ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่304 สมควรได้รับกรรม
ตอนที่304 สมควรได้รับกรรม
ฉีเล่ยในตอนนี้แตกต่างจากฉีเล่ยในก่อนหน้านี้อย่างมาก!
หลังจากที่ได้เห็นฉีเล่ยเปลี่ยนไปจากนหน้ามือเป็นหลังมือ พี่เฉียงก็ถึงจะตกตะลึงและชะงักไปชั่วขณะ แต่เมื่อได้สติ ก็ยังคงมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเอง จึงได้ร้องตะโกนข่มขู่ออกไปว่า
“แกวอนหาที่ตายซะแล้ว!”
กระทั่งฮวาโหล่วเองยังตกใจอย่างมากที่เห็นฉีเล่ยเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแบบนี้ เธอยังจำได้ว่า ก่อนหน้านี้ฉีเล่ยยังถูกพวกมันทำร้ายอย่างไร้ทางสู้ เพราะพลังแปลกประหลาดที่เขาใช้เปิดประตูหินนั้น ดูเหมือนจะหมดลงแล้ว
แต่ทำไมตอนนี้ จู่ๆถึงได้มีพละกำลังขึ้นมาแบบนี้ได้?
“ฮ่าๆๆๆ”
ฉีเล่ยหัวเราะออกมาเสียงดังกึกก้อง ก่อนจะล้วงเอาบางสิ่งบางอย่างออกมาจากอกเสื้อให้พี่เฉียงดู พร้อมกับร้องถามออกไปว่า
“พวกแกต้องการหลิงตันนี่ใช่ไหม?”
แสงสว่างสีขาวที่สาดส่องออกมาจากร่างของฉีเล่ยเมื่อครู่นั้น แท้ที่จริงก็คือแสงสว่างของหลิงตันที่ซ่อนอยู่ในอกเสื้อของเขานั่นเอง และดูเหมือนว่า แสงสว่างจากหลิงตันกับร่างของฉีเล่ยได้หลอมรวมเป็นหนึ่ง ทำให้เขาดูประหนึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์ที่จุติลงมาจากสรวงสวรรค์
“ใช่! มันอยู่กับแกเหรอนี่?!”
เมื่อพี่เฉียงได้เห็นหลิงตันในมือของฉีเล่ย สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นดุร้ายโหดเหี้ยมขึ้นมายิ่งกว่าเดิม เขาหันไปจ้องหน้าฉีเล่ยราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ พร้อมกับร้องตะโกนออกไปว่า
“ส่งมาให้ฉัน! มอบหลิงตันกับลิงน้อยตัวนี้ให้ฉัน แล้วฉันจะให้แกกับแม่สาวน้อยนั่นลงเขาไปได้อย่างปลอดภัย!”
เป้าหมายสำคัญของพวกเขาในครั้งนี้คือหลิงตันกับลิงน้อยเท่านั้น! ขอเพียงแค่สามารถนำหลิงตันกับลิงน้อยกลับไปได้ ก็นับว่าภารกิจครั้งนี้ของพวกเขาสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
แต่มีหรือที่ฉีเล่ยจะยอมให้ง่ายๆ เขาเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกชวนขนหัวลุก
“หึ! นี่แกยังคิดว่าตัวเองจะรอดชีวิตได้อีกงั้นเหรอ?”
ฉีเล่ยที่ก่อนหน้านี้ถูกอีกฝ่ายทำร้ายอย่างไม่มีทางสู้ ในที่สุดก็พลิกกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ เขาจ้องมองพี่เฉียงด้วยแววตาโหดเหี้ยม พร้อมกับแสยะยิ้มออกมา
“เสียใจด้วย โชคดีของแกมันหมดลงแล้ว!”
“บนยอดเขาที่สูงและห่างไกลผู้คนแบบนี้ ใครที่จะสามารถมาช่วยชีวิตของแกได้!”
และนี่คือคำพูดที่พวกมันได้พูดกับฉีเล่ยก่อนหน้านี้ และตอนนี้ ฉีเล่ยก็นำมาพูดกับพี่เฉียงที่กำลังจะพบกับชะตากรรมที่น่าสังเวช
แม้ฉีเล่ยจะยังไม่รู้เหตุผลที่แท้จริง แต่เขาก็คาดเดาเอาว่า คงจะเป็นเพราะพลังอำนาจของหลิงตันนี้ ทำให้พลังหยินและหยางในร่างของเขาฟื้นฟูกลับมาจนเต็มเปี่ยม
ฉีเล่ยร้องคำรามออกมาเสียงดัง เขาจะใช้พลังหยินและหยางในร่างนี้ กำจัดคนชั่วช้าที่อยู่ตรงหน้าทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาสมควรจะต้องทำ และอยากจะทำมากที่สุดในตอนนี้!
หลังจากที่ดิ้นรนอยู่นาน ในที่สุดพี่เฉียงก็สามารถดิ้นหลุดจากเงื้อมมือของฉีเล่ย และวิ่งกลับไปรวมอยู่กับกลุ่มพี่น้องด้านหลัง เขาจ้องมองฉีเล่ยด้วยความระแวดระวัง ก่อนจะระเบิดคำพูดออกมาด้วยความโกรธแค้น
“ไอ้สารเลว! แกทำให้ฉันหมดความอดทนแล้ว!”
ก่อนหน้านี้ เขาเป็นฝ่ายทำร้ายฉีเล่ยมาโดยตลอด แต่ตอนนี้ เขากลับต้องตกเป็นเบี้ยล่างเสียเอง มันทำให้เขารู้สึกเสียหน้าอย่างมาก
“ในเมื่อแกรนหาที่ตาย ก็อย่าคิดว่าฉันจะให้โอกาสแกอีกเลย!”
ครั้งนี้ พี่เฉียงไม่คิดที่จะปล่อยให้ฉีเล่ยมีชีวิตรอดลงเขาไปได้อย่างแน่นอน หลังจากพูดจบ มันก็พุ่งเข้าหาฉีเล่ยพร้อมกับชกหมัดเข้าที่หน้าอกของเขาทันที
ฉีเล่ยยังคงยืนยิ้มบางๆ และยกฝ่ามือขึ้นกำหมัดของอีกฝ่ายไว้เพียงเบาๆ ด้วยพลังหยินและหยางในร่างที่เต็มเปี่ยมเวลานี้ มีหรือที่ฉีเล่ยจะตกเป็นเหยื่อของคนพวกนี้อีก
หลังจากที่สยบกำปั้นของพี่เฉียงได้แล้ว ฉีเล่ยจึงได้เริ่มจู่โจมกลับบ้าง เขาหมุนตัวหนึ่งรอบอย่างสวยงาม พร้อมกับตวัดปลายเท้าเข้าใส่ขาของพี่เฉียง จนล้มลงกระแทกกับพื้นทันที
พี่เฉียงถึงกับจุกจนพูดไม่ออก แต่ถึงอย่างนั้นก็รีบหันมาทางพี่น้องของตน พร้อมกับทำสีหน้าท่าทางแปลกๆ คล้ายกำลังส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง
ผ่านไปราวหนึ่งนาที ดวงตาของทุกคนก็เป็นประกายวูบวาบคล้ายมีแสงแห่งเวทย์มนตร์ปรากฏอยู่
ตูม!
เสียงคล้ายระเบิดดังขึ้นอยู่ตรงหน้า จากนั้น ฉีเล่ยก็เห็นเสาสีดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น และกำลังพุ่งทะยานตรงมาทางเขา
“แย่แล้ว!”
ฉีเล่ยถึงกับต้องร้องอุทานออกมา เพราะยังไม่ทันที่เขาจะได้ตั้งตัว เสาสีดำนั้นก็ฟาดเข้าใส่ร่างของเขาแล้ว แสงสว่างเจิดจ้ารอบตัวของฉีเล่ยค่อยๆจางลง จากนั้นร่างของเขาก็ค่อยๆร่วงลงไปนอนกับพื้น
แต่ทางด้านของพี่เฉียงกับลูกน้องของมันนั้น ก็ใช่ว่าจะอยู่ในสภาพไม่น่าเป็นห่วง เวลานี้ ทุกคนต่างก็ยกมือขึ้นกุมหน้าอกของตนเองไว้ พร้อมกับไอออกมาอย่างหนัก คล้ายกับว่าการกระทำเมื่อครู่ได้ทำให้พวกมันสูญเสียพลังไปอย่างมาก
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีอะไรต้องน่าเป็นห่วงอีก ในเมื่อตอนนี้ฉีเล่ยได้หมดสติไปแล้ว และกำลังนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่อย่างนั้น
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! สุดท้ายก็บีบบังคับให้พวกเราต้องทำแบบนี้จนได้ พวกเราเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดกันแล้ว!”
พี่เฉียงเดินตรงเข้าไปหาร่างของที่นอนแน่นิ่งไม่ไหวติงของฉีเล่ย พร้อมกับถ่มน้ำลายลงพื้น เขายกฝ่าเท้าขึ้นเหยียบร่างของฉีเล่ยไว้ ปากก็ร้องคำรามออกมาด้วยความเคียดแค้น
“ตื่นขึ้นมสิวะ! เก่งนักไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่ลุกขึ้นมาข่มขู่ฉันอีกล่ะ ไอ้หมอกระจอก!”
แต่ร่างของฉีเล่ยก็ยังคงนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง และไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ
พี่เฉียงก้มลงยกมือขึ้นตบหน้าฉีเล่ยอีกสองสามครั้ง ตอนนี้ มันไม่ได้สนใจฮวาโหล่วเลยแม้แต่น้อย มันหันกลับไปมองพี่น้องของมันพร้อมกับพูดขึ้นอย่างใจเย็น
“เอาล่ะ! ไปจับตัวเจ้าลิงน้อยได้แล้ว ส่วนฉัน จะจัดการกับหลิงตันในมือของมันเอง!”
ตั้งแต่ที่ได้เห็นหลิงตันในมือของฉีเล่ย เจ้าลิงน้อยก็ดูไร้ค่าในสายตาของพี่เฉียงขึ้นมาทันที และเวลานี้ เขาสนใจแต่หลิงตันล้ำค่าในกำมือของฉีเล่ยเท่านั้น
คนอื่นๆที่เหลือต่างก็ไปช่วยกันจับตัวเจ้าลิงน้อย ในขณะที่ลูกพี่ของพวกมันกำลังแกะมือฉีเล่ยที่กำไว้ออก เพื่อที่จะช่วงชิงเอาหลิงตันมา
ความพยายามในครั้งแรกล้มเหลว ดูเหมือนก่อนที่ฉีเล่ยจะหมดสติไปนั้น เขาได้ใช้พละกำลังทั้งหมดของตนเองที่มี กำหลิงตันในมือไว้อย่างสุดกำลัง ทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถแกะออกได้ง่าย
“ไอ้เวรนี่! กำแน่นซะจริงนะ!”
พี่เฉียนบ่นพึมพำพร้อมกับยิ้มเยาะ ในขณะที่มือก็สาละวนอยู่กับการแกะนิ้วมือของฉีเล่ย แต่จู่ๆ ข้อมือของเขาก็ฝ่ามือของใครบางคนคว้าอย่างไม่คาดคิด ตามมาด้วยเสียงที่เย็นยะเยือก
“ใครอนุญาตให้แกเอาไป?”
และเสียงนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเสียงพูดของฉีเล่ยนั่นเอง ใบหน้าของเขายังคงมีรอยฝ่ามือปรากฏอยู่อย่างเห็นได้ชัด แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
“ห๊ะ?! นี่แกยังไม่ตายอีกเหรอ?”
พี่เฉียงร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ และประหลาดใจ แต่เพราะมั่นใจว่า ฉีเล่ยได้ถูกเวทย์มนต์ของพวกมันจู่โจมจนสูญเสียพลังไปแล้ว มันจึงได้ใส่ใจอะไรนัก และได้พูดต่อทันทีว่า
“ถ้างั้นก็ตายตอนนี้เลยก็แล้วกัน!”
ทันทีที่พี่เฉียงพูดจบ และกำลังจะใช้พละกำลังเฮือกสุดท้ายของตนเองจัดการกับฉีเล่ยนั้น จู่ๆ ลำแสงที่แข็งแกร่งก็พุ่งออกมาจากร่างของฉีเล่ย ก็ได้กลืนเอาร่างของพี่เฉียงและลูกน้องของมันเข้าไป
ภายในเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้อันตรธานหายไป ไม่เหลือแม้กระทั่งแสงสว่าง!
ฉีเล่ยเองก็ได้แต่ตกตะลึง เขาไม่คิดว่าผลลัพธ์ของมันจะรุนแรงมากถึงขนาดนี้ เขาจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้างุนงงและประหลาดใจ เพราะเวลานี้ กลับเหลือเพียงแค่ความว่างเปล่า…
“คนพวกนั้นหายไปไหนหมด?”
ฉีเล่ยพึมพำออกมาเบาๆ ฮวาโหล่วที่อยู่ใกล้ๆได้แต่ส่ายหน้าไปมา พร้อมตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่ตกใจไม่แพ้กัน
“ดะ.. ดูเหมือนว่า นายจะทำให้พวกเขาหายไปหมดแล้ว”
ฉีเล่ยแทบไม่อยากจะเชื่อว่า เขาจะทำเรื่องแบบนี้ได้ สีหน้าของเขาเวลานี้ จะร้องไห้ก็ไม่ใช่ จะหัวเราะก็ไม่เชิง ปากก็ได้แต่พึมพำออกมาเสียงเบา
“นี่.. นี่มันคือเรื่องจริงใช่ไหม?”
ฉีเล่ยทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ลากร่างที่บาดเจ็บของตนเองลุกขึ้น พร้อมกับพูดขึ้นอย่างช้าๆว่า
“ช่างเถอะ! คนชั่วช้าอย่างพวกมัน สมควรได้รับกรรมอยู่แล้ว พวกเรารีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่า!”
แต่หลังจากพูดจบไปแล้ว จู่ๆ ฉีเล่ยก็ไอออกมาอย่างรุนแรง และในที่สุดก็กระอักเลือดออกมา!
ฉีเล่ยรู้ดีว่า สถานที่แบบนี้ไม่ควรที่จะอยู่นานนัก เพราะเขาเองก็ไม่มั่นใจว่า หลังจากคนกลุ่มนี้แล้ว ยังจะมีใครอีกบ้างที่อาจปรากฏตัวขึ้นมา อาจจะเป็นคนของพวกมันที่จะออกตามหาคนที่หายไปก็เป็นได้ เขาจึงไม่ได้สนใจกับอาการบาดเจ็บของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
“รีบไปกันดีกว่า อยู่ต่ออีกนาทีเดียวก็ไม่ดี!”
แม้เสื้อผ้าของฮวาโหล่วจะขาดวิ่น แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาเขินอาย สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ ต้องรีบลงจากยอดเขาจิ่วเหลียนให้เร็วที่สุด!
ฉีเล่ยเห็นเจ้าลิงน้อยไม่ได้เป็นอะไรมาก มีเพียงแค่อาการตกใจเล็กน้อย จึงได้หันไปถามฮวาโหล่วว่า “คุณเดินไหวไหม?”
“ฉันเดินไหว ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก”
ฮวาโหล่วยกมือขึ้นโบกให้ฉีเล่ยเป็นการส่งสัญญาณว่าเธอสบายดี แต่สายตากับจับจ้องอยู่ที่หยดเลือดบนริมฝีปากของฉีเล่ย ปากก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ฉีเล่ย นายไหวใช่ไหม?”
“ไม่ต้องห่วง ผมยังไหว!”
ฉีเล่ยเอ่ยตอบ ก่อนจะพูดต่อว่า “ฮวาโหล่ว ผมต้องขอโทษที่ไม่ได้บอกฐานะที่แท้จริงของตัวเองให้คุณรู้ ผมยังไม่รู้จักคุณดีในตอนนั้น และไม่รู้ว่าจะไว้ใจคุณได้แค่ไหน?”
“ไม่เป็นไร! ฉันเข้าใจดี”