ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่ 97 ร้อยต่อหนึ่ง
ตอนที่97 ร้อยต่อหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอาจริงขึ้นมา จินเซิงก็รีบชูขวดปากฉลามขึ้นจ่อตรงหน้าทันที
ฉีเล่ยฉุดแขนของเขากลับมาพร้อมตะโกนสั่งว่า
“ไปหลบหลังผม”
“อาจารย์ฉี…”
“ไปหลบหลังผมให้หมด ห้ามใครขยับเด็ดขาด”
น้ำเสียงของฉีเล่ยฟังดูเด็ดขาดราวกับใครกล้าขัดคำสั่งคนนั้นตาย!
“ดีที่แกยังมีความกล้าอยู่บ้าง”
ชายวัยกลางคนเอ่ยปากชมและหันไปสั่งการว่า
“ทำให้มันเป็นง่อยก่อน”
บอดี้การ์ดในชุดสูทสีดำคนแรกพุ่งโจมตีเข้าใส่โดยตรง ทว่าไม่นานฉีเล่ยก็ยกมือขึ้นรับกำปั้นอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย เสี้ยวอึดใจต่อมา ดัชนีทั้งสามสิบสองจุดถูกสกัดทั่วร่างกำยำใหญ่ของบอดี้การ์ดคนนั้นอย่างรวดเร็วจนยากที่จะมองเห็นด้วยตาเปล่า ก่อนจะล้มลงกับพื้นเห่าหอนคร่ำครวญเสียงดังสนั่นด้วยความเจ็บปวด
บอดี้การ์ดคอที่สองพุ่งเข้ามาตรงหน้า ทว่าผลลัพธ์ยังคงเหมือนเดิม
ขณะที่บอดี้การ์ดคนที่สามกำลังเข้าโจมตี กลับหยุดชะงักกลางทาง…
เขารู้สึกสับสนอย่างยิ่งกับอาการบาดเจ็บของสหายสองคนก่อนหน้า ไม่ทราบเลยสักนิดว่าฉีเล่ยทำได้อย่างไร คล้ายว่าอีกฝ่ายเคลื่อนไหวอะไรสักอย่างเป็นเงาซ้อนวูบวาบ เพียงชั่วพริบตาต่อมา สหายทั้งสองของเขาก็นอนกองกับพื้นแล้ว
ชายวัยกลางคนตะโกนขึ้นทันทีว่า
“ระวังตัวด้วยพวกแก! ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ธรรมดา!”
“หัวหน้า ผมใช้มีดได้ไหมครับ?”
บอดี้การ์ดคนที่สามเอ่ยถามขึ้น
“ใช้ไปเถอะ ไม่ต้องซ่อน”
น้ำเสียงที่เปล่งดังออกมาของชายวัยกลางคนดูไม่แยแส และไม่ได้เกรงกลัวเลยว่าอีกฝ่ายจะเป็นหรือตาย
บอดี้การ์ดคนหนึ่งตะโกนขึ้นทันทีว่า
“พี่น้อง จุดไฟบนมีด!”
ฉีเล่ยขมวดคิ้วขึ้นทันที ต่อให้ร้อยต่อหนึ่ง มันก็ไม่ใช่คู่มือของเขาเลยก็จริง แต่จะให้ปกป้องพวกนักศึกษาระหว่างต่อสู้กับพวกใช้อาวุธโดยไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ มันถือเป็นโจทย์ที่ยากมาก ในท้ายที่สุดนี้จำนวนเด็กที่เฉีเล่ยจำเป็นต้องปกป้องมีมากเกินไป เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมุ่งจุดสนใจในการพิฆาตศัตรูทั้งหมดโดยเร็วที่สุด คมมีดไม่มีตา ดังนั้นก็ต้องจัดการกับคนถือคมมีดก่อนเป็นอับดับแรก ถ้าเด็กๆพวกนี้เป็นอะไรขึ้นมาเกรงว่าเรื่องจะไม่จบเพียงเท่านี้แน่นอน
ไม่ต้องพูดถึงบาดแผลที่อาจเกิดจากคมมีดฟันใส่ เพียงแค่เกิดรอยแผลช้ำม่วงหรือห้อเลือดกับพวกนักศึกษาแค่สองสามคนก็เป็นเรื่องใหญ่แล้ว
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่มีข้อกังวลเรื่องพวกนี้เลย กล่าวได้ว่าเมื่อปราศจากข้อจำกัดหรือเงื่อนไขต่างๆภายใต้สถานการณ์การต่อสู้ พวกย่อมสะดวกในการลงมือกว่าฉีเล่ยมาก คมมีดติดไฟที่เกิดจากการราดน้ำมันใส่ปรวดพุ่งมาที่หน้าอกของฉีเล่ย ทันที ส่วนอีกเล่มหนึ่งหันทิศทางไปหาพวกกลุ่มนักศึกษา ดูจากท่าทางของคนพวกนี้แล้ว มันคิดจะเอาถึงตายจริงๆ
คมมีดติดไฟนับไม่ถ้วนพวยพุ่งกระหน่ำเข้าใส่โดยพร้อมเพรียง จากรูปการณ์ในตอนนี้ดูเหมือนว่าฉีเล่ยกำลังตกอยู่ในอันตราย ทว่าความเป็นจริง เขากลับสามารถจัดการกับพวกมันได้อย่างง่ายดาย เบี่ยงตัวหลบไปทางซ้านทีขวาที หลบปลายคมมีดที่จู่โจมเข้าใส่ สกัดขาป้องกันไม่ให้พวกที่เหลือมุ่งคมมีดใส่เหล่าลูกศิษย์ของเขาได้ พอได้จังหวะโต้สวนก็หยิบใช้ดัชนีจิ้มทะลวงเข้ากลางหน้าผากของบอดี้การ์ดคนหนึ่ง เสมือนกับว่าจู่ๆบอดี้การ์ดคนนี้ก็ธาตุไฟแตกซ่าน กรีดร้องลั่นราวกับคนเสียสติ ก่อนจะหมดสติลงไป อีกคนรีบตรงเข้ามาตรงหน้าพร้อมคมมีดติดไฟภายในมือ ทว่าก่อนจะเข้าถึงตัวฉีเล่ยได้ ขาทั้งงสองข้างพลันรู้สึกชาเฉียบพลัน และล้มหัวทิ่มกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
จินเซิงไม่สามารถทนดูอยู่เฉยๆได้อีกต่อไป เขารีบกระโดดเข้าร่วมการต่อสู้ทันที โดยยกขวดปากฉลามขึ้นกระสวกท้องบอดี้การ์ดคนหนึ่งที่ลอบโจมตีใส่ฉีเล่ยจากด้านข้าง เลือดสดสีแดงฉานพุ่งทะลักออกมาอย่างกับน้ำพุ ยกมือขึ้นกุมหน้าท้องด้วยความเจ็บลปวดก่อนจะล้มตึงลงกับพื้นในที่สุด
เมื่อเห็นเจียเซิงเปิดฉาก นักศึกษาชายที่เหลือก็แห่กันเข้ามาช่วยเหลือทันที
ฉีเล่ยที่เห็นดังนั้นถึงกับอุทานลั่นสาปแช่งในใจ ถ้าศัตรูทั้งหมดมุ่งเป้าหมายใส่เขาแค่คนเดียว มันจะเป็นเรื่องง่ายมากที่จะจัดการกับพวกมันทั้งหมดในคราวเดียว แต่พอพวกลูกศิษย์ของเขาเคลื่อนไหว นั้นเท่ากับว่า พวกมันจะเริ่มเบนเป้าหมายไปทางอื่นนอกจากเขาแทนคล้ายกับมดแตกรัง ทุกอย่างจะเกิดความโกลาหลขึ้นทันที และฉีเล่ยเองก็ใช่ว่าจะมีสามหัวหกแขน ที่จะเข้าดูแลผู้คนจำนวนมากในเวลาเดียวกันได้
ในเวลาแบบนี้ไม่รู้ทำไม ฉีเล่ยพลันรู้สึกคิดถึงกวนไห่ผิงขึ้นมาอย่างสุดซึ้ง ตราบใดที่กวนไห่ผิงอยู่ที่นี่และเข้าร่วมมือกับเขา ประสิทธิภาพในการต่อสู้คงเพิ่มพูนขึ้นอย่างน้อยสามเท่าทวี!
อัปเปอร์คัตใส่บอดี้การ์ดคนหนึ่งจนร่วงลงไป เหอจื่อรีบเข้าไปซ่อนตัวอยู่หลังโซฟามุมหนึ่ง เพื่อหลี้ภัยออกจากสมรภูมิเดือดแห่งนี้ชั่วขณะ จากนั้นเธอก็รีบหยิบมือถือโทรออกไปทันที
“มู่เซียวหยาน! ลูกสาวคนนี้ใกล้จะโดนแทงตายแล้ว!”
“หะ?!! แกอยู่ไหน? แกอยู่ที่ไหน?! ใครหน้าไหนมันกล้าแทงลูกสาวฉันห่ะ?! บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าแกอยู่ที่ไหน!!?”
ปลายสายโทรศัพท์ แม่ของเหอจื่อกรีดร้องลั่นทันทีด้วยความโกรธจัด
“อยู่ที่KTVโหย่วเฉียนเหยิน ถามทำไมเนี่ย? ตอนนี้หนูกำลังสู้กับพวกมันอยู่! จะตายอยู่แล้ว! แม่รู้ไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร?”
เหอจื่อกล่าวโต้ทันทีอย่างกังวลใจ
“เจ้าเด็กโง่! ทำไมแกนี่ชอบทำให้ฉันเป็นห่วงนักนะ! รอก่อนนะ แม่ใกล้ไปถึงที่นั่นแล้ว!”
“แล้วแม่จะมาทำไมที่นี่! ให้พวกมันฆ่าทิ้งเล่นรึไง!? รีบส่งพ่อมาที่นี่เดี๋ยวนี้!”
เหอจื่อแหกปากตะโกนลั่นแทบระเบิดอารมณ์ใส่แม่บังเกิดเกล้าเต็มทน เธอกลัวว่าแม่วัยใสของตัวเองจะมาฆ่าตัวตายที่นี่ซะมากกว่า
ชุดสูทสีน้ำเงินยี่ห้อArmaniผนวกกับท่วงท่ากระบวนต่อสู้อันเฉียบคมของฉีเล่ย เห็นแล้วเท่เป็นบ้า
ในแต่ละกระบวนท่าที่เคลื่อนไหวออกไปของฉีเล่ย ทำให้เกิดเสียงเสียดอากาศดังหวือหวาด ฟังแล้วดูเหมือนกับฉากประลองยุทธ์ของหนังจีนกำลังภายใน ถึงจะดูเป็นภาพฉากน่าประทับใจ แต่ในความเป็นจริง เสียงดังกล่าวเกิดจากวัสดุและเนื้อผ้าของชุดสูทไม่ดีพอ ทำให้ความยืดหยุ่นอยู่ในระดับที่ต่ำ จึงก่อให้เกิดเสียงฉีกขาดของเนื้อผ้า
ถึงกระนั้น แต่ละกระบวนเคลื่อนไหวของฉีเล่ยยังคงรวดเร็วเกินกว่าจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า พวกศัตรูไม่แม้แต่มีเวลาตั้งตัวใดๆ วิสัยทัศน์เบื้องหน้าเห็นเพียงเงาสายหนึ่งที่ปรวดพุ่งเข้ามา ก่อนที่จะรู้สึกตัวอีกทีก็นอนหมดสภาพอยู่คาพื้นแล้ว
ตั้งแต่เริ่มต่อสู้จวบจนบัดนี้ ฉีเล่ยใช้เพียงดัชนีสองนิ้วเพื่อจู่โจมเท่านั้น โดยการสกัดจุดฝังเข็มลงบนร่างกายของพวกบอดี้การ์ดเท่านั้น ไม่ถึงขั้นฆ่าแกงกันจริงๆ
ถ้าหากให้ฉีเล่ยเปลี่ยนจากดัชนีสองนิ้วเป็นกำปั้นจริงล่ะก็ ปานนี้พวกมันหลายคนคงตายไปนานแล้ว
ฉีเล่ยบิดข้อมือบีบให้อีกฝ่ายยอมปล่อยคมมืดลง ก่อนจะกระตุกข้อกระดูกให้หลุดออกจากเบ่าและผลักร่างอีกฝ่ายจนเซล้มไป อีกฝ่ายพยายามคลานขึ้นมานั่งกับพื้นจับข้อมือแม้แต่จะร้องยังไม่มีเสียง ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำแสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดสุดพรรณนา
ข้อมือของหมอนี่หลุดออกมาแล้ว
เมื่อเห็นว่าพวกบอดี้การ์ดของตนไม่สามารถแตะเนื้อต้องตัวฉีเล่ยได้เลยแม้แต่ปลายเล็บ ชายวัยกลางคนผู้นั้นก็เสียสูญไปชั่วขณะก่อนถ่มน้ำลายลงพื้นไปที สบถขึ้นว่า
“ไอ้พวกสวะ!”
“เห้ย! พวกแกเอาเพื่อนรักมาด้วยไม่ใช่รึไง! ควักออกมายิงมันเลยสิ!”
หม่ารุ่ยกล่าวกระตุ้นพวกบอดี้การ์ดที่ยังเหลืออยู่ทันที
ชายวัยกลางคนเหลือบหางตามองหม่ารุ่ยเล็กน้อย ก่อนจะล้วงกระเป๋าเสื้อด้านในหยิบปืนพกของตนออกมา และส่งให้อีกฝ่ายโดยตรง
“คงรู้จักวิธีเหนี่ยวไกลนะ อยากยิงก็ยิงเอง”
ชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ใช่คนโง่ ตราบใดที่เขาหยิบปืนออกมา นั่นเท่ากับว่าสถานการณ์ความรุนแรงจะบานปลายขึ้นทันที ที่เขามายืนอยู่ตรงนี้ก็เพื่อช่วยเหลือคนอื่นไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ดังนั้นเขาจำเป็นต้องขึ้นขั้นลงมือเองให้เสี่ยงเปล่า
ช่วงเวลากดดันบีบเค้นเข้ามา หม่ารุ่ยค่อยๆยื่นมือที่สั่นเทาออกไปจับด้ามปืน เขาอยากจะฆ่าฉีเล่ยทิ้งด้วยกระสุนปืนจริงๆ
อย่างไรก็ตาม หลังจากลังเลอยู่นาน เขาก็วางปืนกลับคืนอีกฝ่ายไปพร้อมยิ้มเยาะกับตัวเองว่า
“ลืมมันไปเถอะ ผมไม่กล้าใช้เจ้าสิ่งนี้จริงๆ”
ชายวัยกลางคนเก็บปืนลง และหันมากล่าวกับหม่ารุ่ยว่า
“แกคิดว่าฉันโง่นักรึไง? จะยืมมือฉันฆ่าไอ้หมอนี่ ส่วนแกก็ไม่ต้องทำอะไรเลยงั้นเหรอ? เหอะ ใจเสาะจริงๆ! ขนาดมีปืนอยู่กับมือยังไม่กล้าแม้แต่จะเหนียวไกเลย!”
หม่ารุ่ยหัวเราะแห้งแก้เขิน
“ผมแค่พูดออกไปโดยไม่ยั้งคิดน่ะครับ ผะ-ผม…ผมจะกล้าใช้คุณทำแบบนั้นได้ยังไง?”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นโยนก้นบุหรี่ทิ้ง พลางกระทืบเท้าบดละเอียดอยู่คาพื้น จากนั้นก็กวาดสายตามองดูสถานการณ์การต่อสู้อันแสนยุ่งเหยิงภายในห้อง เขากล่าวขึ้นว่า
“จู่ๆแกไปมีเรื่องกับไอ้หมอนี่ได้ยังไง? ไอ้หมอนี่เป็นคนที่ไม่ควรยุ่งด้วยแท้ๆ…แต่แกก็พาซวยจนได้! แกลองแหกตาดูสิว่า มีพี่น้องของฉันจำนวนมากแค่ไหนที่โดนมันจัดการไปภายในเวลาไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ! ”
สีหน้าของหม่ารุ่ยดูน่าเกลียดอย่างมาก ใครจะไปคิดว่าหมอนี่จะเก่งด้านศิลปะการต่อสู้แบบนี้กัน? เขารีบกล่าวตอบไปทันที
“เวร! ผมไม่รู้จริงๆครับว่ามันจะสู้เก่งขนาดนี้ หรือ…ควรเรียกคนมาเพิ่มดีไหมครับ?”
“เรียกคนมาเพิ่ม? คนอย่างฉันเคยเรียกคนมาเพิ่มตั้งแต่ตอนไหนกัน! ถ้าทำแบบนั้นชื่อเสียงของพี่ชายแกคนนี้พังไม่เป็นท่า! ครั้งนี้แกทำมากเกินไปจริงๆ อย่าลืมชดใช้ความเสียหายที่ก่อไว้ด้วยหลังจากนี้ นี่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้เลย!”
“ครับ เดี๋ยวผมเลี้ยงเหล่าพี่น้องพวกนี้เพื่อเป็นการไถ่โทษทีหลังครับ”
ชายวัยกลางคนพยักหน้าและเดินขึ้นหน้าแผดเสียงตะโกนดังลั่น
“ทุกคนหยุด!”
เมื่อได้ยินเสียงคำสั่งการของเขา บอดี้การ์ดทุกคนในห้องพลันหยุดมือในทันที ส่วนพวกที่บาดเจ็บก็นอนร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดไม่หยุดหย่อนอยู่บนพื้น บางคนพยายามคลานเข้าหาแทบเท้าของชายวัยกลางคน
บอดี้การ์ดคนหนึ่งโดนขวดปากฉลามแทงบริเวณต้นขากระเผกเข้ามากล่าวว่า
“หัวหน้า พวกเราพยายามสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ยังหยุดพวกมันไม่ได้!”
ชายวัยกลางคนกล่าวตอบอย่างไม่ค่อยพอใจว่า
“ก็ใครขอให้พวกมันเป็นนักศึกษากันล่ะ! ถ้าเราเผลอฆ่าพวกมันไปจริงๆ มีหวังเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นกันที่นี่แน่นอน!”
ฉีเล่ยลูบข้อมือของตนเล็กน้อย สำหรับศึกการต่อสู้ครั้งนี้ เขาใช้พละกำลังที่มีไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ แต่ก็ถือว่าได้ออกกำลังกายชุดใหญ่ หากเขาต้องเอาจริงกับคนพวกนี้ มีหวังพวกบอดี้การ์ดคงมีชะตากรรมแบบเดียวกับหลิวไห่หยางในตอนนั้นล
“คุณเองก็ตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหานี้เหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ?”
ฉีเล่ยหรี่ตาแคบจับจ้องไปที่ชายวัยกลางคนผู้นั้นและกล่าวต่อว่า
“ทั้งๆที่รู้ว่าหากเผลอทำอะไรนักศึกษาพวกนี้ลงไป ผลที่ตามมาจะเป็นยังไง? แต่คุณก็ยังเลือกที่จะลงมือ?”
คล้อยหลังพูดจบ ฉีเล่ยพลันรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างมันแปลกๆ ทั้งที่การต่อสู้ดังกล่าวกินพื้นที่เป็นวงค่อนข้างกว้าง น่าจะมีเสียงดังระหว่างชุลมุนเล็ดลอดบ้างไม่ใช่เหรอ? แต่ทำไมถึงไม่มีพนักงานของKTVออกมากันสักคน? แถมไม่มีใครโทรแจ้งตำรวจเลยด้วย?
ดูท่ากลุ่มคนพวกนี้น่าจะถาบทามไปบอกพวกKTVล่วงหน้าแล้ว หรือไม่แน่บางที คนพวกนี้อาจจะสมรู้ร่วมคิดกันตั้งแต่แรก