำนักจ้านเจี้ยนนี่?” หลิงเยว่ดึงสือเชี่ยน ขณะงุนงงกับภาพตรงหน้า
ปรากฏว่าอวี้เจินกลับหูทวนลม นางเพียงเบือนหน้าหนีและยัดอาหารลงถุงเก็บของต่อไปโดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ของตัวเองเลย
“เจ้าจะไปรู้อะไร เราต้องพาศิษย์พี่ใหญ่ไปทำสงครามเชียวนะ!”
หลิงเยว่รู้สึกเหนื่อยใจ ก่อนจะมองไปรอบ ๆ ศิษย์ทั้งหมดของสำนักหลานเทียนกำลังแอบยัดอาหารใส่ถุงเก็บของแทบทั้งนั้น
“เอ่อ… ศิษย์พี่หลิงเยว่ ข้าขอเก็บอาหารไปกินระหว่างทางด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ” เด็กหญิงตัวน้อยที่เดินตามหลิงเยว่มาไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นภาพตรงหน้าเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพร้อมกับความคาดหวัง
“ข้าเองก็ขอด้วย!”
เด็กชายอ้วนตัวน้อยไม่รอคำตอบของหลิงเยว่เลย ก่อนจะคว้าอาหารวิญญาณแบบพิเศษโดยเฉพาะเนื้อย่างด้วยท่าทีเหมือนโจรที่กำลังข้ามพรมแดนโดยไม่ทิ้งอะไรไว้เบื้องหลัง
เด็กชายหัวโล้นตัวน้อยเหลือบมองหลิงเยว่ก่อนจะหยิบขนมชิ้นเล็ก ๆ มาใส่ในถุงเก็บของ เมื่อเห็นว่านางยังคงเงียบเขาก็หยิบอีกและหยิบเรื่อย ๆ จนสุดท้าย… เขาหยิบขนมต่าง ๆ ไปถึงหนึ่งในสามของโต๊ะวางขนม!
“แล้วข้า…”
โม่จวินเจ๋อยื่นมือออกไปจะหยิบบ้างแต่หลิงเยว่ก็ดึงเขาออกไปทันที ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความคับข้องใจ นางไม่ห้ามคนอื่นแต่เหตุใดมาห้ามเขาเล่า?
“ข้าจำได้ว่าตนเองได้ให้ถุงเก็บของที่เต็มไปด้วยอาหารแก่ท่านแล้วนี่เจ้าคะ?”
“ใครจะรังเกียจที่จะมีอาหารเก็บไว้มากขึ้นกันเล่า”
ขนตายาวหนาของชายหนุ่มสั่นเทา ทว่ามือของเขายังคงเหยียดออกไปหาขนมทุกชนิดและหวานเย็นสมุนไพรวิญญาณ น้ำแข็งใส… นี่คือสิ่งที่หลิงเยว่เคยบอก ซึ่งเขายังไม่ได้ลองชิมดูเลย มันดูน่าอร่อยนัก
อืม… ขนมชิ้นเล็ก ๆ นี้ที่ปกคลุมไปด้วยผลไม้วิญญาณสีสันสดใสดูสวยงามและน่าอร่อย ดังนั้นควรหยิบมันไปด้วยเช่นกัน
ช่างเถอะ ๆ หลิงเยว่ตัดสินใจยอมแพ้กับความตะกละของโม่จวินเจ๋อ
จริง ๆ แล้วมันเป็นดังที่อวี้เจินพูดไว้ คงจะเสียเปล่าถ้าอาหารมีเหลือมากเกินไป
หลิงเยว่ที่มองดูความคืบหน้าของภารกิจอีกครั้งและรู้สึกผิดหวังมากขึ้น แม้จะผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว แต่จำนวนคนที่ชื่นชมอาหารยังมีไม่ถึงหนึ่งพันคนเสียด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่าภารกิจนี้คงจะไม่สำเร็จเป็นแน่
ระบบสุนัขเอ๊ย!
ระบบน่าจะรู้อยู่แล้วว่านางคงทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จแน่ แต่เหตุใดกลับออกภารกิจเช่นนี้มาด้วย? ไม่เห็นจำเป็นต้องประกาศภารกิจออกมาเลย!
“ไม่เพียงกินได้เท่านั้น แต่ยังเอากลับไปได้ด้วยหรือ?”
ผู้บำเพ็ญหนุ่มจากสำนักอื่นถูกปลุกเร้าด้วยการกระทำอันไร้ยางอายของศิษย์สำนักหลานเทียน เมื่อเห็นว่าอาหารที่ยังไม่ได้ชิมบนโต๊ะเริ่มน้อยลงเรื่อย ๆ ร่างกายของเขาก็ตอบสนองเร็วกว่าสมอง พลันหยิบขึ้นมายัดใส่ถุงเก็บของ การเคลื่อนไหวทั้งหมดของผู้บำเพ็ญหนุ่มราบรื่นมาก ราวกับเคยเป็นโจรมาแล้วเป็นสิบปี
ทุกคนที่อยู่รอบโต๊ะยาวเริ่มลงมือเก็บอาหาร ทันใดนั้นอาหารก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“นี่คือสิ่งที่ข้าชอบ ข้าเห็นมันก่อน!”
“เอาน่า ตรงนั้นก็มีอีกไม่ใช่หรือ?”
“อ้าว ขนมดอกท้อหายไปไหนเสียแล้ว!”
“อย่าเบียดข้าอย่างหยาบคายเช่นนี้สิ! อย่าลืมว่าที่นี่คือสำนักหลานเทียน ทำอะไรก็ช่วยเกรงใจกันสักหน่อยเถิด!”
ภาพความวุ่นวายและอึกทึกครึกโครมบังเกิดขึ้นอีกครั้ง มีคนเกือบทะเลาะกันเพราะน่องไก่
ไม่สิ การต่อสู้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วต่างหาก
หลิงเยว่ยืนมองจากระยะไกล ขณะถือชามน้ำหวานจากต้นซู่ก้าน*[1] ในมือพลางรับชม แม้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมามันจะแตกต่างจากที่นางคาดหวัง แต่อย่างน้อย ๆ ในแง่ของการประชาสัมพันธ์อาหารวิญญาณก็ถือได้ว่าไม่ล้มเหลวใช่หรือไม่?
[1] ต้นป็อปลาร์