ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่ 38 คุณได้รับบาดเจ็บ
ตอนที่ 38 คุณได้รับบาดเจ็บ
“แกอย่าทำปากดีอวดเก่งไปนักเลย! เพียงแค่ข้อหาดูหมิ่นเจ้าหน้าที่พนักงาน ฉันก็สามารถจับแกยัดเข้าคุกได้หลายปีแล้ว!”
แม้ภายในใจจะมีคำถามเหล่านั้นปรากฏขึ้น แต่เพื่อรักษาหน้า เขาจึงต้องทำเป็นต้องทำท่าทีดุดันต่อไป ผู้กำกับตังยกมือขึ้นชี้หน้าฉีเล่ย พร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง
“ถ้าจะให้เป็นผลดีต่อตัวแกเอง ก็รีบตามฉันกลับไปรับการสอบสวนที่สถานีตำรวจจะดีกว่า ไม่อย่างนั้น ก็อย่าหาว่าฉันใจร้ายใจดำก็แล้วกัน!”
หลู่ฉีเว่ยเบียดกลุ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขึ้นมาด้านหน้า พร้อมกับร้องบอกผู้กำกับตังทันที
“ผู้ชายคนนี้ปลอมแปลงเอกสาร หลอกว่าตัวเองเป็นแพทย์พิเศษไม่พอ ยังทำร้ายเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจนได้รับบาดเจ็บ คนที่กล้าท้าทายกฏหมายแบบนี้ สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับบทลงโทษอย่างหนัก!”
ผู้กำกับตังรู้จักหลู่ฉีเว่ยดีว่ามีตำแหน่งอะไร เขารีบยกมือขึ้นตบหน้าอกตัวเอง พร้อมกับร้องบอกด้วยสีหน้าท่าทางมั่นอกมั่นใจ
“ผู้อำนวยการหลู่ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ครับ ขอแค่คุณส่งคนเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในเหตุการณ์ไปเป็นพยานสักคน รับรองได้ว่า ผมจะจัดการไอ้คนไม่รู้จักเคารพกฏหมายแบบนี้ ให้ได้รู้ว่ากฏหมายบ้านเมืองมีความศักดิ์สิทธิ์แค่ไหนแน่!”
น้องเขยของหลู่ฉีเว่ยที่ยังคงนอนร้องคร่ำครวญอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด หลังจากได้ยินคำพูดของผู้กำกับตัง เขาก็ข่มความเจ็บปวดไว้ และหันไปข่มขู่ฉีเล่ยว่า
“ไอ้สารเลว! แกระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ ฉันต้องสั่งสอนแกทีหลังแน่!”
ฉีเล่ยฟังแล้วก็ได้แต่นึกเย้ยหยันอยู่ในใจ ‘เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ! ฉันอยากจะรู้นักว่า แขนของแกจะใช้ได้อีกทีเมื่อไหร่?’
ผู้กำกับตังขมวดคิ้วเข้าหากัน พร้อมกับหันไปสั่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ยังคงยืนนิ่งเฉยอยู่
“พวกคุณสองคนยังจะยืนนิ่งเฉยอยู่ทำไม? ยังไม่รีบส่งคนเจ็บไปโรงพยาบาลให้หมอดูอาการอีกล่ะ!”
“ส่วนคุณสองคน พาตัวผู้ชายคนนี้กลับไปสอบสวนที่สถานี!” ผู้กำกับตังหันไปสั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายที่เพิ่งตามมาถึง
ในขณะที่ฉีเล่ยนั้น ก็ยอมที่จะตามเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองคนไปแต่โดยดี แต่ในระหว่างที่เดินผ่านหลู่ฉีเว่ย เขาก็ได้ยิ้มออกมาอย่างนึกขัน พร้อมกับหันไปบอกฉีเล่ยว่า
“ขอบอกคุณตามตรง ถ้าไม่ใช่เพราะภรรยาของท่านผู้ว่าไต่คุน รบเร้าให้ผมมาเป็นแพทย์พิเศษที่นี่แล้วล่ะก็ ผมไม่มีทางที่จะสนใจ หรืออยากจะมาเป็นแพทย์พิเศษเลยแม้แต่น้อย!”
หลังจากพูดจบ ฉีเล่ยก็เดินยืดอกเชิดหน้าออกไปจากห้องอย่างสง่าผ่าเผย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนเดินตามหลังไปติดๆ แต่กลับดูไม่เหมือนการจับกุม มันดูคล้ายกับตำรวจทั้งสองเดินตามไปเป็นบอดี้การ์ดให้ฉีเล่ยเสียมากกว่า
“เชอะ! ไอ้หมอนี่มันบ้าไปแล้วจริงๆ ถึงกับกล้าอ้างไปถึงภรรยาท่านผู้ว่าเชียวเหรอ? คิดว่าฉันจะกลัว..”
หลู่ฉีเว่ยร้องตะโกนออกมาด้วยความโมโห และเวลานี้ร่างทั้งร่างของเขาก็ถึงกับสั่นเทาด้วยความโกรธ หลู่ฉีเว่ยตอบโต้ไปตามอารมณ์ที่พุ่งพล่านในใจ จึงไม่ทันได้ไตร่ตรองคำพูดเสียก่อน แต่เมื่อหลุดปากออกไปเช่นนั้น เขาก็รีบยกมือขึ้นปิดปากไว้ และกลืนคำพูดที่จะหลุดตามออกมากลับเข้าไปทันที พร้อมกับหันมองไปรอบตัวอย่างระแวง
หลังจากสงบสติอารมณ์ลงได้ หลู่ฉีเว่ยก็ได้ยกมือขึ้นชี้ไปทางฉีเล่ยที่เพิ่งเดินออกไป ปากก็กร่นด่าด้วยความโมโหต่อ
“ไอ้คนจองหองอวดดี! แกมันอวดดีจนเกินไป! ขนาดถูกจับได้คาหนังคาเขา ยังจะดื้อดึงไม่ยอมรับ มิหนำซ้ำยังเล่นละครพ่นคำพูดไร้สาระออกมาไม่หยุด!”
“ใจเย็นๆครับผู้อำนวยการหลู่! อย่าไปลดตัวทะเลาะเบาะแว้งกับคนแบบนั้นเลยครับ เสียเวลาเปล่า”
ผู้กำกับตังรีบร้องบอก ก่อนจะพูดต่อด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจว่า “ผู้อำนวยการหลู่ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะจัดการกับหมอนั่นเอง อ่อ.. เศษกระดาษพวกนั้นเป็นหลักฐานอย่างดี ผมจะเก็บกลับไปด้วย!”
เมื่อได้ยินผู้กำกับตังพูดถึงเศษกระดาษ หลู่ฉีเว่ยจึงเพิ่งนึกถึงจดหมายฉบับนั้นได้ เขาก้มลงมองกองเศษกระดาษอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดก็ยกมือขึ้นชี้ไปทางเศษกระดาษพวกนั้น และบอกกับผู้กำกับตังว่า
“หึ! ดูสิ.. ขนาดหลักฐานมันยังฉีกทำลายจนหมด เห็นชัดๆว่ามันจงใจทำลายหลักฐานเพื่อหนีความผิด!”
ผู้กำกับตังก้มลงหยิบเศษกระดาษพวกนั้นใส่กระเป๋าอย่างระมัดระวัง ก่อนจะหันไปบอกกับหลู่ฉีเว่ยว่า
“เอาล่ะครับ ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ผมคงต้องขอตัวกลับสถานีตำรวจก่อน จะได้ไปจัดการสอบปากคำหมอนั่นให้เรียบร้อย แล้วผมจะรายงานผลการสอบสวนให้ผู้อำนวยการหลู่ทราบต่อไป..”
หลังจากส่งตังออกจากห้องไปแล้ว หลู่ฉีเว่ยก็หันกลับมาบ่นต่อหน้าทุกคนในห้องไม่หยุด..
“ไอ้บ้า! กล้าดียังไงถึงได้อ้างชื่อหัวหน้าหลิวมาข่มขู่ฉัน! หมอนี่คงจะเป็นพวกสิบแปดมงกุฏระดับมืออาชีพสินะ? ถึงได้มีการตรวจสอบก่อนว่า หัวหน้าหลิวนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล แต่นับเป็นความโชคร้ายของแกที่มาเจอคนฉลาดอย่างฉันเข้า! ไอ้โจรถ่อย!”
……
สถานีตำรวจหลงซินอยู่ห่างจากกรมอนามัยไปเพียงแค่ห้าร้อยเมตรเท่านั้น จึงใช้เวลาในการเดินทางด้วยรถยนต์เพียงแค่ห้านาที
หลังจากรถตำรวจเลี้ยวเข้าประตูไป ฉีเล่ยก็ถูกนำตัวเข้าไปไว้ในห้องสอบสวน ส่วนผู้กำกับตังนั้นเดินไปที่โต๊ะทำงานของตนเอง และเมื่อไปถึง เขาก็ล้วงเอาเศษกระดาษในกระเป๋ามากองไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหันไปสั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งทันที
“คุณจัดการเอาเศษกระดาษพวกนี้ไปต่อใหม่ให้เรียบร้อย หลังจากต่อเสร็จแล้ว รีบเอาไปให้รองผู้กำกับเจียงตรวจสอบก่อนล่ะ..”
หลังจากนั้น เขาก็ได้หันไปสั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนว่า “ส่วนคุณ เดี๋ยวเตรียมตัวเข้าไปในห้องสอบสวนกับผม จะได้ช่วยผมจดรายงานคำให้การของผู้ต้องหาในระหว่างที่ทำการสอบสวน..”
ภายในห้องสอบสวน..
ผู้กำกับตังที่นั่งตรงข้ามฉีเล่ย เอาแต่นั่งหน้าเคร่งขรึม และจ้องมองชายหนุ่มนิ่งเงียบอยู่นานกว่าสิบนาที โดยไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
นั่นเพราะเวลานี้ ผู้กำกับตังกำลังนึกถึงคำพูดของรองผู้กำกับเจียงอยู่นั่นเอง..
รองผู้กำกับเจียงเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมานานมากกว่ายี่สิบปี เขารู้จักหน่วยงานราชการภายในเมืองดียิ่งกว่าลายมือของตนเองเสียอีก หลังจากได้เห็นเศษกระดาษที่นำมาปะติดปะต่อจนเรียบร้อย เขาก็ถึงกับร้องอุทานออกมาทันที
“ครั้งนี้พวกเราซวยแน่ๆ! ดูเหมือนจะรับเผือกร้อนมาเต็มๆครับผู้กำกับ!”
แต่ในความหมายของรองผู้อำนวยการเจียง ไม่ว่าชายหนุ่มคนนี้จะเป็นแพทย์พิเศษจริง หรือว่าแอบอ้าง เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ควรจับกุมตัวมาโดยที่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดแบบนี้..
อย่าลืมว่าแพทย์พิเศษมีฐานะอย่างไร? พวกเขานับเป็นคนที่ข้าราชการระดับสูงของมฑลล้วนแล้วแต่ให้ความเชื่อถือ เพราะเป็นผู้ดูแลเรื่องสุขภาพของพวกเขา
อีกทั้ง เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของข้าราชการระดับสูง ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของสำนักงานรักษาความมั่นคงมากกว่า เพราะการที่สถานีตำรวจย่อยส่งคนไปจับกุมโดยพละการแบบนี้ หากเกิดความผิดพลาดขึ้นแม้เพียงแค่เล็กน้อย ย่อมจะนำมาซึ่งหายนะของสถานีเลยทีเดียว
หลังจากได้ฟังคำพูดของรองผู้กำกับเจียง ผู้กำกับตังถึงกับนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก นั่นเพราะเขาเป็นคนจับกุมตัวชายหนุ่มคนนี้กลับมาที่สถานีตำรวจด้วยตัวเอง
เมื่อได้ฟังคำแนะนำจากรองผู้กำกับเจียง ผู้กำกับตังก็เริ่มได้สติ และไม่คิดที่จะสอบสวนฉีเล่ยอีก
ตรงกันข้าม.. ผู้กำกับตังกำลังคิดหาคำพูดที่เหมาะสม เพื่อเชิญฉีเล่ยออกไปจากสถานีตำรวจของเขาโดยเร็ว และทันทีที่ชายหนุ่มก้าวออกไปจากประตูห้อง เขาก็จะรีบโทรแจ้งสำนักงานรักษาความมั่นคงให้มาจับตัวไปแทน
ผู้กำกับตังเห็นว่าแผนการนี้ค่อนข้างเข้าท่าที่สุด เพียงแต่.. เขายังนึกหาคำพูดดีๆ และเหตุผลที่เหมาะสม เพื่อไล่ชายหนุ่มออกไปไม่ได้เท่านั้นเอง
“อะแฮ่ม.. อะแฮ่ม..”
ผู้กำกับตังกระแอมเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน และพูดกับฉีเล่ยว่า “ว่ายังไงล่ะพ่อหนุ่ม อย่ามัวแต่นั่งนิ่งถ่วงเวลาอยู่เลย ถ้าเธอยอมรับความจริงออกมาตรงๆ ฉันรับปากจะปล่อยเธอกลับไปทันที..”
“นี่พ่อหนุ่ม เธอเองก็ยังหนุ่มยังแน่นนะ ยังมีอนาคตอีกยาวไกล ลองไตร่ตรองดูให้ดีๆ!”
ฉีเล่ยคุ้นเคยกับเหตุการณ์ และคำพูดเช่นนี้มาก เพราะเขาเคยดูละครในทีวี ซึ่งมักจะมีฉากตำรวจเกลี้ยกล่อมผู้ร้ายให้เห็นอยู่บ่อยๆ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่า วันนี้เขาจะต้องมาเล่นบทผู้ต้องหารับการสอบสวนเสียเอง
ฉีเล่ยตอบกลับไปโดยไม่ลังเล “ผมไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไตร่ตรองอะไร?”
ในเมื่อฉีเล่ยไม่ยอมบอกความจริง ผู้กำกับตังจึงยังไม่สามารถหาเหตุผลที่จะปล่อยตัวชายหนุ่มไปได้ จึงได้แต่ถามกลับไปว่า
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ตอบคำถามของฉันมา!”
จากนั้น ผู้กำกับตังก็หยิบจดหมายฉบับนั้นขึ้นมา พร้อมกับถามฉีเล่ยว่า “เธอปลอมแปลงตราทับของทางราชการใช่มั๊ย? แล้วทำไมถึงต้องแอบอ้างเป็นแพทย์พิเศษด้วย? ตอบฉันมาตามความจริงล่ะ!”
“ผมก็บอกความจริงไปหมดแล้ว.. จดหมายฉบับนี้ เลขานุการของคุณหลิวเป็นคนนำมามอบให้ผม แล้วผมก็ไม่ได้แอบอ้างเป็นแพทย์พิเศษ แต่เป็นคุณหลิวที่บอกกับผมด้วยตัวเอง..”
ฉีเล่ยยังคงยืนกรานคำพูดเดิม ด้วยสีหน้าท่าทางที่มั่นคงหนักแน่น!
‘จะสอบสวนยังไง คำตอบก็เหมือนเดิมอยู่ดี!’
ในขณะที่ฉีเล่ยนึกบ่นพึมพำอยู่ในใจนั้น ผู้กำกังตังก็คิดบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจด้วยเช่นกัน..
‘หึ! นี่แกคิดว่าแกเป็นใครกัน? ขนาดฉันเป็นผู้กำกับ ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะได้ใกล้ชิดกับภรรยาท่านผู้ว่าเลย แล้วแกเป็นใคร? ภรรยาท่านผู้ว่าถึงได้ต้องไปสนิทสนมถึงขั้นให้มาทำงานในฐานะแพทย์พิเศษได้!’
หลังจากนั้น ผู้กำกับตังก็ได้บอกกับฉีเล่ยอีกครั้ง “เอาล่ะ! ถ้าเธอยอมสารภาพ ฉันรับปากว่าจะแค่ตักเตือน แต่ถ้าคราวหลังยังทำเรื่องแบบนี้อีก ฉันก็จะทำโทษ! ในเมื่อฉันให้โอกาสเธอถึงขนาดนี้แล้ว หวังว่าเธอคงจะไม่โง่ทิ้งโอกาสดีๆแบบนี้ไปหรอกนะ”
ฉีเล่ยยักไหล่พร้อมตอบกลับไปว่า “ขอบคุณผู้กำกับถังสำหรับความหวังดี แต่สิ่งที่ต้องพูด ผมก็พูดไปหมดแล้ว และที่สำคัญ ผมไม่มีเรื่องอะไรต้องสารภาพ!”
สีหน้าของผู้กำกับถังเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เขาถามฉีเล่ยด้วยใบหน้าบึ้งตึง “ในเมื่อเธออ้างว่าเป็นแพทย์พิเศษ เธอก็ต้องมีความรู้ทางด้านการแพทย์ งั้นไหนลองพิสูจน์ให้ฉันดูจะได้มั๊ย?”
ฉีเล่ยยิ้มเย็นพร้อมกับจ้องมองใบหน้าของผู้กำกับตัง และพูดขึ้นว่า “คุณเพิ่งจะได้รับบาดเจ็บเมื่อเร็วๆนี้!”
ปัง!
ผู้กำกับตังถึงกับตบโต๊ะเสียงดัง พร้อมกับตวาดใส่หน้าฉีเล่ยด้วยความโมโห “นี่! เลิกยียวนกวนประสาทฉันได้แล้ว! คนเป็นตำรวจ มีใครบ้างจะไม่เคยได้รับบาดเจ็บ? เลิกพูดจาเล่นลิ้นวกไปวนมาซะที!”
ฉีเล่ยยืดตัวตรง เขาจ้องมองผู้กำกับตังแน่นิ่ง ก่อนจะตอบไปว่า “ถ้าไม่เชื่อ ก็ยื่นมือออกมาให้ผมจับชีพจรดู ผมจะบอกว่าคุณได้รับบาดเจ็บที่ไหน และตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ได้! ฉันก็อยากจะรู้นักว่า เธอจะมีลูกเล่นอะไรอีก?”
ผู้กำกับตังทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุด เขาก็ยื่นมือซ้ายออกไปข้างหน้าทันที..