ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน - บทที่ 96 เมื่อประสบเรื่องเลวร้ายมากมายจนเกินไป ผู้คนก็กลายเป็นหลงผิดโดยไม่รู้ตัว
- Home
- ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน
- บทที่ 96 เมื่อประสบเรื่องเลวร้ายมากมายจนเกินไป ผู้คนก็กลายเป็นหลงผิดโดยไม่รู้ตัว
บทที่ 96 เมื่อประสบเรื่องเลวร้ายมากมายจนเกินไป ผู้คนก็กลายเป็นหลงผิดโดยไม่รู้ตัว
บทที่ 96 เมื่อประสบเรื่องเลวร้ายมากมายจนเกินไป ผู้คนก็กลายเป็นหลงผิดโดยไม่รู้ตัว
หลิงเยว่ไม่รู้ตัวเลยว่าเรื่องราวของนางถูกเดาได้แล้วอย่างใกล้เคียง ด้วยเด็กสาวกำลังขนลุกกับเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่
หลังจากได้ยินคำตอบจากสมาชิกกลุ่มคนใจดีเหล่านี้นางก็พลันขมวดคิ้ว หลิงเยว่เป็นเพียงผู้บำเพ็ญขอบเขตกลั่นลมปราณ ดังนั้นการเดินผ่านประตูเคลื่อนย้ายถึงสิบครั้งจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก และเมื่อตระหนักได้ว่าตนเองไม่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เลย ความยากที่เพิ่มมากขึ้นนี้ หลิงเยว่ไม่อยากจะคิดเลย…
นางไม่มีหินวิญญาณนับล้าน แต่มีค่าพลังวิญญาณ และค่าพลังวิญญาณสามารถแลกเปลี่ยนเป็นหินวิญญาณได้
ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือต้องออกจากที่นี่ให้ได้เสียก่อน ท้ายที่สุดแล้ว ก็มีความเป็นไปได้สูงที่สถานที่แห่งนี้จะอยู่ใกล้กับถ้ำหมอกดำ ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากันคราวหลัง
“พี่ชาย ท่านจะพาข้าไปจากที่นี่ได้เมื่อใดเจ้าคะ”
“อีกสามวัน”
เหลยซาไม่ต้องการซักถามหลิงเยว่อีกต่อไป ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็โกหกเขาหน้าตายอยู่ดี
ในระหว่างสามวัน หลิงเยว่มองดูฝูงสัตว์อสูรฝูงแล้วฝูงเล่าอย่างเบื่อหน่าย และไม่รู้เลยว่าเหตุใดนางถึงถูกหมอกดำลักพาตัวมา นางยังไม่เคยออกจากสำนักตั้งแต่มาเกิดใหม่ในโลกนี้เลยสักครั้ง!
สำหรับศัตรูเพียงคนเดียวของนาง ตระกูลผาวจะไปมีปัญญาจ้างวานตัวตนที่แข็งแกร่งอย่างเจ้าหมอกดำนั่นได้อย่างไร
หลิงเยว่ซึ่งมีดวงตาหมองคล้ำเดินติดตามเหลยซา ไม่ว่าเขาจะไปที่ใดนางก็จะติดตามไปด้วย เพราะกลัวว่าตัวเองจะถูกทิ้งไว้ที่นี่ในระหว่างสามวัน
เหลยซาไม่คัดค้านใด ๆ ในเรื่องนี้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะเด็กสาวตัวน้อยไม่ได้รบกวนอะไรมากนัก ซึ่งเขาพอจะยอมรับได้
“พี่ชาย ท่านมีอะไรให้ข้ากินหรือไม่ ข้าหิวมากเลยเจ้าค่ะ” หลิงเยว่อยากเอาศพของสัตว์อสูรพวกนั้นมาย่างเหลือเกิน
เหลยซายื่นโอสถปี้กู่ให้กับหลิงเยว่
หลังจากกินโอสถปี้กู่เข้าไปหลิงเยว่ก็แสดงสีหน้าเจ็บปวดทันที โอ้สวรรค์! นี่เป็นครั้งแรกที่ได้กินโอสถปี้กู่ รสขมมากเช่นนี้ จนทำให้ทั้งร่างของเด็กสาวสั่นสะท้าน ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากความขมที่แผ่ซ่านไปทั่วลิ้นแล้ว มันยังทำให้ลิ้นรู้สึกชาหนึบอีกด้วย
หลังจากกินเข้าไปแล้วนางก็ไม่รู้สึกอิ่มเลย เพียงรู้สึกเหมือนกินของที่รสชาติแย่ที่สุดเข้าไปเท่านั้น
ดูเหมือนว่าความเป็นอยู่ที่นี่จะ… ยากเข็ญเหลือเกิน
หลังจากการติดตามเหลยซาอย่างต่อเนื่อง หลิงเยว่ก็รู้ข้อมูลมากมายจากเหลยซาและสมาชิกในกลุ่มคนอื่น ๆ
เมืองฮั่วหยางตั้งอยู่ที่ชายขอบของทะเลทรายทางตอนเหนือ และยังเป็นสถานที่ลี้ภัยกันดารที่ฉาวโฉ่ในโลกบำเพ็ญเซียน ที่แห่งนี้ขาดแคลนเสบียงอาหารและถูกคุกคามโดยคลื่นสัตว์อสูรตลอดทั้งปี โดยมีสัตว์อสูรบุกมามากมายทั้งสิบสองเดือนของหนึ่งปี
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เมืองนี้สามารถยืนหยัดได้แม้จะมีสภาวะที่ยากลำบากมานับพันปี นั่นก็คือโลกบำเพ็ญเซียนมักจะส่งผู้บำเพ็ญที่เลวทรามที่สุดมาอยู่ที่นี่ เพื่อคอยเป็นโล่มนุษย์ให้กับดินแดนส่วนอื่น ๆ
แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่อาชญากรเลวทรามที่ถูกส่งมาที่แห่งนี้เท่านั้น หลายคนที่มาอยู่ที่นี่ยังเป็นเพียงผู้คนที่ถูกเนรเทศจากสงครามภายในตระกูล ถูกศัตรูตามล่า มาเพื่อลี้ภัย หรือถูกใส่ร้ายป้ายสีจากศัตรู…
สมาชิกส่วนใหญ่ของกลุ่มหมวกแดงก็มาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลดังกล่าว
หลิงเยว่คิดถึงคนที่บอกให้นางวิ่งหนีระหว่างการต่อสู้ของสัตว์อสูร พวกเขาอาจไม่ใช่คนชั่วช้านัก เพียงแค่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ก็เท่านั้น
การบุกของฝูงสัตว์อสูรสามวันนั้นยาวนานและน่าเบื่อหน่ายสำหรับหลิงเยว่ ร่างกายของนางได้พัฒนาปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณ และรีบฆ่าสัตว์อสูรทันทีเมื่อเห็น
โดยกระบี่แสนทื่อในมือของนางได้รับมาจากเหลยซา
การมีกระบี่พัง ๆ อยู่ในมือทำให้หลิงเยว่ลืมไปว่าแท้จริงแล้วนางเป็นนักกลั่นโอสถที่บอบบาง แต่ถ้านางใช้ปราณเป็นหลักในสถานที่แห้งแล้งกันดารเช่นนี้มันจะไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย นางต้องใช้ปราณเท่าที่จำเป็น ถ้าไม่ได้อยู่ในยามวิกฤตก็จำเป็นต้องใช้แต่กระบี่พัง ๆ นี้จัดการกับศัตรูเท่านั้น
“พี่ชาย เมื่อการบุกของสัตว์อสูรจบลง ท่านทำอย่างไรกับพวกศพของสัตว์อสูรเล่าเจ้าคะ?”
“ขายสิ่งที่ขายได้และกินสิ่งที่ขายไม่ได้” เหลยซาพูด
ใช่แล้ว สัตว์อสูรก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่สนับสนุนให้เมืองฮั่วหยางยังคงอยู่ได้ อาจพูดได้ว่าทั้งสองค้ำจุนซึ่งกันและกัน
หลิงเยว่ลูบมือที่หยาบแตกของนางแล้วยิ้มเหมือนหัวขโมย กินมันหรือ… นางแทบจะรอไม่ไหวแล้ว
สามวันต่อมาฝูงสัตว์อสูรที่บ้าคลั่งก็ถอยกลับราวกับคลื่นน้ำ ผู้คนที่รอดชีวิตยังคงหายใจหอบ ขาที่อ่อนแรงทรุดตัวลงกับพื้น
เหลยซาเป็นคนแรกที่ลุกขึ้น เขาหยิบตรวนผนึกวิญญาณออกมาโดยไม่พูดอะไร และใส่กุญแจมือนักโทษที่ยังคงมีลมหายใจอยู่
สมาชิกในกลุ่มคนอื่น ๆ ก็เดินไปใส่กุญแจมือพวกนักโทษเช่นกันหลังจากพักผ่อนไปได้สักพัก
แม้ว่านางจะหิว ง่วงนอน และหมดแรง แต่หลิงเยว่ก็ยังไม่กล้าล้มลงกับพื้น ด้วยกลัวว่าสัตว์อสูรที่อยู่รอบ ๆ จะกลับมาคลั่งอีกครั้ง หรือไม่นักโทษร่างใหญ่สามคนในตอนแรกอาจจะโผล่ออกมาเพื่อแก้แค้นนาง
เรื่องเกี่ยวกับการตายของชายที่ถูกไฟแผดเผาไปเมื่อตอนแรก หลิงเยว่อาจจะบอกได้ว่าตนเองไม่ได้ตั้งใจ
ใครจะรู้ว่าเขาจะประมาทและโชคไม่ดีจนถูกไฟคลอกตายเช่นนั้น นั่นคือชะตากรรมของเขา หลิงเยว่คอยปลอบใจตัวเองอยู่แบบนี้จนภายในรู้สึกผิดน้อยลง
“ไปกันเถิด”
เหลยซาคว้าหลิงเยว่ขึ้นมาแบก และสัตว์อสูรทั้งหมดที่อยู่บนพื้นก็ถูกเก็บไป ยกเว้นคราบเลือดและพวกต้นไม้ที่ล้มระเนระนาด ส่วนพวกเถ้าถ่านที่เกิดขึ้นหลังจากถูกไฟแผดเผา… ถูกทำความสะอาดหมดจดแล้ว
“พี่ชาย เดี๋ยวก่อน…”
หลิงเยว่ซึ่งเคยถูกแบกไม่ได้ดิ้นรนนัก การถูกแบกหมายความว่านางไม่ต้องเดิน อย่างไรก็ตามจากหางตาของนาง ได้สังเกตเห็นสมุนไพรวิญญาณระดับต่ำที่เสียหายและกำลังจะตาย ซึ่งพวกมันสามารถเอามาใช้เป็นเครื่องเทศได้
นางไม่เหลืออะไรติดตัวแล้วเช่นนี้ หากจู่ ๆ จะควักเอาเครื่องเทศหรือสิ่งอื่นใดออกมา ก็คงจะทำให้ผู้อื่นเกิดความสงสัยเป็นแน่ ตอนนี้นางสามารถหาสมุนไพรวิญญาณได้ในท้องถิ่นโดยไม่ต้องใช้ค่าพลังวิญญาณใด ๆ เหตุใดจะไม่ทำเล่า?
หลิงเยว่ซึ่งเมื่อครู่ไร้ชีวิตชีวา กลับดิ้นหลุดจากการแบกและเริ่มรวบรวมสมุนไพรวิญญาณ
“สิ่งเหล่านี้มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง มันไม่คุ้มกับการเอาไปแลกเป็นหินวิญญาณมากนัก หนำซ้ำยังเลือกยากอีก”
สมาชิกในกลุ่มที่ใจดีพยายามห้ามปรามหลิงเยว่อย่างมีน้ำใจ
เมื่อเห็นหลิงเยว่ไปเก็บวัชพืชต่อหลังจากเก็บสมุนไพรวิญญาณ สมาชิกในกลุ่มก็พูดไม่ออก สถานที่แห่งนี้ยากจนและแห้งแล้งก็จริงอยู่ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรกิน มีเนื้อสัตว์อสูรมากมายเช่นนี้ก็พอจะเอามาทำเป็นเนื้อแห้งเก็บไว้กินได้เป็นเวลานานบ้าง
เหลยซาไม่ได้ให้เวลาหลิงเยว่มากนัก เขารอให้นางเก็บบางส่วนให้เสร็จแล้วเรียกให้อีกฝ่ายกลับมา
จนกระทั่งออกมาจากป่า หลิงเยว่จึงรู้ว่าพวกหมวกแดงมีหลายร้อยกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีสมาชิกหนึ่งร้อยคน ระดับการบำเพ็ญต่ำสุดอยู่ที่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นหก เหลยซาอยู่ในกลุ่มสิบแปด พลังการต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งมากจนได้ติดอยู่ในสิบอันดับแรก
มีนักโทษจำนวนมาก แต่เห็นได้ชัดว่าตายไปมากเช่นกัน
ทันทีที่หมวกแดงปรากฏตัว เสียงกำลังใจจากผู้คนก็ดังมาจากกำแพงเมือง พวกเขาปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนได้สำเร็จอีกครั้ง!
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในเมืองฮั่วหยาง หลิงเยว่ก็ตกตะลึงกับภาพตรงหน้า มีควันสีขาวลอยขึ้นมาจากหม้อที่วางเรียงรายกันหนาแน่น และกลิ่นหอมของข้าวก็ฟุ้งไปทั่วเมือง คนธรรมดา ๆ รวมตัวกันเพื่อซาวข้าวและเลือกผัก รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาดูเปล่งประกายนัก
ผู้บำเพ็ญที่มีทักษะขั้นสูงรีบชำแหละศพสัตว์อสูรอย่างรวดเร็ว เขาและหนังอันมีค่าถูกทำความสะอาดก่อนจะตากพักไว้ เนื้อและอวัยวะภายในที่เหลือก็ถูกคนอีกกลุ่มหนึ่งนำออกไปเตรียมที่จะทำอาหารรับประทาน
ทั้งเมืองเต็มไปด้วยกลิ่นควันไฟ และยังมีกลิ่นเลือดอีกด้วย
ภาตรงหน้านี้ ทำให้หลิงเยว่นึกถึงงานเลี้ยงในชนบทของจีน ไม่ใช่ว่านี่มันคืองานเลี้ยงหรอกหรือ ทว่าเป็นงานเลี้ยงสำหรับคนทั้งเมือง!
“ข้าจะไปช่วยด้วยเจ้าค่ะ!”
หลิงเยว่ยิ้มขณะกำลังจะเข้าร่วม แต่เหลยซาคว้าคอเสื้อของนางไว้เสียก่อน “ต้องไปรายงานต่อเจ้าเมืองเสียก่อน”
เหลยซาไม่กล้าปล่อยให้เด็กหญิงตัวน้อยที่ไม่รู้ที่มาเดินเตร่ไปรอบเมืองเด็ดขาด จะเกิดอะไรขึ้นหากนางทำร้ายมนุษย์ธรรมดาเล่า?
“ให้ข้าอิ่มท้องก่อนไปไม่ได้หรือเจ้าคะ?”
หลิงเยว่ก้มศีรษะและมองดูข้าวขาวที่ห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ ส่วนท้องของนางก็เริ่มแสบจากความหิว
อันที่จริงนี่เป็นการพูดเกินจริงนัก นางเป็นผู้บำเพ็ญขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นแปด และกินโอสถปี้กู่ไปแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่เด็กสาวจะหิวมากจนเกิดอาการแสบท้อง แต่นางไม่ได้กินอาหารมาหลายมื้อแล้ว ดังนั้นการได้กลิ่นอาหารจึงทำให้นางอยากอาหารขึ้นมาจริง ๆ!
ดูสิว่าเนื้อของสัตว์อสูรนั้นน่าดึงดูดเพียงใดเมื่อถูกชำแหละออกอย่างดี หลังจากล้างและหั่นเป็นชิ้นแล้วผัด นางคงสามารถกินข้าวชามใหญ่ได้สามชามเป็นแน่!