ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่ 52 เปิดใจ
ตอนที่52 เปิดใจ
ตุบ!
ฉีเล่ยผละร่างตัวเองออกจากอีกฝ่ายและวางชามก๋วยเตี๋ยวลงบนโต๊ะเครื่องแป้งของหลี่ถงซี พร้อมเอ่ยปากกล่าวน้ำเสียงดุดันยิ่งว่า
“ในฐานะที่เป็นถึงอาจารย์หมอ นี่คุณกลับไม่รู้เลยรึไงว่า ตัวเองกำลังป่วยทางจิต? นี่ก็ยี่สิบกว่าแล้ว อย่าว่าแต่ไม่เคยมีแฟน แค่เห็นผู้ชายก็รู้สึกขยะแขยง นี่ไม่คิดว่ามันแปลกเลยรึไงกัน?”
“ฉะ-ฉัน…ฉันแค่ยังหาคนที่ชอบไม่เจอเท่านั้น! แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ? จะมาสนใจทำไม?”
“ไม่ใช่ว่าหาคนที่ชอบไม่เจอหรอก แต่คุณรังเกียจผู้ชายจับขั้วกระดูกแล้ว ยังไม่รู้สึกตัวอีกเหรอ?”
“คุณ…”
“ยังคิดจะแก้ตัวอยู่อีก?! จิตผิดปกติขนาดนี้ยังคิดว่าตัวเองไม่ป่วยอยู่ไงห่ะ? อย่าลืมไปสิว่า ผมเป็นแพทย์และยังเป็นแพทย์ที่แม้แต่คุณปู่ของคุณเองยังให้เกียรติเชิญมาที่นี่ ยังต้องให้สาธยายอะไรอีกไหม? นี่จะทำให้คุณปู่ตัวเองต้องลำบากใจไปถึงเมื่อไหร่กัน?”
ฉีเล่ยไม่แม้แต่ให้โอกาสเธอปริปากโต้ตอบด้วยซ้ำ ระเบิดคำพูดร่ายใส่ชุดใหญ่ชนิดไม่มีเว้นช่องไฟให้แทรก
เขาไม่ได้ต้องการอวดเบ่งต่อหน้าสาวสวย เพียงต้องการสร้างความเชื่อมั่นของผู้ป่วยที่มีต่อตัวเขาเท่านั้น หากผู้ป่วยทางจิตไม่แม้แต่สามารถเชื่อใจแพทย์ที่พวกเขากำลังทำการรักษาอยู่ได้ นั้นเท่ากับว่าเธอจะไม่มีทางเปิดใจให้แพทย์เข้าสืบเสาะหาต้นเหตุได้เลย
หน้าที่ของฉีเล่ยในขณะนี้คือสร้างความเชื่อมั่นให้แก่เธอ เพื่อเปิดใจและดูว่าปมสาเหตุที่แท้จริงของโรคดังกล่าวมันคืออะไรกันแน่?
ความคิดทัศนคติของคนจีนยังไม่ค่อยเปิดกว้างพอสำหรับเรื่องพวกนี้ ในความคิดของคนพวกนี้ อาการหรือโรคทางจิตนับเป็นเรื่องอับอายอย่างมาก แนวคิดยังคงโบราณคร่ำครึเกินไป บางคนแค่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า กลับโดนสังคมตีกรอบว่าบ้าก็ยังมีให้เห็นทั่วไป หรือแม้แต่เมื่อครู่ที่หลี่ฮั่วเฉินรำพึงรำพันไปก็เช่นกัน พอฉีเล่ยบอกว่า เธออาจจะกำลังป่วยทางจิต จู่ๆ เขาก็อุทานขึ้นทันทีว่า หรือหลานสาวของเขาจะนิยมชมชอบเพศเดียวกัน
จากคำพูดของหลี่ฮั่วเฉินมันสะท้อนให้เห็นถึงอะไร?
คำตอบก็ง่ายมาก มันสะท้อนให้เห็นถึงกรอบความคิดผิดๆ ที่สืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยก่อน!
นี่จึงเป็นสาเหตุให้จำนวนประชากรของคนจีนที่ป่วยเป็นโรคทางจิตมากกว่าชาวตะวันตกหรือคนในแถบยุโรป อเมริกาเป็นต้น เพราะกลัวโดนคนอื่นตราหน้าว่า ‘เป็นบ้า’ จึงไม่กล้าบอกว่าตัวเองกำลังป่วยทางจิต
แน่นอนว่าอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่เป็นแบบนี้คือ ค่ารักษาโรคจำพวกทางจิตในจีนค่อนข้างมีราคาที่สูงมาก
ภายในห้องสี่เหลี่ยม หลี่ถงซีจับจ้องไปที่ฉีเล่ยด้วยสายตาอันว่างเปล่า เธอไม่รู้เลยว่าตัวเองควรตอบอย่างไรกลับไปดี
เธอย่อมตระหนักถึงปัญหาของตนเองดีกว่าใคร ทั้งยังรู้อีกว่า บาดแผลทางจิตใจที่ฝังลึกอยู่นี้มันไม่สามารถลบเลือนออกไปได้เช่นกัน แต่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ หรือเธอ…ต้องเปิดใจเล่าเรื่องให้กับชายแปลกหน้าคนนี้ฟัง? อีกฝ่ายทั้งอายุน้อยกว่า อ่อนประสบการณ์กว่าอย่างเห็นได้ชัด แล้วช่วยอะไรเธอได้?
“เอาล่ะ จากนี้ต่อไป…ผมจะเป็นจิตแพทย์ประจำตัวของคุณ ในฐานะจิตแพทย์ ผมควรทราบ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคุณกันแน่?”
“ฉัน…”
หลี่ถงซีดูเหมือนต้องการจะพูด แต่ก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะเริ่มยังไง
ฉีเล่ยไม่กล้าผ่อนปรนละเลยอีกฝ่ายแม้แต่เสี้ยววินาที ตอนนี้เขาจำเป็นต้องทลาย ‘กำแพงแห่งจิตใจ’ ที่เธอสร้างขึ้นลงให้จงได้ นี่จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะทำให้เธอยอมปริปากเล่าออกมา
“เขาคนนั้นเป็นใคร?”
ฉีเล่ยเอ่ยถามสวนกลับไปทันทีเชิงว่ารู้ทันอะไรบางอย่าง
สำหรับความรู้ทางด้านจิตวิทยา โดยปกติทั่วไปฉีเล่ยเป็นคนสนใจเกี่ยวกับเรื่องแนวนี้อย่างมาก ทั้งหนังสือศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ และ12ตัวชี้วัดทางจิตวิทยาของไฮเดอร์ [1] เขามักจะอ่านหนังสือแนวนี้มาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงมีทักษะและชั้นเชิงการพูดคุยที่เหนือกว่าคนปกติทั่วไปมาก
“คังฟาน”
หลี่ถงซีตกลงสู่กับดักทางจิตวิทยาของฉีเล่ยเรียบร้อย และยอมปริปากคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดออกมา
“พอจะเล่าเรื่องของเขาให้ผมฟังได้ไหม?”
ฉีเล่ยเอ่ยถามน้ำเสียงนิ่งต่อทันที
หลี่ถงซีถึงกับสะดุ้งก่อนตระหนักได้ว่า เธอเผยจุดอ่อนของตนโดยไม่ตั้งใจออกไปเสียแล้ว สัญชาตญาณของผู้ป่วยทางจิตอย่างเธอจำต้องรีบสร้างเกราะป้องกันทางจิตใจขึ้นมาโดยไว เธอเหลือบสายตามองฉีเล่ยเล็กน้อยอย่างระมัดระวังและเอ่ยถามน้ำเสียงเย็นชายิ่งว่า
“คุณจะรู้ไปทำไม?”
“ผมต้องการทราบต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดที่ทำให้คุณเกลียดผู้ชาย คุณเลือกที่จะไม่เล่าก็ได้นะครับ ถ้าคิดว่าทนอยู่ในสภาพแบบนี้ต่อไปไหว? ตอนนี้คุณก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ใช่เด็กๆ เรื่องบางเรื่องผมก็ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา ผมขอพูดตรงนี้เลยนะครับว่า สิ่งเดียวที่ผมกลัวที่สุดคือ แนวโน้มอาการของคุณที่อาจทรุดหนักมากยิ่งขึ้น และถ้ายังปล่อยผ่านไปแบบนี้ สักวันหนึ่ง…แม้แต่คุณปู่ของคุณก็ไม่สามารถเข้าใกล้ตัวคุณได้”
ฉีเล่ยมองลึกลงไปในแววตาคู่สวยของหลี่ถงซี และปริปากกล่าวน้ำเสียงจริงจังต่อว่า
“ถ้าถึงตอนนั้นขึ้นมาคุณจะทำยังไง? ใช้ชีวิตต่อจากนี้คนเดียวจนตาย? ตัดขาดความสัมพันธ์ทั้งเพื่อนรวมไปถึงญาติทุกคน? ในวาระสุดท้าย ถ้าหากลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าคุณอยู่ตัวคนเดียวบนเตียงและสิ้นใจทั้งแบบนั้นโดยไม่มีใครรับรู้ มันไม่น่าหดหู่เกินไปหน่อยเหรอ?”
ภายใต้วาจาที่เข้ากระหน่ำโจมตีของฉีเล่ย กำแพงจิตใจที่หลี่ถงซีสร้างขึ้นมากำบังก็ค่อยๆ พังทลายลง จู่ๆ เธอก็ถอยติดกำแพงห้องและนั่งย่องๆ อยู่กับพื้น ทันใดนั้นเธอก็ระเบิดน้ำตาร้องไห้ออกมา
มันนานเกินไป…เธอเก็บกดความกลัวทั้งหมดนี้นานเกินจะแบกรับไหวได้ไหวอีกต่อไป
…………
แสงจันทร์สีนวลสว่างสาดส่องผ่านม่านหน้าต่างด้านนอกเป็นแสงอ่อน สายลมยามรัตติกาลราตรีพัดผ่านเป็นคลื่นระลอกโชยอ่อน ปลายผมสลวยยาวสีดำขลับของหลี่ถงซีโบกสะบัด เธอค่อยๆ สวมเสื้อคลุมที่ฉีเล่ยหยิบมาให้ และนั่งหันหน้าเข้ามากันตรงระเบียงห้องนอน
ถึงแบบนั้นหลี่ถงซีกลับไม่ได้แลเหลียวมองฉีเล่ยที่นั้งตรงหน้าแม้สักนิด สายตาของเธอดูเลื่อนลอยเหม่อมองไร้จุดโฟกัส
ปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆ ว่า หลี่ถงซีเธอเกิดมาพร้อมความงดงามเกินบรรยาย คู่คิ้วของเธอคมสวยราวกับมงกุฎแสนเล่อค่า ผนวกเข้ากับสีหน้าท่าทางอันเย็นชานั้น กลับดูมีเส่นห์อย่างบอกไม่ถูก เพียงได้สบตากับเธอ ก็ถึงกับตกอยู่ในภวังค์เสมือนต้องมนต์
สาวสวยแบบนี้เป็นผู้หญิงที่ชายทุกคนในโลกเฝ้าตามหาอย่างแท้จริง
แต่ถึงแบบนั้น เธอกลับป่วยเป็นโรคกลัวผู้ชาย
ในฐานะแพทย์ ฉีเล่ยรู้สึกว่า นี่เป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องช่วยเหลือเธอให้หลุดจากวัฏจักรความทรมานที่เป็นอยู่ให้ได้ เพื่อให้ตัวเธอสามารถมีความสุขกับคำว่า ‘ความรัก’ เฉกเช่นคนปกติทั่วไป แค่เห็นก็รู้สึกสงสารแทนหลี่ฮั่วเฉินแทนเลย
“หลังจากที่เรียนจบ ฉันก็ถูกเสนอชื่อให้เข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สาขาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน”
ในที่สุดหลี่ถงซีก็ยอมปริปากเอ่ยขึ้น ซึ่งได้ทำลายบรรยากาศอันเงียบงันระหว่างทั้งสองลง
“นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า ตัวคุณนั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน”
ฉีเล่ยคลี่ยิ้มกว้างและพยักหน้าเห็นด้วยทันที นี่ไม่ใช่การประจบสอพลอ แต่คำพูดเหล่านี้ถูกกลั่นออกมาจากใจจริงของเขาต่างหาก ไม่เพียงแค่ความงดงามไร้ที่ติของหลี่ถงซีเท่านั้น แต่ทั้งในด้านความรู้ความสามารถของเธอยังเป็นเลิศอีกด้วย ผู้หญิงแบบนี้ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ล้วนแต่ต้องกลายเป็นจุดสนใจของฝูงชนทั้งสิ้น
ในสมัยนี้ ผู้หญิงรุ่นราว27-28ปีที่ยังไม่แต่งงาน บางคนอาจเคร่งใน ‘ลัทธิไม่แต่งงาน’ บ้างก็ออกไปด้านหัวศิลปินเกินเข้าใจ แยกตัวออกไปจากสังคมเพื่อใช้ชีวิตอิสระตามลำพัง กล่าวได้ว่า สาวสวยแบบเธอล้วนแต่งงานมีครอบครัวกันไปหมดแล้ว
หรือไม่อย่างนั้นก็ควรมีแฟนที่กำลังคบหาดูใจอยู่บ้าง?
หลี่ถงซีกล่าวต่อว่า
“ตอนที่ฉันใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกา ในตอนนี้ฉันมีความสุขและทุกอย่างมันสมบูรณ์แบบอย่างมาก ในด้านวิชาการ ไม่มีใครต้องมาบังคับให้เข้าเรียนตามเวลา แต่ทางมหาลัยต่างให้อิสระแก่เราได้จัดแจงตารางชีวิต นึกอะไรก็สามารถถามออกมาได้โดยไม่ต้องสนใจสายตาหรือทัศนคติคนรอบข้าง ขอเพียงไม่ใช่คำถามที่ล้ำเส้นมากเกินไป”
คล้อยหลังพูดจบ เธอก็ปิดปากเงียบลงอีกครั้ง
ใบหน้าของหลี่ถงซีเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและสับสนในเวลาเดียวกัน ราวกับจิตวิญญาณของเธอในขณะนี้ได้ดำดิ่งสู่โลกในวันวานที่มีความทรงจำทั้งดีและเจ็บปวด
ฉีเล่ยเพิ่งจะรู้สึกได้ว่า หลี่ถงซีในตอนนี้คือตัวเธอจริงๆ ส่วนก่อนหน้านั้นทั้งหมดที่ดูเย็นชาไร้ความรู้สึก ทั้งหมดเป็นเพียงกำแพงที่เธอสร้างขึ้นเพื่อคั่นกลางระหว่างตัวเองกับคนภายนอก
เธอคนนี้ถูกบังคับให้สวมหน้ากากอยู่ตลอด เพียงเพราะอาการป่วยทางจิตที่เป็นอยู่
“แล้วเขาคนนั้นล่ะ? คงเก่งไม่ต่างจากเธอเลยใช่ไหม?”
ฉีเล่ยกล่าวเปิดหัวเรื่องต่อทันที ทั้งนี้ก็เพื่อสืบทราบประวัติและภูมิหลังของผู้ป่วยต่อไป
หลี่ถงซีพยักหน้าตอบว่า
“เขามาจากเมืองหลวงที่เดียวกับฉัน ในขณะที่ทุกคนรอบข้างล้วนเป็นชาวต่างชาติกันหมด เดิมทีเข้าเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคนที่บ้านเกิดมาก อีกทั้งยังเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากอีกด้วย เขาเข้าไปศึกษาที่ฮาร์วาร์ดก่อนฉันประมาณหนึ่งปี แต่กลับสามารถจบปริญญาเอกสาขาภูมิคุ้มกันได้ แถมยังสามารถขึ้นเป็นประธานสมาคมได้อีกด้วยในเวลาต่อมา เขาเป็นคนที่มีอิทธิพลอย่างมากในหมู่นักศึกษาต่างชาติด้วยกัน”
ฉีเล่ยพยักหน้าตอบ มีเพียงชายผู้เป็นอัจฉริยะเท่านั้นที่คู่ควรกับหลี่ถงซีคนนี้ได้