ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 95 เสียงครวญครางเต็มพื้นและสัตว์อสูรคำราม!
บทที่ 95 เสียงครวญครางเต็มพื้นและสัตว์อสูรคำราม!
บทที่ 95 เสียงครวญครางเต็มพื้นและสัตว์อสูรคำราม!
หลิงเยว่ไม่รู้ว่ากลุ่มคนที่กำลังวิ่งตามเป็นพวกนักโทษ ทั้งหมดล้วนมีผมหงอกและยังแต่งกายแปลก ๆ อีกด้วย เด็กสาวไม่เคยสุงสิงกับพวกนักโทษเลย
“นี่ ทำไมเราไม่ใช้โอกาสนี้วิ่งหนีเล่า?”
“พวกหมวกแดงจับตาดูอย่างใกล้ชิด ยากที่จะหาโอกาส”
“หาเหยื่อสิ…”
ชายผู้มีคิ้วดุดันเบนความสนใจไปที่หลิงเยว่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพวกเขา โดยทั่วไปแล้วเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เช่นนี้ง่ายต่อการหลอกลวงนัก ตราบใดที่เขาหลอกล่อคนโง่ตัวน้อยผู้นี้ให้โจมตีพวกหมวกแดง นางจะทำมันอย่างแน่นอน ซึ่งนั่นจะช่วยให้พวกเขามีเวลาหลบหนีมากขึ้นนั่นเอง ท้ายที่สุดสิ่งที่เจ้าโง่ตัวน้อยเพิ่งทำลงไปนั้น แสดงให้เห็นว่านางมีความแข็งแกร่งยิ่ง!
“นั่นก็… ดูเข้าท่าดี ว่าแต่ทำไมข้าไม่เคยเห็นสาวน้อยคนนี้ในห้องขังอื่นเลยเล่า?” ชายที่เอ่ยปากว่าไม่เต็มใจหนี หันหลังแล้ววิ่งตรงไปหาหลิงเยว่
ชายสามคนที่อยู่เคียงข้างรู้ดีว่าการกระทำนี้หมายความว่าลูกพี่ของพวกเขาเห็นด้วย สุดท้ายแล้วพวกเขาจะตายกันหมดถ้าไม่มีใครลงมือทำอะไรสักอย่าง อย่างน้อยก็ให้นางทำความดีก่อนตายสักหน่อยเถิด แล้วพวกเขาจะจดจำน้ำใจของนางเอาไว้ในภายหลังก็แล้วกัน
ดังนั้นหลิงเยว่ที่พยายามหลบหนีจึงถูกรายล้อมไปด้วยชายร่างใหญ่สี่คน
ในตอนแรกเด็กสาวระแวดระวังเป็นพิเศษ แต่แล้วก็รู้สึกโล่งใจ เมื่อเห็นว่าชายทั้งสี่คนนี้เพิ่งฆ่าสัตว์อสูรที่โจมตีพวกเขาโดยไม่พูดอะไรสักคำ
โลกนี้ยังมีคนดี ๆ อีกมาก… แม้ว่าพวกเขาจะดูเหมือนกลุ่มคนเลวร้ายในตอนแรก คนเราไม่ควรตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขาเท่านั้นใช่หรือไม่?
สิ่งที่หลิงเยว่ไม่ได้สังเกตก็คือฝูงชนที่วิ่งร่วมกับนางเมื่อครู่นี้ ได้เปลี่ยนทิศทางไปทางอื่นอย่างเงียบ ๆ หลังจากที่ชายร่างใหญ่สี่คนล้อมรอบนาง
“สาวน้อย เจ้าอยู่ห้องขังไหน?”
ในหัวของหลิงเยว่เต็มไปด้วยคำถาม นางอยู่ห้องขังไหนน่ะหรือ?
“ลูกพี่ดูชุดที่นางใส่สิ” ชายผู้น่าสงสารขยิบตา
แม้ว่าทุกคนจะนุ่งห่มผ้าขี้ริ้ว แต่ก็ยังเห็นได้ชัดว่ารูปแบบของเสื้อผ้านั้นแตกต่างกันมาก ชุดที่หลิงเยว่สวมใส่เป็นสีเขียวฟ้า แต่ของพวกเขามันเป็นเครื่องแบบนักโทษสีน้ำตาล
“อา… ข้าเพิ่งถูกจำคุกและถูกโยนมาที่นี่ก่อนที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าได้” หลิงเยว่ตอบสนองอย่างรวดเร็ว เพียงประโยคเดียวก็สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้า รวมถึงตัวตนของคนเหล่านี้ด้วยเช่นกัน
นางรู้ดีว่าพวกผู้บำเพ็ญในโลกบำเพ็ญเซียนแบบไหนที่ไม่ใช่คนดี โดยเฉพาะพวกเขาที่ดูราวกับแตงคดพุทราแตก*[1] เช่นนี้!
“สาวน้อย เจ้าช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่? เราจะกลับมาช่วยเหลือเจ้าอย่างแน่นอน หลังจากที่เราหลบหนีสำเร็จแล้ว”
ชายผู้นำไม่ได้ซักไซ้ที่มาของหลิงเยว่อีกต่อไป กลับระบุจุดประสงค์ของตนเองอย่างกังวล เมื่อเห็นว่าคลื่นสัตว์อสูรเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เขาจะถูกกลืนกินจนตายเป็นแน่ หากยังคงวิ่งหนีด้วยสองขาเช่นนี้
จู่ ๆ สัญญาณเตือนภัยในใจของหลิงเยว่ก็ดังขึ้น ด้วยไม่เชื่อว่านี่เป็นการขอความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ แน่นอน!
แต่เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาขู่เข็ญในตอนนี้ หลิงเยว่จึงพูดด้วยความกลัว “เรื่องอะไรเล่า”
“เพียงโจมตีพวกชุดเกราะ…”
ขณะที่เขาพูด สัตว์อสูรหลายตัวในท้องฟ้าก็เร่งความเร็วขึ้นตามฝูงชนไป มันพ่นไฟสีฟ้ารุนแรงกินพื้นที่เป็นวงกว้าง
สัตว์อสูรคำราม เกิดเป็นเสียงครวญครางทั่วทั้งพื้นดิน!
หลิงเยว่ซึ่งเคยประสบกับคลื่นสัตว์อสูร ได้ตระหนักดีถึงวิกฤตที่กำลังจะตามมา จึงรีบใช้ทักษะการเคลื่อนไหวของตนหลบไปด้านข้าง ชายผู้น่าสงสารซึ่งพูดได้เพียงครึ่งประโยคก็ถูกคลื่นกระแทกออกไปทันที ขณะที่ร่างเล็ก ๆ ของเด็กสาววิ่งไปไกลในพริบตาเดียว!
ชายผู้น่าสงสารที่กระเด็นออกไปได้พลิกตัวกลับกลางอากาศ แต่ในขณะที่เขากำลังจะถึงพื้น ก็ถูกไฟสีฟ้าแผดเผาไปเสียแล้ว
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีแน่ อีกสามคนก็ได้แต่เพิกเฉยต่อชายที่ถูกไฟเผา และตะเกียกตะกายหนีเข้าป่าไปในทันที
“อ้า! ลูกพี่ช่วยข้าด้วย!”
ชายผู้น่าสงสารที่ถูกเผาด้วยไฟสีฟ้ายื่นมือที่ลุกไหม้ออกมา ทว่าทันทีที่เขาตะโกนคำพูดนั้น ก็ถูกสัตว์อสูรที่อยู่ข้างหลังเขากลืนหายไปในพริบตา
เมื่อเห็นว่าเหยื่อของมันถูกตัวอื่นแย่งกิน วิหคอัคคีฟ้าก็พลันโกรธ มันเปิดปากส่งเสียงร้องแหลมสูง ก่อนจะพ่นไฟเป็นวงกว้างอีกครั้ง ทว่าคราวนี้เป้าหมายของมันไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นสัตว์อสูรด้วยกันเอง!
เกิดการต่อสู้ระหว่างสัตว์อสูรที่อยู่บนฟ้าและพื้นดิน ภาพตรงหน้านั้นวุ่นวายยิ่ง
หลิงเยว่พยายามไม่มองย้อนกลับไป ด้วยรู้ว่าชายผู้น่าสงสารคนนั้นคงถึงฆาตแล้วแน่ แต่นี่ไม่ใช่เวลามาห่วงคนอื่น นางต้องมีชีวิตรอดก่อน!
ดังนั้นเด็กสาวจึงกัดฟัน และเลือกเอาตัวรอดแบบเดียวกับนักโทษส่วนใหญ่ที่วิ่งเข้าไปในป่า
“อย่าปล่อยให้พวกมันหนีไปได้!”
พวกหมวกแดงมองเห็นสถานการณ์ที่ค่อย ๆ อยู่เหนือการควบคุม ก่อนที่กลุ่มหลายสิบกลุ่มจะกระจายตัวเข้าไปในป่า
สัตว์อสูรที่มีตาสีแดงบางตัวไล่หลังมาอย่างใกล้ชิด ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับสัตว์อสูรบนท้องฟ้า
ไฟแผดเผา ฟ้าผ่า กลายเป็นน้ำแข็ง พื้นสั่นสะเทือน เสียงคำราม เสียงคร่ำครวญ…
เหตุการณ์เหนือการควบคุมนี้ยิ่งวุ่นวายมากขึ้นไปอีก
หลิงเยว่ที่หนีเข้าไปในป่ากำลังมองดูกลุ่มสัตว์อสูรที่อยู่ตรงหน้า ฉับพลันร่างกายของนางก็ชาไปหมด
นางถึงจุดจบแล้วหรือ?
เด็กสาวแทบจะทรุดลงไปกองกับพื้น นางจึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากชายผู้ใช้ขวานฆ่าสัตว์อสูร หลังจากสังเกตเห็นว่าเขาเองได้ติดตามนางมาอย่างใกล้ชิด
“พี่ชาย ช่วยข้าด้วย ข้าไม่ใช่นักโทษ!”
แม้ว่าตอนนี้นางจะใช้ปราณไปเพียงหนึ่งในสามเท่านั้น ทว่าหลิงเยว่ไม่มีโอสถหรืออาหารวิญญาณติดตัวเลย ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดและเร็วที่สุดในการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ตอนนี้คือขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
เหลยซาซึ่งจู่ ๆ ถูกตะโกนเรียกตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
“พี่ชายระวัง!”
หลิงเยว่กระโดดขึ้นไปกลางอากาศและเตะงูเหลือมลายที่กำลังลอบเข้าหาชายหนุ่มถือขวาน
“ใครเป็นพี่ชายของเจ้า?”
เหลยซาเหวี่ยงขวานของเขาและแยกสัตว์อสูรที่อยู่ข้าง ๆ ออกเป็นสองส่วน จากนั้นเผชิญหน้ากับหลิงเยว่ด้วยใบหน้าที่เปื้อนเลือด
ดวงตาที่เฉียบคมและวิธีการสังหารที่โหดเหี้ยมเมื่อครู่ ไม่ได้ทำให้หลิงเยว่หวาดกลัวแต่อย่างใด ทั้งยังเต็มไปด้วยความชื่นชมอีกต่างหาก
“พี่ชาย ท่านยอดเยี่ยมมาก!”
“อย่าเรียกข้าว่าพี่ชาย!”
“ก็ได้พี่ชาย” หลิงเยว่ตอบอย่างคล่องแคล่ว
“ฮ่า ๆ…”
สมาชิกในกลุ่มที่อยู่ข้าง ๆ เหลยซาอดหัวเราะออกมาไม่ได้
ใบหน้าของเหลยซาแดงขึ้น หากเขาไม่เห็นว่าเด็กหญิงตัวน้อยนี้ไม่ใช่นักโทษจริง ๆ ก็คงจะเหวี่ยงขวานด้วยอารมณ์หงุดหงิดไปเสียแล้ว
“ข้าไม่ใช่นักโทษจริง ๆ พี่ชายโปรดพาข้าไปด้วยเมื่อท่านเสร็จธุระจากตรงนี้ได้หรือไม่” หลิงเยว่พูดด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาและน่าสงสาร ขณะเตะสัตว์อสูรออกไป
“เจ้ามาจากที่ใดกัน?”
“ข้ามาจากสำนักเยว่อินและข้าหลงจากศิษย์พี่ของข้ามา” หลิงเยว่เปิดปากเอ่ย สำหรับสำนักเยว่อิน มันเป็นสำนักของสตรี ดังนั้นจึงไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับนางที่จะใช้กล่าวอ้างใช่หรือไม่?
“อะไรนะ? สำนักเยว่อิน!?”
ก่อนที่เหลยซาจะพูดออก สมาชิกในกลุ่มที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะไปแล้ว
แห่งหนึ่งอยู่ทางเหนือสุดและอีกแห่งอยู่ทางใต้สุด ต่อให้เดินทางโดยพาหนะวิญญาณและการเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด ก็ยังต้องใช้เวลาเดินทางหนึ่งถึงสองปี
หลิงเยว่ไม่เข้าใจว่าทำไมปฏิกิริยาของคนกลุ่มนี้ถึงแปลกนัก แต่นางยังคงพยักหน้ายืนยัน
แต่เมื่อรู้ว่านางอยู่ห่างจากสำนักหลานเทียนมาก นางก็ตกตะลึง
แม้ว่าระยะห่างระหว่างสำนักหลานเทียนและสำนักเยว่อินจะไกลกันมาก ทว่าการเดินทางก็ใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือนเท่านั้น แต่ตอนนี้…
“แล้ว… ที่นี่อยู่ห่างจากสำนักจ้านเจี้ยนไกลเพียงใดเจ้าคะ?” หลิงเยว่ถามอย่างลังเล
“ไม่ไกลหรอก แต่ใช้เวลาเดินทางปีหนึ่ง”
คำพูดของเหลยซาเหมือนส่งหลิงเยว่ลงนรกโดยแท้ นั่นทำให้นางอยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา
นางเหลือบมองอายุขัยของตนเองที่เพิ่งจะลดไปได้แค่สามวันเท่านั้น นั่นหมายถึงว่าระยะทางที่ต้องใช้เวลาเดินทางมากกว่าหนึ่งปีสั้นลงเหลือสามวันโดยหมอกสีดำที่ลักพาตัวนางมา นอกจากนี้นางยังใช้ยันต์หลบหนีพันลี้เพิ่มอีก ซึ่งเป็นการเพิ่มระยะทางให้ไกลขึ้นอีกครึ่งปีเป็นอย่างน้อย
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
แม้ว่าเหลยซาจะรู้ว่าหลิงเยว่ไม่ได้พูดความจริง แต่เขาก็ยังรู้สึกขบขันกับการแสดงออกที่เปิดเผยราวกับ ‘ท้องฟ้ากำลังถล่ม’ บนใบหน้าของนาง เขาถามว่า “เจ้าจะไปเข้าร่วมในการแข่งขันระหว่างสำนักงั้นหรือ”
“ใช่แล้ว… พี่ชาย ท่านรู้วิธีที่จะไปถึงสำนักจ้านเจี้ยนได้อย่างรวดเร็วหรือไม่เจ้าคะ?”
“มีประตูเคลื่อนย้ายอยู่นะสาวน้อย แต่การไปให้ถึงสำนักจ้านเจี้ยนเจ้าต้องผ่านประตูเคลื่อนย้ายสิบประตู ซึ่งแต่ละประตูเจ้าจะต้องใช้หินวิญญาณระดับต่ำหนึ่งแสนก้อนในการผ่านไป” สมาชิกในกลุ่มบางคนกระตือรือร้นเข้าหาหลิงเยว่ เขาชื่นชมยินดีกับความโชคร้ายจึงให้ความรู้แก่นาง และท้ายที่สุดพวกเขาก็มองดูเด็กสาวอย่างพิจารณา
“เจ้าถูกปล้นงั้นหรือ?”
นางไม่มีถุงเก็บของบนตัว และด้วยสภาพที่มอซอเช่นนี้ หนำซ้ำใบหน้าของเด็กสาวยังเป็นสีเทาซีด เห็นได้ชัดว่าเพิ่งได้รับบาดเจ็บ นางอาจบังเอิญไปเจอศัตรูและหลบหนีออกมาก็เป็นได้
สายตาที่เห็นอกเห็นใจของสมาชิกในกลุ่มอย่างกระตือรือร้นทำให้หลิงเยว่ขนลุก
[1] แตงคดพุทราแตก ใช้เปรียบเปรยถึงสิ่งที่ไม่สมบูรณ์