ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 9 ทุกคนมีอาจารย์แต่นางไม่มี
บทที่ 9 ทุกคนมีอาจารย์แต่นางไม่มี
บทที่ 9 ทุกคนมีอาจารย์แต่นางไม่มี
โม่จวินเจ๋อจ้องไปยังเนื้อวัวที่คีบขึ้นมาจากน้ำแกงเผ็ดในถ้วยน้ำจิ้ม เขาลังเลที่จะขยับตะเกียบ
หลิงเยว่มองด้วยความขบขัน
“ศิษย์พี่โม่ ท่านไม่กล้ากินหรือ?”
อวี้เจินสุมไฟเข้าไปอีก
โม่จวินเจ๋อไม่แม้แต่จะเหลือบมองอวี้เจินด้วยซ้ำ คิดว่าข้าไม่กล้ากินมันจริง ๆ หรือ?
ทันทีที่ชิ้นเนื้อเข้าปาก เขาก็ขมวดคิ้ว ดวงตาพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิง ปลายลิ้นชา และใบหน้าที่เคยขาวราวกับหิมะก็กลายเป็นแดงก่ำจากความเผ็ดร้อน!
หลิงเยว่หันกลับไป ขณะกำลังจะแอบหัวเราะอีกฝ่าย นางก็ได้เห็นคนสองคนยืนอยู่ข้างหลัง จึงลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ
“ท่านเจ้าสำนักเล่อเหอ… ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้เจ้าคะ?”
เล่อเหอพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิดก่อนจะเดินมาดึงลูกศิษย์อกตัญญูที่ทำเป็นเพิกเฉยต่อเขาออกไป และลงไปนั่งแทนที่อย่างเอาแต่ใจ
หลิงเยว่เข้าใจในทันที ก่อนหยิบถ้วยน้ำจิ้มออกมาสองใบอย่างรวดเร็ว แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าอีกคนหนึ่งคือใคร แต่คนที่สามารถมากับเจ้าสำนักเล่อเหอได้ย่อมเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
โม่จวินเจ๋อซึ่งดูเหมือนจะคุ้นเคยกับความเจ้าอารมณ์ของอาจารย์ตัวเองก็ควักเอาเก้าอี้สองตัวออกมาจากแหวนมิติอย่างใจเย็น
“อาจารย์… ท่าน… ท่าน… ก็มาที่นี่ด้วย!”
ปากของอวี้เจินอัดแน่นไปด้วยเนื้อวัว ทำให้นางพูดอย่างตะกุกตะกัก ไม่มีเวลาแม้แต่จะเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างบ้าคลั่ง นางรีบดึงเก้าอี้ที่โม่จวินเจ๋อเพิ่งหยิบออกมา เลื่อนให้อาจารย์นั่ง “อาจารย์นั่งลงก่อนเถิด เนื้อนี้อร่อยมากเลย!”
ที่แท้อีกคนหนึ่งก็คืออาจารย์ของอวี้เจินซึ่งเป็นผู้ดูแลยอดเขาบ่มเพาะกายา สยงฉีเลวี่ย!
หลิงเยว่อยากจะร้องไห้เพราะความอิจฉา นางเองก็อยากมีอาจารย์เช่นกัน
ทันทีที่สยงฉีเลวี่ยตัวสูงนั่งลง หลิงเยว่ก็รู้สึกเหมือนอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจ แต่นางยังคงเสนอถ้วยน้ำจิ้มให้ แต่กลับถูกปฏิเสธก่อนที่จะอ้าปากพูดด้วยซ้ำ
“ข้ากินโอสถงดธัญพืชมาแล้ว”
สยงฉีเลวี่ยดันถ้วยน้ำจิ้มออกไปแล้วส่ายหน้า
“เฮอะ! เขาไม่ยอมกินเหมือนอย่างข้าหรอก เขาฝึกฝนหนักจนสมองเลอะเลือนไปหมด เต็มใจที่จะสละแม้กระทั่งอาหารอร่อย ๆ ของโลกนี้ และสุดท้ายก็ยังเก่งไม่เท่าข้าด้วยซ้ำ!”
เล่อเหอคือผู้ที่อยู่ในขอบเขตฝ่าทัณฑ์สวรรค์ขั้นสุดท้าย อยู่ห่างจากการพ้นโลกีย์เพียงก้าวเดียว เพียงประโยคนี้ของเขาก็ทำให้สยงฉีเลวี่ยที่อยู่ในขอบเขตฝ่าทัณฑ์สวรรค์ขั้นกลางหุบปากเสียสนิท
เป็นไปได้หรือไม่ว่าความก้าวหน้าที่รวดเร็วของเจ้าสำนักได้มาจากการกินจริง ๆ!?
ในช่วงต้นปีมีข่าวลือเช่นนี้ในสำนักซึ่งทำให้อาหารเป็นที่นิยมมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ผลลัพธ์ที่เห็น ๆ กันอยู่กลับไม่เป็นที่น่าพอใจและยากที่จะเข้าใจได้…
คำพูดของเจ้าสำนักเล่อเหอทำให้หลิงเยว่รู้สึกเหมือนนางได้พบกับคนสนิท!
“ท่านเจ้าสำนักโปรดลองสิ่งนี้เจ้าค่ะ!”
หลิงเยว่ตักลูกชิ้นใส่ในถ้วยน้ำจิ้มของเล่อเหอ ลูกชิ้นที่ถูกทุบโดยอวี้เจินนับครั้งไม่ถ้วนและถูกนางปรุงอย่างพิถีพิถันย่อมต้องอร่อยมากแน่นอน
“ได้เลย ข้าจะลองชิมมัน!”
เล่อเหอกัดลูกชิ้น แต่ด้วยความเด้งสู้ฟันลูกชิ้นก็เด้งกลับเข้าไปในถ้วยทันที
ฟุ่บ!
“เฮ้ย!”
เขาคีบมันขึ้นมาอีกครั้งแล้วยัดใส่ปากทั้งลูก!
จากนั้นเล่อเหอก็ได้สัมผัสกับลูกชิ้นที่เด้งดึ๋ง ภายในของมันเต็มไปด้วยน้ำแกงชุ่มฉ่ำ แผ่ซ่านอยู่ในปากของเขา
รสชาตินี้สุดยอดมาก!
เล่อเหอมองดูหลิงเยว่ด้วยความสงสัย จากนั้นจึงกินลูกชิ้นอีกลูก ในดวงตามีทั้งความสุขและสับสน
ถ้าพูดตามหลักเหตุผล เนื้อของวัววิญญาณระดับต่ำย่อมมีปราณน้อยมาก แต่ลูกชิ้นสองลูกที่เขาเพิ่งกินไปนั้นกลับมีปราณแฝงอยู่มากกว่าสองเท่าของเนื้อวัวปกติที่เขากิน และเขาคงไม่รู้สึกถึงมันได้เลยหากไม่ได้สังเกต
“เป็นอย่างไรบ้างท่านเจ้าสำนัก ไม่อร่อยหรือเจ้าคะ?”
หลิงเยว่รู้สึกไม่สบายใจเมื่อถูกมองเช่นนี้
“เจ้าทำมันด้วยวิธีการพิเศษหรือ?”
เล่อเหอชี้ไปที่ลูกชิ้น
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ”
อวี้เจินซึ่งรับผิดชอบในการทุบเนื้อวัวส่ายหัว
“เอาละ ดีมาก!” เล่อเหอยิ้มอย่างมีความสุข “เสี่ยวเยว่ เจ้าอย่าได้ยอมแพ้เส้นทางอาหารอร่อยนี้เป็นอันขาด ไอ้พวกคนที่งดเว้นธัญพืชจะไม่มีวันเข้าใจถึงประโยชน์ที่ได้รับจากอาหารหรอก!”
ต่อให้อาหารจะไม่มีประโยชน์ใด ๆ หลิงเยว่ก็จะไม่ยอมแพ้อยู่แล้ว ความรักในอาหารของนางอยู่เหนือชีวิต!
“ไม่เลิกแน่นอนเจ้าค่ะ!”
หลิงเยว่ส่ายหัว
“อร่อยสุด ๆ!”
หลังจากที่โม่จวินเจ๋อกินลูกชิ้น เขาก็ตกหลุมรักเนื้อสัมผัสที่เด้งดึ๋งชุ่มฉ่ำนี้ทันที
“โอ้ สวรรค์! เนื้อที่ถูกทุบนี้อร่อยเสียจริง!”
อวี้เจินยัดลูกชิ้นเข้าปากทีละลูกจนเต็มปากก่อนขบฟันเคี้ยว ความรู้สึกของการกินลูกชิ้นทีละหลายลูกในปาก ช่างวิเศษมากจนอดส่งเสียงร้องอย่างลิงโลดไม่ได้
หลิงเยว่รีบคว้าลูกหนึ่งเข้าปากเช่นกัน รสชาติดีกว่าที่นางคาดไว้
ลูกชิ้นที่ทำจากเนื้อธรรมดาก็อร่อยพอแล้ว ไม่ต้องพูดถึงลูกชิ้นที่ทำจากเนื้อวิญญาณเลย ไม่เพียงแต่จะอร่อยและชุ่มฉ่ำหลังจากกัดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น มันยังอัดแน่นไปด้วยปราณซึ่งกินแล้วแผ่ซ่านจากปากไปตามแขนขา ทำให้รู้สึกสบายตัวอย่างมาก
มื้อนี้อร่อยมากสำหรับทั้งสี่คน!
สยงฉีเลวี่ยนั้นงดเว้นธัญพืชมาหลายร้อยปี ทว่าเมื่อกลิ่นหอมของเนื้อวัวลอยเตะจมูก กลับทำให้เขารู้สึกอยากอาหารอย่างไม่รู้ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นคนอื่น ๆ กินเนื้อทีละชิ้นต่อหน้าเขา ไม่ว่าความตั้งใจของเขาจะแน่วแน่แค่ไหนก็ตาม บัดดี้กลับเริ่มจะหมดความอดทนไปทุกที
แต่เมื่อครู่เขาเพิ่งปฏิเสธไปเองนะ!
เขาแอบเตะเก้าอี้ของอวี้เจินอย่างลับ ๆ รอให้เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นเพื่อที่เขาจะได้ส่งสายตาไปทางถ้วยน้ำจิ้มใบใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ นาง ศิษย์รักของเขาจะต้องเข้าใจคำใบ้นี้อย่างแน่นอน!
“อาจารย์มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า ดวงตาของท่านเป็นตะคริวหรืออย่างไร?”
ใบหน้าของสยงฉีเลวี่ยพลันมืดมน
เขาอยากจะตบกะโหลกของศิษย์โง่เง่าคนนี้เสียจริง!
อึก!
พรูด!
โม่จวินเจ๋อเกือบสำลัก แต่เล่อเหอสำลักโดยทันที แต่การสำลักของเล่อเหอไม่สามารถหยุดจากการเยาะเย้ยได้เลย “ดวงตาของอาจารย์เจ้าไม่ได้เป็นตะคริว แต่เขาแค่บังเกิดความอยากอาหารเท่านั้น!”
ผิวสีข้าวสาลีของสยงฉีเลวี่ยผู้ถูกเปิดเผยพลันเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น
ในท้ายที่สุดหลิงเยว่ก็ต้องพูดช่วยเหลือและมอบถ้วยน้ำจิ้มให้กับสยงฉีเลวี่ย “ท่านอาจารย์สยง ท่านก็ลองดูสักหน่อยนะเจ้าคะ”
อวี้เจินหายจากอาการสับสนทันใด นางรีบคีบเนื้อและลูกชิ้นให้อาจารย์ที่รักของนางอย่างประจบประแจง “ท่านอาจารย์โปรดลองดู… มันอร่อยมากจริง ๆ!”
สยงฉีเลวี่ยพอใจกับอาหารตรงหน้าและไม่สนใจที่จะถูกเล่อเหอมองว่าเป็นเรื่องตลก แค่นี้ไม่เจ็บหรอก หน้าของข้าหนาจะตายไป!
ทันทีที่เนื้อวัวเข้าไปในปาก ฟันขบไปยังชิ้นเนื้อ ราวกับว่าร่างกายที่อยู่มาหลายร้อยปีของเขาถูกเปิดใช้งาน!
หลิงเยว่พยักหน้า
“เจ้ายังไม่มีอาจารย์ใช่หรือไม่ ข้ามีความสัมพันธ์อันดีกับผู้ดูแลยอดเขาโอสถ”
นี่หมายความว่าตราบใดที่นางทำให้ผู้อาวุโสท่านนี้มีความสุขกับมื้ออาหารของนางได้ในวันนี้ บางทีนางอาจจะมีอาจารย์ได้ด้วยหรือเปล่า!?
หลิงเยว่กลายเป็นเหมือนสุนัขขี้ประจบทันที นางรีบคีบเนื้อใส่ถ้วยของสยงฉีเลวี่ย “ผู้อาวุโสสยง ท่านกินนี่สิ กินให้มาก ๆ เลยนะเจ้าคะ!”
ราวกับว่ายังไม่เพียงพอ นางยังพูดเสริมอีกว่า “ข้าจะลวกเนื้อเพิ่มให้ท่านเอง!”
เล่อเหอและโม่จวินเจ๋อมองหน้ากันด้วยสายตาว่างเปล่า
“อาจารย์ ท่านกำลังถูกมองข้ามอยู่นะ”
โม่จวินเจ๋อสุมไฟทันที
คนอย่างข้าหรือถูกมองข้าม!?
เล่อเหอไม่ยินยอม เขาไม่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากผู้ทำอาหารจานนี้ด้วยซ้ำ ก่อนพูดอย่างเหน็บแนมว่า “เสี่ยวเยว่ แค่ปรมาจารย์ของยอดเขาโอสถนับว่าไม่มีอะไรพิเศษ ตราบใดที่ข้าอ้าปาก เจ้าสามารถเลือกปรมาจารย์ของทุกยอดเขาในสำนักได้ทั้งหมด รวมถึงเจ้าสำนักอย่างข้าด้วย!”
สยงฉีเลวี่ยกำลังเพลิดเพลินกับอาหารและไม่พูดอะไรสักคำ เขากินเนื้อวัวที่แสนอร่อยจากถ้วยอย่างมีความสุข
“เช่นนั้นผู้น้อยจะแสดงทักษะให้ท่านเห็นในวันนี้เจ้าค่ะ!”
หลิงเยว่ตัดสินใจทำอาหารอื่นอย่างเร่งด่วน
ดังนั้นนอกจากกลิ่นหอมของหม้อไฟแล้ว กลิ่นหอมอื่น ๆ ยังปรากฏที่ภูเขาด้านหลังด้วย
ยำเนื้อเสร็จก่อนเป็นอันดับแรก
[ท่านทำภารกิจหลักที่สามสำเร็จ! ท่านเตรียมอาหารวิญญาณระดับหนึ่งได้สำเร็จ ได้รับรางวัล ค่าพลังวิญญาณ +500 แต้ม อายุขัย +20 วัน ค่าพลังวิญญาณคงเหลือ 2,260 แต้ม อายุขัยคงเหลือ 84 วัน]
ภารกิจหลักที่สาม? มันยังไม่ได้แจ้งออกมาเลยไม่ใช่หรือ!
หลิงเยว่แอบมีความสุข ดูเหมือนว่านางจะทำภารกิจเสร็จก่อนกำหนดเสียแล้ว
จากนั้นอาหารอีกสามจานที่เหลือก็เสร็จสิ้น เนื้อยี่หร่าก้อนเต๋า เนื้อพริกไทยดำ และเนื้อหัวหอม เสียงของระบบก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
[ท่านทำภารกิจหลักที่สี่สำเร็จ! ท่านได้ใช้วัตถุดิบอย่างพลิกแพลง ด้วยวัวหนึ่งตัวสามารถทำให้ผู้กินพึงพอใจได้เกินหกคน ได้รับรางวัล ค่าพลังวิญญาณ +1,000 แต้ม อายุขัย +30 วัน ค่าพลังวิญญาณคงเหลือ 3,260 แต้ม อายุขัย 114 วัน]
ความประหลาดใจนี้เกิดขึ้นกะทันหันมาก หลิงเยว่ไม่อยากจะเชื่อเลย!
หากภารกิจหลักในอนาคตคือการใช้วัตถุดิบวิญญาณเพื่อทำอาหารอร่อยต่าง ๆ นางก็ไม่จำเป็นต้องรอให้ระบบออกภารกิจให้ก่อนแล้ว นางสามารถทำภารกิจให้สำเร็จล่วงหน้าได้เลย!
เพราะถึงไม่มีภารกิจที่แจ้งมาจากระบบนางก็จะทำอยู่ดี!
ทันทีที่อาหารเสร็จเรียบร้อย เล่อเหอก็หยิบเนื้อชิ้นที่มีกลิ่นหอมที่สุดขึ้นมาทันที มันกรอบนอกนุ่มใน เมื่อเคี้ยวกลิ่นหอมของเนื้อยังคงติดอยู่บนริมฝีปาก อบอวลอยู่ภายใน
เนื้อนุ่มอร่อย มีรสเปรี้ยวและเผ็ด
ทั้งหมดล้วนทำจากเนื้อวัว ทว่าแต่ละแบบรสชาติไม่ซ้ำ ทั้งยังอร่อยไม่แพ้กัน
เนื้อทั้งสี่จานถูกทุกคนยกเว้นหลิงเยว่รุมกินจนหมดอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น
“สาวน้อย เจ้านี่ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ” สยงฉีเลวี่ยยังมีอะไรอยากจะพูดอีกมาก
หลังรับประทานอาหาร หลิงเยว่ก็คิดว่านางควรจะเลื่อนขั้นขึ้นไปอยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสี่ แต่มันกลับยังไม่ขยับ…
หรือเป็นเพราะนางมีแก่นปราณมากเกินไป?
หลิงเยว่ควรถามปัญหานี้!
มีผู้ยิ่งใหญ่หลายคนอยู่ที่นี่ นางคงโง่มากถ้าไม่ถามออกไปตอนนี้ใช่หรือไม่?
“สำหรับผู้ที่มีแก่นปราณหลายชนิด ความเร็วในการฝึกฝนของพวกเขาจะช้ามาก การเลื่อนขั้นแต่ละระดับจะต้องใช้ปราณจำนวนมากกว่าคนปกติ แต่ก็มีข้อได้เปรียบเช่นกัน ผู้มีแก่นปราณมากในร่างจะเหมาะมากสำหรับการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ ถ้าหากอยู่ในระดับการฝึกตนที่เท่ากัน ผู้ที่มีแก่นปราณหลายชนิดจะได้เปรียบผู้ที่มีแก่นปราณเดี่ยวและแบบคู่อย่างเด่นชัด แค่รอให้คู่ต่อสู้ใช้ปราณจนหมดเพียงเท่านี้ก็สามารถเผด็จศึกได้ไม่ยากแล้ว” เล่อเหอพูดและมองไปที่โม่จวินเจ๋อ
โม่จวินเจ๋อ “?”
“ให้ข้าดูแก่นปราณของเจ้า”
หลิงเยว่ไม่ได้ปิดบังและยื่นมือออกไปอย่างจริงใจ ตอนนี้มันเป็นเวลาตัดสินแล้วว่านางจะสามารถมีอาจารย์ได้หรือไม่!
พลังที่อธิบายไม่ได้แพร่กระจายเข้ามาภายในร่างกายของนาง แต่หายไปในเวลาเพียงชั่วครู่
เล่อเหอซึ่งถอนจิตสำนึกของเขาออกไปแล้วรู้สึกราวกับว่าเขาเพิ่งถูกฟ้าผ่า เขาผ่านร้อนผ่านหนาวเห็นสิ่งต่าง ๆ มามากมาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นผู้ที่มีแก่นปราณครบห้าธาตุซึ่งมีระดับเกินแปดทั้งหมด และในจำนวนแก่นปราณทั้งหมด แก่นปราณพฤกษาถึงกับอยู่ในระดับเก้า!
“เจ้าหมีเฒ่า เจ้ามาดูสิ!”
ในตอนแรกสยงฉีเลวี่ยไม่รู้เหตุผล แต่หลังจากตรวจสอบแก่นปราณของหลิงเยว่แล้ว ทั้งร่างของเขาก็สั่นสะท้านทันที
มีแก่นปราณครบห้าธาตุไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่ทุกแก่นปราณมีระดับเกินแปดนั้นถือว่าสุดแสนจะผิดปกติ บุคคลเช่นนี้เหมือนเป็นโอรสสวรรค์ที่โปรดปรานชัด ๆ …
ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมมาก แต่…
“อาจารย์ มีอะไรผิดปกติกับศิษย์น้องหลิงหรือ?”
ทันใดนั้นอวี้เจินก็กังวลเมื่อเห็นว่าอาจารย์ทั้งสองเงียบ
หากคุณสมบัติของหลิงเยว่ต่ำเกินไป นางคงจะต้องตายบนลานประลองในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าใช่หรือไม่?
หลิงเยว่เองก็เริ่มรู้สึกแย่
“พรสวรรค์ยอดเยี่ยมมาก! หายากที่จะได้เห็นในอีกร้อยปี ไม่สิ พันปี!” ใบหน้าของสยงฉีเลวี่ยมีความซับซ้อนขึ้น
“หากเป็นผู้บำเพ็ญคนอื่น ๆ ที่ต้องการก้าวผ่านจากขั้นสามของขอบเขตกลั่นลมปราณไปขั้นสี่ พวกเขาอาจจำเป็นต้องใช้โอสถกลั่นลมปราณสามสิบห้าเม็ด แต่ของเสี่ยวเยว่อาจต้องการมากกว่าห้าสิบเม็ด!”
โอสถกลั่นลมปราณสามารถช่วยผู้บำเพ็ญเร่งการดูดซับปราณโดยรอบได้ ซึ่งช่วยเพิ่มระดับการฝึกตนของพวกเขา
“นั่นหมายความว่าผู้บำเพ็ญที่อยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณ หากต้องการก้าวผ่านขอบเขตนี้อาจต้องใช้หินวิญญาณระดับล่างราวห้าพันก้อน แต่ถ้าเป็นหลิงเยว่อาจต้องการมากกว่าห้าหมื่นก้อน?”
แม้ว่าโม่จวินเจ๋อจะถามออกมาเหมือนเป็นคำถาม แต่มันดูเหมือนเขาสรุปให้เรียบร้อยแล้ว
อวี้เจินมองไปที่หลิงเยว่โดยไม่รู้ตัว นาง… ได้ยินถูกใช่หรือไม่?
หลิงเยว่ที่จู่ ๆ ก็ได้ยินข่าวร้ายเช่นนี้รู้สึกว่าแข้งขาของนางอ่อนแรงจนแทบอยากจะร้องไห้
“อย่าด่วนร้องไห้ไปเลย” เล่อเหอหัวเราะอย่างเต็มที่กับการแสดงออกของหลิงเยว่ซึ่งเหมือนกับท้องฟ้ากำลังจะถล่ม “ปรมาจารย์แห่งยอดเขาโอสถอาจขาดแคลนอย่างอื่นแต่นางย่อมไม่ขาดแคลนโอสถและหินวิญญาณ เมื่อได้เห็นคุณสมบัติของศิษย์เช่นเจ้า นางจะต้องชอบเจ้ามากแน่ ๆ!”
“มาแล้วนั่น”
ทันทีที่สยงฉีเลวี่ยเอ่ยสำทับ หญิงงามที่ดูบริสุทธิ์ผู้มีใบหน้างามงดจนไม่มีใครเทียมสวมชุดสีฟ้าอ่อนก็เดินเข้ามา เมื่อนางเข้าใกล้ กลิ่นหอมของยาสมุนไพรจาง ๆ ก็ลอยอยู่ในอากาศ ทำให้จิตวิญญาณของผู้คนสดชื่นขึ้น