ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่306 ตกลงกันได้
ตอนที่306 ตกลงกันได้
หลังจากที่ได้ยินคำตอบของฉีเล่ย ชายหนุ่มก็ถึงกับหัวเราะออกมา พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า “ฮ่าๆๆ นี่คิดว่าชื่อของตัวเองมีค่ามากมายขนาดนั้นเชียวเหรอ?”
“มันก็ไม่ได้มีค่าอะไรมากมาย เพียงแต่ชื่อของฉันฉีเล่ยสามารถยืนยันได้ว่า ฉันเป็นพูดคำไหนคำนั้น!”
ชายหนุ่มยังคงหัวเราะด้วยความขบขัน เขาจ้องมองฉีเล่ยที่ดูมั่นอกมั่นใจในตัวเองอย่างมาก ก่อนจะตอบกลับไปว่า
“แล้วถ้าฉันไม่ยอม นายคิดว่าตัวเองจะมีปัญญาขัดขวางฉันได้งั้นเหรอ?”
ชายหนุ่มเริ่มมีน้ำเสียงหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อยกับท่าทีมั่นอกมั่นใจจนเกินควรของฉีเล่ย แต่ฉีเล่ยกลับไม่สนใจท่าทีของชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่จ้องมองด้วยสายตาเย็นชา และตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ก็ถ้านายก้าวเข้ามา ฉันก็จะทำลายคัมภีร์เล่มนี้ทิ้งทันทียังไงล่ะ ถึงตอนนั้นก็จะไม่มีใครได้คัมภีร์เล่มนี้ไปเลยสักคน!”
ในที่สุด ฉีเล่ยก็บีบให้อีกฝ่ายต้องเรียกกลุ่มคนที่ซ่อนอยู่นับสิบคนออกมาได้สำเร็จ แต่สีหน้าของเขากลับเรียบเฉยไร้ซึ่งความหวาดกลัว
“ทำไม? นี่นายคิดที่จะใช้กำลังบีบบังคับฉันงั้นเหรอ?”
ฉีเล่ยเอ่ยถามด้วยสีหน้าเย้ยหยัน ก่อนจะพูดต่อทันทีว่า “ในเมื่อนายบีบให้ฉันต้องลงมือ ก็อย่านึกเสียใจทีหลังก็แล้วกัน ฉันเสียใจด้วยนะที่จะไม่มีใครได้ครอบครองคัมภีร์เล่มนี้อีก!”
และที่ฉีเล่ยกล้าพูดจาท้าทายออกไปเช่นนั้น ก็เพราะว่า เมื่อครั้งที่อยู่บนยอดเขานั้น เขาได้อ่านคัมภีร์ทั้งเล่มจนจบแล้ว และถึงแม้ว่าจะไม่สามารถจำได้ทั้งหมด แต่ก็นับว่าตกหล่นไปไม่กี่สิบบรรทัดเท่านั้น
เพราะฉะนั้นแล้ว ต่อให้เขาทำลายคัมภีร์เล่มนี้ไป ฉีเล่ยก็เชื่อว่า เขายังเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบอย่างแน่นอน!
และดูเหมือนว่า ฉีเล่ยตั้งใจที่จะทำลายคัมภีร์ล้ำค่าเล่มนี้จริงๆ หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ คัมภีร์ล้ำค่าทางการแพทย์จะต้องหายสาบสูญไปจากโลกนี้อย่างแน่นอน!
แล้วก็เป็นอย่างที่ฉีเล่ยคาดเดาไว้จริงๆ หลังจากที่อีกฝ่ายได้เห็นสีหน้าท่าทางเอาจริงเอาจังของฉีเล่ย เขาก็ถึงกับตกใจและหวาดวิตกขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะเกรงว่าฉีเล่ยจะทำอะไรโง่ๆขึ้นมาจริงๆ
“นี่! อย่าเพิ่งทำอะไรโง่ๆแบบนั้นนะ พวกเรามาเจรจาตกลงกันก่อน นะ.. นายอย่าทำอะไรโง่ๆนะ”
ชายหนุ่มมีสีหน้าท่าทางตื่นตระหนกตกใจอย่างมาก และเหตุผลที่เขามาที่เขาจิ่วเหลียน ก็เพื่อตามหาแผนที่ล้ำค่าฉบับนี้ เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า คนที่เปิดประตูหินได้เท่านั้น จึงจะคู่ควรและมีคุณสมบัติที่จะได้ครอบครองคัมภีร์ที่เปรียบเสมือนมรดกตกทอดภายในตระกูลเล่มนี้
และด้วยเหตุนี้เอง ในเมื่อฉีเล่ยเป็นผู้ที่เปิดประตูหินได้ ถึงแม้เขาจะเป็นผู้หาแผนที่พบ เขาก็ต้องตัดสินใจมอบมันให้กับฉีเล่ยไป
ส่วนตัวเขา ก็ได้พาคนมาดักรออยู่ที่ตีนเขา เพื่อแย่งชิงคัมภีร์ล้ำค่าเล่มนี้ไปจากฉีเล่ยอีกที
ทั้งหมดล้วนเป็นแผนที่เขาวางไว้ตั้งแต่แรกทั้งสิ้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ฉีเล่ยจะใช้วิธีการเช่นนี้มาข่มขู่เขาแทน
ฉีเล่ยได้แต่หัวเราะออกมา มือของเขายังคงกำคัมภีร์เจินจิ่วเจี่ยอี่จิงไว้แน่น เพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่จะสามารถรักษาชีวิตของเขา และฮวาโหล่วให้ปลอดภัยได้
“ตกลงๆ ฉัน.. ฉันยอมแล้ว!”
ชายหนุ่มไม่กล้าแม้แต่จะลังเลอีก เขาไม่กล้าปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปนานกว่านี้ เพราะเชื่อว่า ในยามดึกจะมีผู้คนพากันเดินทางมาที่เขาจิ่วเหลียนเพิ่ม เพราะยังไม่มีข่าวคราวการค้นพบคัมภีร์กระจายออกไป จึงยังมีผู้ไม่รู้ทยอยเข้ามาค้นหาอีกเรื่อยๆ
หากให้คนอื่นพบเห็นหรือรู้เรื่องนี้เข้า แม้แต่ตัวเขาเองก็คงยากที่จะรับมือได้ไหว!
“แต่ต้องเป็นไปตามที่นายพูดไว้ในตอนแรกนะ ฉันขอต้นฉบับ ส่วนนายเอาสำเนาไป!” ชายหนุ่มเอ่ยย้ำกับฉีเล่ย
สำหรับฉีเล่ยนั้น การตกลงกันได้เช่นนี้นับเป็นผลลัพธ์ที่ดีกับเขามากแล้ว แม้เขาจะไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของชายหนุ่มคนนี้ แต่สำหรับเขาแล้ว เขาต้องการเพียงแค่เนื้อหาภายในคัมภีร์เท่านั้น ส่วนใครจะได้ครอบครองคัมภีร์เล่มจริงนั้น ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรสำหรับเขาเลยแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มหยิบปากกาและกระดาษจากลูกน้องของเขาออกมายื่นให้กับฉีเล่ย จากนั้น จึงได้แต่ยืนมองเขาค่อยๆคัดลอกคัมภีร์เล่มนั้นทีละเล็กทีละน้อย
เนื่องจากนี่เป็นคัมภีร์ที่ถ่ายทอดวิชาฝังเข็ม จึงมีภาพประกอบเกี่ยวกับร่างกายของมนุษย์ แต่เป็นเพราะฉีเล่ยไม่เก่งเรื่องการวาดภาพนัก เขาจึงต้องวานให้ฮวาโหล่วคัดลอกในส่วนนี้ให้
หลังจากผ่านไปร่วมหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดฉีเล่ยก็จัดการคัดลอกเนื้อหาภายในคัมภีร์ได้หมด เขาจัดการเก็บฉบับที่คาดลอกไว้ แล้วส่งคัมภีร์ฉบับจริงให้กับชายหนุ่มคนนั้นไป
“ฉันเป็นคนรักษาคำพูด ถ้าได้ลั่นวาจาออกไป จะไม่มีทางผิดคำพูดเป็นอันขาด นายเอาคัมภีร์เล่มนี้ไปได้!”
ฉีเล่ยยื่นคัมภีร์ให้พร้อมกับเอ่ยบอก หลังจากรับคัมภีร์มาแล้ว ชายหนุ่มผู้นั้นก็ถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาจ้องมองฉีเล่ย และอดที่จะเอ่ยชมออกมาไม่ได้
“อืมม อุปนิสัยของคุณน่าชื่นชมจริงๆ!”
“เดี๋ยวลูกน้องของผมจะขับรถมาส่งให้ แล้วก็จำไว้ว่า อย่าบอกเรื่องคัมภีร์เล่มนี้ให้ใครรู้เด็ดขาด! ไม่อย่างนั้น…”
ชายหนุ่มหัวเราะหึๆ ก่อนจะพูดต่อว่า “ผลที่ตามมาคงจะเลวร้ายเกินกว่าที่จะคาดเดาแน่!”
และทันทีที่พูดจบ ชายหนุ่มคนนั้นก็หันหลังเดินจากไปอย่างไม่ลังเล
ฉีเล่ยได้แต่ยืนจ้องมองแผ่นหลังของเขาที่ค่อยๆเดินห่างออกไป และรู้สึกว่า ที่ผ่านมาเขาแค่ถูกผู้ชายคนนี้หลอกใช้เป็นเครื่องมือ ให้ไปเอาคัมภีร์เจินจิ่วเจี่ยอี่จิงให้เท่านั้นเอง
ฉีเล่ยเริ่มไม่มั่นใจฐานะที่แท้จริงของชายหนุ่มคนนี้ว่า จะเป็นเพียงแค่หมอโรงพยาบาลจริงๆ เพราะจากกระทำและคำพูดของเขานั้น ทำให้ฉีเล่ยรู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ พวกเราก็ควรจะรีบกลับออกไปเหมือนกัน!”
นับว่าภารกิจภายในเทือกเขาจิ่วเหลียนของเขาเสร็จสิ้นลงแล้ว แม้ฉีเล่ยจะไม่รู้ว่า ใครกันแน่ที่เป็นคนวางกับดักครั้งนี้ และไม่รู้ว่าชายหนุ่มคนนั้นต้องการคัมภีร์เจินจิ่วเจี่ยอี่จิงไปทำอะไรกันแน่? แต่ฉีเล่ยก็ไม่คิดที่จะสืบหาอะไรอีก เพราะเขาเองก็ได้เนื้อหาภายในคัมภีร์มาแล้ว
ไม่แน่ว่า เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น อาจเป็นเพียงแค่การเล่นสนุกของใครบางคนเท่านั้น…
หลังจากนั้นไม่นานนัก ก็มีคนขับรถเช่าคันใหม่ให้ฉีเล่ย หลังจากยื่นกุญแจรถให้ คนขับก็ได้บอกกับเขาว่า
“นายน้อยสั่งให้ผมกำชับกับคุณว่า หลังจากกลับเข้าไปในเมือง ให้ระมัดระวังตัวด้วย เพราะดูเหมือนจะมีคนกำลังสืบถามเรื่องของคุณอยู่”
บอดี้การ์ดสวมแว่นกันแดดเอ่ยบอกฉีเล่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง จากนั้น จึงได้ยื่นนามบัตรใบหนึ่งให้กับเขาด้วย พร้อมกับเอ่ยบอกว่า
“นายน้อยสั่งไว้ว่า ให้มอบนามบัตรนี้ให้กับคุณ ถ้าคุณพบเจอเรื่องที่ไม่สามารถจัดการได้ ให้โทรหานายน้อยได้โดยตรง”
หลังจากทำตามคำสั่งทั้งหมดแล้ว บอดี้การ์ดคนนั้นก็หันหลังเดินจากไปในทันทีเช่นกัน
ฉีเล่ยยกนามบัตรในมือขึ้นมาดู และภายใต้แสงจากไฟหน้ารถ เขาก็พบอักษรตัวใหญ่สองตัวปรากฏเด่นชัด
“เสี่ยวไห่!”
และนอกเหนือจากชื่อและเบอร์โทรศัพท์แล้ว ฉีเล่ยก็ไม่เห็นข้อมูลอย่างอื่นอีกเลย
“คุณรู้จักผู้ชายคนนั้นไหม?”
จู่ๆ ฉีเล่ยก็หันไปถามฮวาโหล่วที่ยืนอยู่ข้างๆ แต่ฮวาโหล่วดูเหมือนกำลังจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ ฉีเล่ยต้องถามย้ำอยู่สองสามครั้ง ในที่สุดหญิงสาวจึงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“เอ่อ.. แล้ว.. แล้วฉันจะไปรู้จักเขาได้ยังไงกัน?”
ฉีเล่ยรู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ได้ เขาคร้านที่จะคิดอะไรในเวลานี้ จึงได้รีบพาฮวาโหล่วกับเจ้าลิงน้อยขึ้นรถเพื่อขับกลับเข้าเมืองในทันที
ระหว่างทางที่ขับรถออกไปนั้น เขาก็เห็นผู้คนนับสิบกำลังเดินทางเข้ามา และดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการที่จะไปยังเทือกเขาจิ่วเหลียน ฉีเล่ยจึงได้แต่พึมพำออกมา
“หึ! เดี๋ยวก็คงต้องกลับมามือเปล่าอยู่ดี!”
ฉีเล่ยรู้ว่าคนพวกนี้ต้องการอะไร และแน่นอนว่า หลายคนล้วนต้องการคัมภีร์เล่มนั้น มากกว่าที่จะต้องการฉบับคัดลอกที่อยู่ในมือเขาเวลานี้
ฮวาโหล่วหันไปมองหน้าตาเจ้าเล่ห์ของฉีเล่ยพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ร้ายเหมือนกันนะเนี่ย! แต่บางครั้งฉันก็ชอบคุณในแบบนี้มากกว่า ฮ่าๆๆ”
“ฮ่าๆๆ” ฉีเล่ยเองก็หัวเราะออกมาเช่นกัน
คำพูดของบอดี้การ์ดคนนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของฉีเล่ย แม้เขาจะไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของชายหนุ่มที่ชื่อเสียวไห่ แต่ก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้กำลังคิดที่จะทำอะไรบางอย่างแน่นอน!
และดูเหมือนว่า เรื่องนี้จะติดอยู่ในใจของฉีเล่ยเป็นอย่างมาก