ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 93 วันนี้นิกายอสุภะจะต้องถูกทำลาย!
บทที่ 93 วันนี้นิกายอสุภะจะต้องถูกทำลาย!
บทที่ 93 วันนี้นิกายอสุภะจะต้องถูกทำลาย!
จู่ ๆ เมฆสีดำพลันปรากฏขึ้นภายในเขตอำนาจของสำนักหลานเทียน คนแรกที่สังเกตเห็นคือผู้อาวุโสเฉียนที่รับผิดชอบสถานที่นี้
เขารู้ว่าจุดเกิดเหตุนั้นเป็นตำแหน่งของหมู่บ้านต้าสี่ที่ถูกสังหารหมู่ ครั้นเกิดเรื่องเขาจึงรีบรุดไปยังที่เกิดเหตุโดยเร็ว ทว่าสุดท้ายก็สายเกินไปเสียแล้ว เพราะเมื่อไปถึง ทั้งหมู่บ้านก็เกิดไฟลุกท่วม และไม่มีผู้ใดรอดชีวิต เขารู้สึกเพียงว่า ‘ช่างน่าอนาถนัก’
ผู้อาวุโสเฉียนจึงทำได้เพียงเข้าไปในบ้านหลังที่ถูกไฟไหม้น้อยที่สุดและพบกับเบาะแส อย่างไรก็ตามเบาะแสนี้ไม่สามารถระบุตัวคนทำผิดได้ จึงทำได้เพียงอนุมานว่าระดับการบำเพ็ญของคนที่ลงมือน่าจะอยู่เหนือขอบเขตปฐมวิญญาณซึ่งเหนือกว่าตัวเขาเป็นแน่ โดยมีเป้าหมายคือหลิงเยว่ ซึ่งออกจากหมู่บ้านต้าสี่และได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์สายตรงคนที่ห้าของท่านผู้อาวุโสชิงยวน!
อนาคตยากคาดเดา!
ทว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่ข้าเพิ่งตรวจสอบไปเพียงหนึ่งวันเท่านั้น
เส้นเลือดบนขมับของผู้อาวุโสเฉียนพลันปูดนูนขึ้น แต่เขายังคงบินไปที่นั่นอย่างรวดเร็ว
ชิงยวนผู้ได้รับข้อความจากลูกศิษย์คนที่สองของนางขอความช่วยเหลือมา จึงฉุดผู้อาวุโสใหญ่ที่ยังไม่รู้เรื่องรีบไปยังที่เกิดเหตุด้วยทันที
ในเวลาเดียวกันนั้น หญิงงามและเจ้าสำนักอินชี่ซึ่งแอบติดตามลูกชายและศิษย์เพียงคนเดียวของพวกเขา มาถึงที่เกิดเหตุก่อน แม้ไม่รู้ว่าชายหัวโล้นหายตัวไปที่ใด ทว่าโชคดีที่ยังมีผู้แข็งแกร่งสองคนซึ่งอยู่ในขอบเขตบำเพ็ญเต๋าคอยคุ้มกัน เช่นนั้นแล้วเด็ก ๆ จึงไม่น่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นอันตรายถึงชีวิต
ดังนั้นผู้แข็งแกร่งสามคนที่อยู่ในขอบเขตบำเพ็ญเต๋ารวมถึงผู้อาวุโสใหญ่ซึ่งอยู่ในขอบเขตทะยานเซียนจึงตามไปถึงพร้อมกัน
ขณะนี้หมู่บ้านต้าสี่ถูกปกคลุมไปด้วยมวลพลังแห่งความขุ่นเคืองสีดำทมิฬราวกับน้ำหมึก ผู้คนภายในไม่สามารถออกไปได้ และผู้คนภายนอกต่างใคร่ครวญอยู่ว่าจะฝ่าเข้าไปด้วยวิธีการรุนแรงหรือจะค่อย ๆ เจาะเข้าไปดี
“มาถึงตอนนี้แล้วไยต้องใคร่ครวญอะไรให้มากความอีก!” หญิงสาวอดกลั้นความโกรธไว้ไม่ได้ ในที่สุดนางก็มีลูกชายเหมือนคนอื่นเขาบ้างแล้ว หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาข้างในนั้นเล่า…
ไม่สิ! ลูกชายของนางจะเป็นอะไรไปได้อย่างไร นางติดสมบัติช่วยชีวิตให้ลูกชายไว้มากมายจนแทบแบกไม่ไหว หากเขาเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในระดับเดียวกับนาง ก็น่าจะพอต้านทานได้สักหนึ่งถึงสองกระบวนท่าบ้าง
หญิงสาวกลายร่างเป็นมือสีฟ้าโปร่งใสคู่หนึ่ง มือเหล่านั้นถูกสอดเข้าไปในหมอกสีดำและฉีกมันออกจากกันอย่างรุนแรง ชั้นของหมอกเหล่านั้นถูกฉีกออกราวกับกระดาษ แต่เพียงไม่นานมันก็กลับมาสมานตัวเป็นปกติอีกครั้งด้วยความเร็วที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
สถานการณ์นี้ทำให้หัวใจของทั้งสามที่อยู่ในขอบเขตบำเพ็ญเต๋าจมดิ่ง ระดับการบำเพ็ญของอีกฝ่ายอยู่เหนือกว่าพวกเขาเสียแล้ว!
ทันใดนั้นหญิงสาวก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง “ไม่นะ! เครื่องรางหยกช่วยชีวิตของลูกชายข้าพังไปแล้ว!”
ในเวลาใกล้ ๆ กันนั้น ชิงยวนยังสัมผัสได้ว่ายันต์วิญญาณช่วยชีวิตที่ติดอยู่บนลูกศิษย์ทั้งสี่นั้นได้พังทลายลงเช่นกัน ก่อนที่ดวงตาของนางจะปรากฏเป็นสีแดงเลือด พร้อมใบไม้สีเขียวที่ลอยออกมาจากหน้าผาก ทันใดนั้นก็พุ่งออกไปติดกับหมอกสีดำอย่างแม่นยำพลันส่องแสงเจิดจ้า ปรากฏเป็นแสงสีเขียวปกคลุมหมอกสีดำในพริบตา
“ทำลายมันให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
ทันใดนั้นแสงสีเขียวที่สุกใสพลันเปล่งแสงอันเจิดจ้าออกมาในทันที ทั่วทั้งบริเวณเอ่อล้นไปด้วยพลังที่ไม่มีจุดสิ้นสุดและ… เจตจำนงสังหาร!
แสงสีเขียวกลืนกินหมอกดำอย่างบ้าคลั่ง เคล้าด้วยเสียงของผีที่ร้องโหยหวนดังมาตามสายลม
“อาจารย์!”
ว่านอวี้เฟิงที่ยังมีสติอยู่หลังจากล้มลงกับพื้น ฝืนตะโกนทั้ง ๆ ที่ปากยังเต็มไปด้วยเลือด “ศิษย์น้องห้าถูกพาตัวไปทางนั้น!”
จากเก้าคนในตอนแรก อีกสองคนหายไป เหลือเพียงเจ็ดคนที่ล้มลงกับพื้น
ชิงยวนไม่กล้าเสียเวลาแม้แต่น้อย นางฉีกหมอกดำและพุ่งทะยานไปยังทิศทางที่ว่านอวี้เฟิงชี้ ไม่นานร่างของนางก็หายไปในทันที
ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวที่คิดได้คือ กายาต้านหายนะของหลิงเยว่ถูกเปิดเผยเสียแล้ว ไม่สิ บุคคลนั้นอาจรู้ก่อนหน้าพวกเขาด้วยซ้ำว่าหลิงเยว่เป็นคนที่มีกายาต้านหายนะ!
เพียงหลิงเยว่ออกจากสำนักครั้งแรก อีกฝ่ายก็ส่งคนที่แข็งแกร่งเหนือขอบเขตบำเพ็ญเต๋ามา เห็นชัดแล้วว่าอีกฝ่ายหมายจะทำลายผู้ที่มีกายาต้านหายนะให้ได้!
ขณะที่ชิงยวนรีบตามไปนั้น นางก็ส่งข้อความไปยังสำนักว่าตนไม่อาจต่อกรกับอีกฝ่ายได้ และต้องการกำลังสนับสนุน
“เจ้าเห็นชัดเจนหรือไม่” เจ้าสำนักอินชี่ประคองลูกศิษย์ของเขาให้ลุกขึ้นนั่ง
“ไม่… ข้าเห็นเพียงหมอกดำ” เด็กหญิงตัวน้อยที่ได้รับยารักษาตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงง “ทันทีที่มันมา เครื่องรางช่วยชีวิตของศิษย์ที่อาจารย์มอบให้ก็พังทลาย”
นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองโดนอะไรไป ทว่ากลับโชคดีมาก ด้วยหากไม่มีเครื่องรางช่วยชีวิต บางทีนางอาจจะกลายเป็นหนึ่งในวิญญาณอาฆาตของหมอกดำไปแล้ว
“ข้าเห็น… แค่ก ๆ เขาเป็นหนึ่งในสองราชาผีของนิกายอสุภะ” เสียงของเด็กชายหัวโล้นตัวน้อยดังขึ้น
“ดี! ดีมาก!”
ใบหน้าของหญิงสาวมืดมน ดวงหน้าที่สวยงามถูกปกคลุมไปด้วยหมอก นางประคองเด็กชายร่างอ้วนตัวน้อยขึ้นแล้วมอบให้ผู้อาวุโสใหญ่สำนักหลานเทียน “ในเมื่อพวกมันกล้าทำร้ายลูกชายของข้า ข้าจะทำลายนิกายอสุภะลงให้ได้เสียวันนี้!”
ทันทีที่พูดจบ ร่างของนางก็พลันหายไป
“ถูกต้อง! ทำลายนิกายอสุภะ!” เด็กชายอ้วนตัวน้อยแทบรอติดตามแม่ของเขาไปไม่ไหว แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาเป็นเพียงคนอ่อนแอ และสามารถช่วยเหลือแม่ได้โดยการให้กำลังใจเท่านั้น ด้วยไม่เคยต้องทนทุกข์ทรมานบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้มาก่อน เขาต้องแก้แค้นให้ได้!
อุ๊ย! มืออ้วน ๆ ของเขาดูเหมือนน้ำหนักจะลดลงแล้ว ต้องกินอะไรชดเชยเสียบ้าง
เด็กชายทำตามที่สมองสั่งโดยหยิบอาหารวิญญาณแบบพิเศษออกมาแอบกินอย่างเงียบ ๆ ไม่ให้ใครเห็น
“ศิษย์น้องหลิงจะเกี่ยวข้องกับนิกายอสุภะได้อย่างไร? นี่เป็นครั้งแรกที่นางออกจากสำนัก!”
“มันต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้แน่ ๆ”
ตรงกันข้าม ผู่ตานกลับเป็นคนที่สงบที่สุด เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นพยายามฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ เจ้าคนโฉด ราชาผีนิกายอสุภะช่างโหดเหี้ยมจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะมีเครื่องรางช่วยชีวิตคุ้มครอง เห็นทีทั้งเจ็ดคนคงไม่มีใครรอดมาได้เป็นแน่!
ในขณะนี้มีดวงแสงสีแตกต่างกันหลายดวงลอยมาจากทิศทางที่ต่างกันจากในสำนักหลานเทียน
เป้าหมายของพวกเขาคือทะเลทรายทางตอนเหนือที่อยู่ห่างไกลจากสำนักหลานเทียน ซึ่งเป็นอาณาเขตของนิกายอสุภะ
ชิงยวนค้นหาปราณหยินที่ทิ้งร่องรอยอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่สามารถตามทันได้ นางรู้สึกโกรธมาก
โธ่เอ๊ย!
ชิงยวนที่โกรธแค้นทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากเล่อเหอเท่านั้น
บรรพาจารย์เล่อเหอยังไม่ปรากฏตัว น่าจะเป็นเพราะเครื่องรางช่วยชีวิตของโม่จวินเจ๋อยังไม่พัง โชคดีที่อย่างน้อยก็พอจะรู้ได้ว่าทั้งสองยังมีชีวิตอยู่
“บรรพาจารย์เล่อเหอ! ศิษย์ของท่านและหลิงเยว่ถูกลักพาตัว!”
เมื่อได้รับข่าว เล่อเหอซึ่งกำลังเพลิดเพลินกับอาหารอร่อย ๆ ก็พลันเบิกตาโพลง ใครกันที่กล้ามาแตะต้องลูกศิษย์ของข้า!
ฮึ่ม!
เขาถือน่องไก่พลางลุกขึ้นฉีกมิติตรงหน้าแล้วเดินผ่านไป
ทุกคนในโลกบำเพ็ญเซียนรู้ดีว่าโม่จวินเจ๋อเป็นลูกศิษย์คนเดียวของเขา ดังนั้นถ้าเป็นคนที่ยังสติดีอยู่ย่อมไม่มีใครกล้าลักพาตัวโม่จวินเจ๋อแน่ เป็นไปได้ว่าลูกศิษย์ของเขาอาจจะถูกพาตัวไปโดยบังเอิญ และเป้าหมายที่แท้จริงของบุคคลนั้นคือหลิงเยว่
กายาต้านหายนะของนางถูกเปิดเผยอย่างนั้นหรือ?
ลำบากแน่! หากพวกสำนักอธรรมหรือโลกปีศาจรู้เรื่องนี้จริง หลิงเยว่ก็ตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว
ไม่สิ! บางทีกายาต้านหายนะอาจจะไม่ถูกค้นพบ ไม่อย่างนั้นหลิงเยว่ต้องถูกฆ่าแทนที่จะถูกลักพาตัวไป
ความเป็นไปได้ต่าง ๆ แล่นขึ้นมาในหัวของเล่อเหอ และในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ค้นพบเรื่องกายาต้านหายนะ แต่… บางทีอาจมีความลับอื่น ๆ ในตัวของเสี่ยวเยว่ที่ถูกเปิดเผยเมื่อนานมาแล้ว
เล่อเหอกัดน่องไก่ด้วยความโศกเศร้าโดยไม่รู้ว่าความลับอะไรที่ทำให้นิกายอสุภะลักพาตัวหลิงเยว่ไป ทั้งที่เป็นการเสี่ยงต่อการถูกทำลายของทั้งนิกาย
กลิ่นอันไม่พึงประสงค์ในอากาศยิ่งทำให้เล่อเหอตระหนักได้ว่า ผู้ก่อปัญหาคือหนึ่งในราชาผีของนิกายอสุภะอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังหมายความว่าโลกบำเพ็ญเซียนนั้นสงบสุขมานานเกินไป ถึงเวลาที่จะต้องตื่นตัวให้มากขึ้นแล้ว
ระหว่างที่ปากของเล่อเหอยังกินไม่หยุด เมื่อผ่านสถานที่แห่งหนึ่ง มือที่ถือน่องก็พลันชะงัก เขาออกจากช่องว่างมิติและนั่งยอง ๆ ต่อหน้าชายหนุ่มที่มีใบหน้าเย็นชาที่นอนอยู่บนพื้น
“ดูไว้เสีย นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากไม่ฝึกฝนให้ดี เจ้าไม่สามารถแม้แต่จะปกป้องสหายตัวน้อยของเจ้าได้” เล่อเหอซึ่งกำลังพูดประชดประชันพลางอุ้มโม่จวินเจ๋อขึ้นมา พร้อมยัดโอสถเข้าไปในปากของชายหนุ่ม
“อาจารย์… รีบไปช่วยหลิงเยว่เร็วเข้า…”
โม่จวินเจ๋อยังไม่อาจลืมตา ทำได้เพียงพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ไม่ต้องกังวล เสี่ยวเยว่จะไม่ตายในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน” เล่อเหอตบไหล่ลูกศิษย์เพื่อเป็นการปลอบ จากนั้นเปลี่ยนจากนั่งเป็นยืนดมกลิ่นในอากาศ เขาเปิดรอยแยกมิติอีกครั้งแล้วเดินเข้าไปเพียงลำพัง
ดูเหมือนว่าโม่จวินเจ๋อจะคุ้นเคยกับการเดินทางผ่านมิติของเล่อเหอ เขาจึงนั่งขัดสมาธิตรงจุดนั้นเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ ตอนนี้ชายหนุ่มทำได้เพียงรอฟังข่าวอย่างอดทนเท่านั้น
หากแม้แต่อาจารย์ของเขายังช่วยหลิงเยว่ไม่ได้ ต่อให้เขาไปด้วยก็ไม่มีประโยชน์อันใด…