ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่ 330 ไม่ต้อง!
ตอนที่ 330 ไม่ต้อง!
หลู่เซินยังคงสงสัยว่าเสียงนั้นดังมาจากที่ไหน แต่ลูกน้องทั้งสองคนของเขาที่ยืนอยู่ด้านหน้า กลับยกมือขึ้นชี้ไปทางด้านหลังของหลู่เซินด้วยสีหน้าตกอกตกใจ
“ท่านประมุข ขะ.. เขาอยู่ข้างหลังท่านแล้วตอนนี้!”
คนผู้นั้นก็คือฉีเล่ยซึ่งฟุบหมดสติไปกับพื้นก่อนหน้านี้นั่นเอง และหลู่เซินก็ลืมฉีเล่ยไปเสียสนิท
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังชุลมุนวุ่นวายอยู่นั้น จู่ๆ ร่างของฉีเล่ยก็เปล่งประกายเจิดจ้าออกมาก่อนจะลุกขึ้นยืน ภาพที่เกิดขึ้นนั้นดูไม่ต่างจากหนังลี้ลับ
“โอ๊ะ! นี่แกยังมีปัญญาลุกขึ้นมาได้อีกงั้นเหรอ? ฉันคิดว่าแกตายไปแล้วซะอีก!”
ฉีเล่ยร้องบอกหลู่เซินด้วยน้ำเสียงเย็นชาดุดัน “ปล่อยเธอซะ!”
“นี่แกคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้กล้ามาสั่งฉัน! แค่ลุกขึ้นมายืนได้แค่นี้ก็คิดว่าตัวเองเก่งเหนือมนุษย์แล้วรึไงห๊ะ?!”
หลู่เซินตอบกลับด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน “ฉันไม่ปล่อย แกจะทำไม?”
ฉีเล่ยผู้ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะต่อต้านขัดขืน แต่ในตอนนี้กลับดูคล้ายว่าได้รับพลังมาจากที่ไหนสักแห่ง และได้พุ่งตรงเข้าไปยืนเผชิญหน้ากับหลู่เซินอย่างไม่เกรงกลัว
“หยุดมันไว้เดี๋ยวนี้! เร็วเข้า!”
หลู่เซินเห็นท่าทางของฉีเล่ยเข้า ก็ถึงกับร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นตระหนก
หากเป็นเรื่องการวางแผนแล้วล่ะก็ ต้องยอมรับว่าไม่มีใครโหดเหี้ยไปกว่าหลู่เซินอีกแล้ว แต่หากเป็นเรื่องทักษะการต่อสู้ เขากกลับอ่อนแอกว่าผู้อื่นมาก
เวลานี้ ผู้คนที่พากันคุกเข่ายอมจำนนให้กับหลู่เซิน ต่างก็พากันตกอกตกใจจนถึงกับอ้าปากค้าง ที่เห็นฉีเล่ยฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
“ปะ.. เป็นไปไม่ได้”
พวกเขาทุกคนต่างก็เห็นว่า ฉีเล่ยถูกลูกน้องของหลู่เซินทำร้ายจนหมดสติไป และหากพวกเขายังมีความหวังว่าฉีเล่ยจะฟื้นขึ้นมา พวกเขาคงไม่ยอมคุกเข่ายอมจำนนต่อหลู่เซินอย่างแน่นอน
หลังได้รับคำสั่งจากหลู่เซิน ลูกน้องของเขาก็พุ่งเข้าไปเพื่อจัดการกับฉีเล่ยด้วยวิธีเดิมๆ แต่พวกมันนั้นไม่ทันได้คำนึงถึงพลังของฉีเล่ยในเวลานี้ ซึ่งได้ฟื้นคืนกลับมาเต็มร้อยแล้ว
นั่นเพราะหลิงตันในร่างของเขาได้แสดงอานุภาพอีกครั้ง แม้ว่าเจ้าลิงน้อยจะไม่ได้อยู่ข้างกายฉีเล่ยในเวลานี้ แต่หลิงตันก็ได้ปลดปล่อยพลังออกมาเมื่อชีวิตของฉีเล่ยใกล้ถึงจุดสิ้นสุด กระแสไออุ่นเริ่มไหลเวียนไปตามเส้นลมปราณทั่วร่างของเขา
เมื่อพลังจากหลิงตันหลอมรวมกับพลังหยินและหยางในร่าง ภาพต่างๆก็ได้ปรากฏขึ้นในจิตใจของฉีเล่ยที่นอนหลับไหล
ชายชราสวมใส่เสื้อผ้าเรียบง่าย ในมือถือแส้อยู่อันหนึ่งกำลังเดินขึ้นเขา ท่าทางของเขานั้นดูคล้ายกับว่ากำลังมองหาบางสิ่งบางอย่างอยู่
หลังจากที่พบเห็นสมุนไพรชนิดหนึ่งเข้า ชายชราจึงได้ก้มลงเด็ดสมุนไพรนั้น ก่อนจะเอาเข้าปากของตนเอง
จากนั้น ฉีเล่ยก็ลืมตาขึ้นมา และภาพที่เขาเห็นในเวลานั้นก็คือ ภาพฮวาโหล่วกำลังถูกหลู่เซินลวนลาม แล้วเขาจะสามารถทนดูได้อย่าไรกัน?
บูม!
ฉีเล่ยเพียงแค่ยืนเฉยๆยังไม่ทันได้เคลื่อนไหวอะไร ลูกน้องสองคนของหลู่เซินที่พุ่งเข้ามาหมายจู่โจมเขานั้น ก็ถึงกับกระเด็นลอยละลิ่วออกไปไกล ก่อนจะกระอักเลือดออกมาในทันที
“กะ.. แก.. นี่แกจะทำอะไร?”
“แกบังอาจมากที่กล้ายุ่งกับผู้หญิงของฉัน!”
ฉีเล่ยร้องคำรามออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว ลำแสงสีขาวพวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขา กระแทกเข้ากับโต๊ะหินตัวหนึ่งที่อยู่ข้างๆ
“ถ้าแกไม่ปล่อยฮวาโหล่ว ฉันรับรองได้ว่า จุดจบของแกจะมีสภาพไม่ต่างจากโต๊ะหินดัวนั้น!”
หลังจากที่เห็นโต๊ะหินตัวใหญ่ได้แตกละเอียดเป็นผงแบบนั้น ร่างทั้งร่างของหลู่เซินก็ถึงกับเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ปากก็พร่ำรำพันออกมาว่า
“ไม่! เป็นไปไม่ได้! นี่.. นี่ไม่ใช่เรื่องจริง!”
ทางด้านฮวาโหล่วนั้น หลังจากที่เห็นฉีเล่ยฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้ง นอกจากจะประหลาดใจแล้ว เธอยังดีใจอย่างมากอีกด้วย ปากก็ร้องตะโกนบอกเขาไปว่า
“ฉีเล่ย ไม่ต้องห่วงฉัน จัดการกับมันได้เลย!”
ฉีเล่ยหันไปจ้องมองหลู่เซินที่กำลังยืนนิ่งดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจกลัว พร้อมกับร้องคำรามออกไปด้วยน้ำเสียงดุดัน
“แกได้ยินชัดแล้วใช่ไหม?”
หลู่เซินเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวมากยิ่งกว่าเดิม เพราะภาพของฉีเล่ยในตอนนี้ ย้ำให้เขายิ่งมั่นใจว่า ชายหนุ่มคนนี้มีความแข็งแกร่งที่เหนือคนธรรมดา
“นี่แก.. แกเป็นใครกันแน่?” หลู่เซินร้องถามออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“ฉันเหรอ? นี่แกยังไม่รู้อีกเหรอว่าฉันเป็นใคร แกพยายามอย่างมากที่จะกำจัดฉัน แต่กลับไม่รู้ว่าฉันเป็นใครนี่นะ?”
ฉีเล่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ในขณะที่หลู่เซินนั้นได้แต่ส่ายหน้าไปมาด้วยความหวาดผวา ปากก็ร้องตะโกนออกมาว่า
“แก.. แกไม่ใช่ฉีเล่ย! แกต้องไม่ใช่ฉีเล่ยแน่ๆ!”
“น่าขำ! ถ้าฉันไม่ใช่ฉีเล่ย ฉันยังจะเป็นใครไปได้อีก?”
หลังจากที่พูดจบ หลู่เซินก็ได้พุ่งเข้าไปใกล้ฮวาโหล่วยิ่งกว่าเดิม เพื่อต้องการใช้หญิงสาวเป็นตัวประกัน แต่ฉีเล่ยยกเท้าเตะเข้าที่ไหล่ของเขาเข้าเสียก่อน ถึงอย่างนั้น ฉีเล่ยก็ไม่กล้าใช้พลังทั้งหมดที่มี เพราะเกรงว่าหลู่เซินจะตายคาที่
แน่นอนว่า ฉีเล่ยไม่ยอมปล่อยคนชั่วอย่างหลู่เซินไปง่ายๆอย่างแน่นอน!
“อ๊าก!!”
หลู่เซินกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงไปกองกับพื้น และไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ในทันที
ฉีเล่ยเดินตรงเข้าไปหาแพทย์อาวุโส ที่ถูกลูกน้องของหลู่เซินใช้กระบองตีเข้าที่ศรีษะจนเลือดไหลอาบพื้น แต่ในจังหวะที่ฉีเล่ยเข้าไปใกล้เพื่อที่จะช่วยทำการรักษาให้นั้น กลับถูกชายชราผลักร่างออก พร้อมกับร้องตะโกนบอกว่า
“ไม่ต้อง! ไม่จำเป็นต้องช่วยฉัน!”
“ทำไมล่ะครับ?” ฉีเล่ยเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง
“ฉันรู้ดีว่าอายุขัยของตัวเองเหลืออยู่เท่าไหร่ และที่มาแข่งขันในครั้งนี้ก็เพราะว่า อยากได้ยาอายุวัฒนะมาต่ออายุตัวเองก็เท่านั้นเอง”
จากนั้น แพทย์อาวุโสก็หัวเราะออกมา และเลือดก็เริ่มไหลออกมาจากมุมปาก
“แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า แทนที่ยาอายุวัฒนะจะตกมาเป็นของคนไร้ค่าอย่างฉัน มันควรจะตกเป็นของเธอมากกว่าพ่อหนุ่ม!”
แพทย์อาวุโสเอ่ยตอบพร้อมกับไอไม่หยุด
“ในช่วงเวลาเพียงแค่สั้นๆที่ได้รู้จักกัน ฉันก็รู้แล้วว่าเธอเป็นคนที่แข็งแกร่ง แล้วก็เก่งมากแค่ไหน ไม่จำเป็นที่จะต้องแข่งขันอะไรอีก เธอเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด ที่จะเป็นความหวังของวงการแพทย์แผนจีนของเรา เพราะฉะนั้น หากยาอายุวัฒนะตกไปอยู่ในมือเธอ น่าจะเกิดประโยชน์อีกมากมาย”
“อย่าเสียพลังไปกับการช่วยชีวิตของฉันเลย เก็บพลังความสามารถที่เหลือไปช่วยคนอื่นเถิดนะ ปล่อยให้ฉันนอนหลับไปอย่างสงบจะดีกว่า”
หากเป็นอาการบาดเจ็บภายใน แน่นอนว่าพลังหยินและหยางของฉีเล่ย ย่อมสามารถรักษาได้ไม่ยากนัก แต่หากเป็นอาการบาดเจ็บภายนอก และเป็นเรื่องของสภาพร่างกายที่อ่อนแอด้วยอายุขัย การรักษาฟื้นฟูจำเป็นต้องอาศัยเวลา
ฉีเล่ยจ้องมองแพทย์อาวุโสแน่นิ่ง และรู้ว่าอีกฝ่ายได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จึงได้อุ้มร่างของชายชราไปวางไว้ที่เก้าอี้ตัวหนึ่งตรงมุมห้อง
แต่ในขณะที่เขากำลังจะไปจัดการกับหลู่เซินต่อ ชายชราก็พูดขึ้นว่า
“ประธานฉี ฉันมีคำพูดหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะพูดดีไหม?”
“เชิญผู้อาวุโสพูดออกมาได้เลยครับ ผมยินดีรับฟัง”
ฉีเล่ยเอ่ยตอบแพทย์อาวุโสท่านนั้นไปด้วยท่าทางนอบน้อม
“ฉันรู้ว่าภายในร่างกายของเธอมีพลังพิเศษบางอย่างอยู่ แต่ได้โปรดเชื่อฉันเถอะนะ อย่าได้ใช้มันบ่อยนัก เข้าใจไหม?”
คนอื่นๆนั้นดูเหมือนจะไม่รู้ว่า ฉีเล่ยมีพลังลึกลับบางอย่างอยู่ในร่าง พวกเขาคิดแค่ว่า มันเป็นทักษะพิเศษที่ติดตัวฉีเล่ยมาแต่กำเนิดเท่านั้น
“ครับ ผมเข้าใจ” ฉีเล่ยพยักหน้าขณะตอบกลับไป
“อืมม หลังจากสิ้นสุดการแข่งขันที่นี่แล้ว เธอจงไปตามที่อยู่นี่นะ ฉันมีบางสิ่งบางอย่างจะให้เธอ”
ชายชราหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา แล้วยัดลงไปในมือของฉีเล่ย จากนั้น เปลือกตาทั้งสองข้างก็ได้ปิดลงอย่างช้าๆ
ไม่มีใครรู้ว่าอาการของแพทย์อาวุโสท่านนั้นเป็นอย่างไร ฉีเล่ยไม่ต้องการรบกวนชายชราอีก จึงได้หันหลังกลับและเดินตรงไปหาหลู่เซิน
เสียงก้าวเท้าแต่ละครั้งของฉีเล่ย ไม่ต่างจากเสียงเพรียกหาจากนรกสำหรับหลู่เซิน
“ยะ.. อย่าเข้ามานะ!”
หลู่เซินจ้องมองฉีเล่ยด้วยความสะพรึงกลัว ปากก็พร่ำร้องตะโกนราวกับคนเสียสติ
“เขา.. เขาตาย มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลยนะ ฉะ.. ฉันไม่ได้ทำ! พวกแกยืนนิ่งอยู่ทำไม? รีบๆเข้ามาช่วยฉันสิเร็วเข้า!”
ลูกน้องของหลู่เฉินแต่ละคนที่พามานั้น ต้องบอกว่าเป็นคนที่มีวรยุทธในระดับหนึ่ง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับฉีเล่ยในเวลานี้ ทุกคนต่างก็พากันจ้องมองด้วยความหวาดกลัว และรู้ว่าตนเองนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉีเล่ย
แต่ถึงแม้จะกลัวจนตัวสั่น ในเมื่อหลู่เซินร้องตะโกนสั่งเช่นนี้ พวกเขาก็จำต้องหยิบอาวุธในมือขึ้นมา ก่อนจะกรูกันเข้าไปหาฉีเล่ย
ฉีเล่ยชะงักฝีเท้าลง เขาไม่รีบร้อนที่จะจัดการกับหลู่เซินนัก จึงได้หันกลับไปเล่นงานลูกน้องของหลู่เซินที่วิ่งกรูกันเข้ามาก่อน
“พวกแกมันก็แค่หมดปลวก!”
ระหว่างที่พูดนั้น พลังแข็งแกร่งก็แผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขา เวลานี้ราวกับเกิดลมพายุกรรโชกรุนแรงพุ่งเข้าใส่ร่างของกลุ่มคนตรงหน้า จนหลายคนถึงกับล้มลงกับพื้นในทันที
หลังจากนั้น ฉีเล่ยก็เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง พุ่งตรงเข้าชกกำปั้นใส่กลุ่มคนตรงหน้าได้อย่างง่ายดาย ไม่ต่างจากชกเด็กน้อยตัวเล็กๆเลยแม้แต่น้อย
ในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ลูกน้องของหลู่เซินต่างก็ล้มลงไปกองกับพื้น และร้องครวญครางออกมาด้วยความเจ็บปวด
“นี่เขาเป็นมนุษย์รึเปล่า?!”
หวงฝูหวงที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ได้แต่รำพึงรำพันออกมาด้วยความตกใจ และแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
หลู่เซินจ้องมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความหวาดผวา ในเมื่อถึงตาจน เขาจึงได้ร้องบอกฉีเล่ยไปว่า
“กะ.. แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร? ฉะ.. ฉันเป็นถึงประมุขตระกูลหลู่นะ! ถ้าแกกล้าแตะต้องตัวฉันแม้แต่ปลายเล็บล่ะก็ ตระกูลหลู่จะไม่มีวันปล่อยแกไปแน่!”
“ตระกูลหลู่งั้นเหรอ?”
ในความทรงจำของฉีเล่ยนั้น ไม่มีเรื่องราวของตระกูลหลู่อยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งฮวาโหล่วเองก็ยังไม่เคยเล่าให้เขาฟังอีกด้วย ทำให้ฉีเล่ยไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวตระกูลหลู่เลยแม้สักนิด
“ทำไม? ตระกูลหลู่จะทำอะไรกับฉันงั้นเหรอ? ฉันจะบอกอะไรให้นะ ฉัน.. ฉีเล่ยไม่เคยกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น!”
หลังจากพูดจบ และนึกถึงสิ่งที่หลู่เซินทำกับฮวาโหล่วก่อนหน้า เขาก็ยิ่งโมโหเดือดดาลมากขึ้น จึงได้ยกเท้าถีบเข้าที่หน้าอกของหลู่เซินในทันที
“แกกล้าข่มเหงรังแกฮวาโหล่ว โทษของแกสมควรตาย!”