ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่308 สายเลือดคำสาป
ตอนที่308 สายเลือดคำสาป
เหตุการณ์ได้รับความอับอายที่หน้าประตูหินวันนั้น หวงเหวินชิงไม่มีวันลืม และต้องการที่จะแก้แค้นอีกฝ่ายมาโดยตลอด
แต่เมื่อฉีเล่ยปรากฏตัวขึ้น ก็สามารถเตะมีดในมือของเขาทิ้งได้ในทันที โดยที่เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะตอบโต้ด้วยซ้ำไป
“นี่แกกล้างั้นเหรอ?” หวงเหวินชิงร้องคำรามออกมาด้วยความโกรธ
“ในเมื่อตอนที่แกมีลูกน้องล้อมหน้าล้อมหลังฉันยังกล้า แล้วทำไมตอนนี้ฉันถึงจะไม่กล้าล่ะ?”
ฉีเล่ยตอบโต้กลับไปอย่างไม่เกรงกลัว ก่อนจะพูดต่อว่า “แกกำลังตามหาฉันไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ฉันก็อยู่ต่อหน้าแกแล้วยังไงล่ะ!”
หลังจากนิ่งอึ้งไปด้วยความตกใจเล็กน้อย หวงเหวินชิงก็ได้สติ และเมื่อนึกถึงคนของตนเองที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องนี้ เขาก็เริ่มมีความมั่นใจขึ้นมาทันที
“ฉีเล่ย เอ๊ะ.. ต้องเรียกประธานฉีถึงจะถูกต้องสินะ? เอาล่ะ มอบคัมภีร์เล่มนั้นมาให้ฉันซะดีๆ”
ฉีเล่ยจ้องมองหวงเหวินชิงแน่นิ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “หวงเหวินชิง ฉันจะให้โอกาสแกเป็นครั้งสุดท้าย แกจะออกไปจากห้องนี้ดีๆ หรืออยากจะกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต?”
หวงเหวินชิงแสยะยิ้มพร้อมกับย้อนถามฉีเล่ยว่า “อั๊ยยะ! น่ากลัวจังเลย ฉันกลัวจนตัวสั่นแล้วนะเนี่ย! แล้วแกคิดว่าฉันจะเลือกแบบไหนล่ะ?”
“ฉีเล่ย! ฉันมั่นใจว่าแกจะต้องได้คัมภีร์เล่มนั้นมาแล้ว ถ้าแกมอบคัมภีร์เล่มนั้นให้กับฉัน ฉันก็จะไว้ชีวิตแก!”
ในเมื่อหวงเหวินชิงไม่ยอมกลับใจแบบนี้ ฉีเล่ยเองก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก แต่ในขณะที่เขากำลังจะกระโดดเตะเข้าใส่ร่างของหวงเหวินชิงนั้น อีกฝ่ายก็ชิงวิ่งหนีเข้าไปด้านในสุดของห้องเสียก่อน
เวลานี้ ฉีเล่ยไม่สามารถเข้าใกล้ตัวหวนเหวินชิงได้ เพราะลูกน้องที่ซ่อนตัวอยู่ในห้อง ต่างก็พากันวิ่งกรูออกมาขวางหน้าไว้เต็มไปหมด ดูท่าเขาคงจะหลีกเลี่ยงการปะทะไม่ได้แน่
ในขณะที่หวงเหวินชิงนั้นก็มั่นใจว่า ด้วยความสามารถของคนที่เขาจ้างมาเล่นงานฉีเล่ยในวันนี้ ต่อให้อีกฝ่ายมีปีกก็คงไม่มีทางหนีรอดไปได้แน่!
ฉีเล่ยจ้องมองชายฉกรรจ์หลายสิบคนด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว เขารู้สึกว่า แทนที่กลับมาเหนื่อยๆจะได้นอนหลับพักผ่อนให้สบาย แต่ต้องกลับมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้
ยิ่งคิดฉีเล่ยก็ยิ่งโมโห แต่ละหมัดที่ซัดออกไปจึงรุนแรงกว่าปกติ และนับเป็นความโชคดีที่คนในโรงแรมส่วนใหญ่ ได้ออกเดินทางไปเขาจิ่วเหลียน จึงไม่ได้ยินเสียงปึงปังนี้!
หวงเหวินชิงได้แต่ยืนนิ่งตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เขาไม่คิดว่าฉีเล่ยจะแข็งแรงมากขนาดนี้ เพราะชายฉกรรจ์สิบกว่าคนที่เขาจ้างมานั้น ไม่ใช่หมอที่ไร้เรี่ยวแรงเหมือนตอนอยู่ในถ้ำ แต่ฉีเล่ยกลับสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย
และเมื่อภัยมาถึงตัวแบบนี้ หวงเหวินชิงก็รีบคุกเข่าลงทันที พร้อมกับคลานเข้าไปกอดขาฉีเล่ยไว้ แล้วอ้อนวอนร้องขอความเมตตาจากเขา
“ประธานฉีครับ ยกโทษให้ผมด้วย ผมผิดไปแล้ว! หวังว่าคนใจกว้างอย่างประธานฉีจะอภัยให้ผมด้วยนะครับ!”
ฉีเล่ยถึงกับหัวเราะออกมา ก่อนจะถามกลับไปว่า “อยากให้ฉันปล่อยแกไปงั้นเหรอ?”
“ใช่ครับใช่! ผมตาบอดเองที่ดูไม่ออกว่าประธานฉีเก่งขนาดนี้ หลังจากนี้เป็นต้นไป ผมสัญญาว่าจะยึดประธานฉีเป็นตัวอย่าง และประธานฉีจะเป็นคนเดียวที่ผมยินดีที่จะทำตามคำสั่งทุกอย่างครับ ผมจะยอมเป็นทาสรับใช้ของประธานฉีตลอดไป”
ฉีเล่ยเลิกคิ้วพร้อมกับเอ่ยถามต่อว่า “แน่ใจนะ?”
“นะ.. แน่ใจครับ!” หวงเหวินฉีพยักหน้าหงึกๆ
“เอาล่ะ! ถ้างั้นก็ไปได้ อ่อ! แล้วก็จำไว้ด้วยว่า คัมภีร์เล่มนั้นไม่ได้อยู่กับฉัน ถ้าแกอยากได้ก็ไปตามเอากับคนแซ่เสี่ยว!”
ในเมื่อคัมภีร์เล่มนั้นไม่ได้อยู่กับเขา ทำไมเขาจะต้องเป็นฝ่ายถูกคนอื่นตามล่าด้วย ฉีเล่ยจึงได้ตัดสินใจบอกกับหวงเหวินฉีไปตามความจริง
“คนแซ่เสี่ยวงั้นเหรอ?”
หวงเหวินชิงทวนคำพูด ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ฉันพอจะนึกหน้าของคนแซ่เสี่ยวออก เขาก็คือชายหนุ่มที่มาคนเดียว แล้วดูเหมือนจะไม่ยุ่งกับใคร ฉันเห็นเขายืนอยู่ที่หน้าประตูหินในถ้ำ และพยายามที่จะเปิดประตูหินนั่นให้ได้”
หลังจากได้ยินคำว่าประตูหินอีกครั้ง ฉีเล่ยก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามหวงเหวินชิงว่า “มีความเป็นไปได้ไหมว่า เทือกเขาจิ่วเหลียนทั้งเขา จะมีความเชื่อมโยงพิเศษกับประตูหินนั่น?”
“เรื่องนั้นผมเองก็ไม่รู้ครับ แต่ที่แน่ๆ ผมว่าชายหนุ่มคนนี้ดูฉลาดเป็นกรด ถ้าจะต้องดีลด้วยคงต้องระมัดระวังตัวให้ดี!”
หลังจากนั้น หวงเหวินฉีก็หันมายิ้มประจบให้ฉีเล่ยพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ประธานฉีครับ พอดีผมนึกขึ้นมาได้ว่า ที่สมาคมแพทย์จงหยวนมีเรื่องเร่งด่วน ผมอยากจะ…”
ฉีเล่ยยิ้มออกมาพร้อมตอบกลับไปว่า “เชิญ! แล้วก็เอาคนของคุณกลับไปด้วย!”
หวงเหวินชิงรีบเดินออกไปทันที ส่วนลูกน้องของเขานั้น ต่างฝ่ายต่างก็ช่วยพยุงร่างกันและกันออกมา
แต่ในระหว่างนั้น ก็มีเสียงไซเรนดังขึ้นเสียก่อน
รถตำรวจที่ได้รับแจ้งเหตุแล่นเข้ามาภายในโรงแรม จากนั้น ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายวิ่งตรงเข้ามาที่ล็อบบี้ เป็นเพราะเขาได้รับแจ้งว่า เกิดเหตุทำร้ายกันขึ้นภายในโรงแรม และอีกฝ่ายก็มีกันนับสิบคน ตำรวจจึงได้นำกำลังมากันหลายนาย
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณตำรวจ ไม่ต้องขึ้นไปดูหรอกค่ะ!”
พนักงานสาวร้องบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยสีหน้าเป็นกังวล แต่ตำรวจไม่เชื่อ หลังจากโชว์บัตรเจ้าหน้าที่แล้ว เขาก็เริ่มขึ้นไปตรวจค้นด้านบนทันที
หวงเหวินชิงหันไปมองฉีเล่ยด้วยสีหน้าตกอกตกใจ พร้อมกับกระซิบถามว่า “ทำไมถึงได้มีตำรวจมาเต็มไปหมดเลยล่ะ!”
ฉีเล่ยยิ้มมุมปากพร้อมตอบกลับไปว่า “ผมให้คนโทรเรียกมาเองล่ะ!”
“ประธานฉี แต่คุณบอกว่าจะปล่อยผมไปยังไงล่ะ?” หวงเหวินชิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก
“ผมบอกจะไม่ทำอะไรคุณ แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่โทรเรียกตำรวจนี่ครับ! คุณทำกับผมขนาดนี้ จะให้ผมปล่อยไปง่ายๆได้ยังไง เชิญไปนอนในคุกได้เลย”
ระหว่างที่ทั้งคู่คุยกันอยู่นั้น ฮวาโหล่วได้แอบโทรแจ้งตำรวจ และแอบอัดคลิปเสียงที่หวงเหวินชิงคุยกับฉีเล่ยไว้ด้วย ซึ่งในคลิปนั้นสามารถระบุความผิดฐานทำร้ายร่างกาย และตั้งใจวางแผนฆ่าด้วย
“ฉีเล่ย ฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่!”
หลังจากทุกคนออกจากห้องไปแล้ว ฉีเล่ยก็ได้บอกฮวาโหล่วให้มาช่วยดูแผ่นหลังของเขาให้หน่อย และเมื่อเปิดเสื้อคุณดู ฮวาโหล่วก็ถึงกับต้องร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ เพราะมีรอยฟกช้ำอยู่เต็มไปหมด
หลังจากฮวาโหล่วทายาให้เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เอ่ยถามฉีเล่ยว่า
“ฉีเล่ย พรุ่งนี้มีแผนที่จะทำอะไรบ้าง?”
“พรุ่งนี้เหรอ?”
ฉีเล่ยทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ความจริงเขาอยากจะไปค้นหาความลับที่เทือกเขาจิ่วเหลียนต่อ แต่เมื่อนึกถึงภารกิจทีต้องไปแข่งขัน เขาจึงได้เปลี่ยนใจ
ฉีเล่ยรู้สึกราวกับว่า มีเสียงเพรียกหาดังมาจากเขาจิ่่วเหลียนอยู่เสมอ เขารู้สึกว่า ความลับที่อยู่เบื้องหลังเทือกเขาแห่งนี้ จะมีคุณประโยชน์ต่อตนเองอย่างมากในวันข้างหน้า
“พรุ่งนี้เหรอ คุณพาเจ้าลิงน้อยไปเดินเล่นรอบเมือง ส่วนผมจะไปหาเถ้าแก่ที่ร้านเนื้อย่างหน่อย!”
……..
“เถ้าแก่ครับ ยังจำผมได้ไหมครับ?”
ฉีเล่ยเอ่ยทักทายเถ้าแก่เจ้าของร้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่อีกฝ่ายกลับไม่เป็นเช่นนั้น เขาดูตกใจอย่างมากที่เห็นฉีเล่ยอีกครั้ง พร้อมกับยกมือขึ้นขยี้ตาอย่างแรง
“เถ้าแก ทำไมต้องมองผมด้วยสีหน้าตกอกตกใจขนาดนั้นครับ”
ฉีเล่ยเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง พร้อมกับหัวเราะออกมา
“นี่พ่อหนุ่ม ทางที่ดีอย่าเข้าใกล้ร้านของฉันอีกเลยนะ ดูสิ! เงินห้าร้อยหยวนของเธอฉันยังไม่กล้าเก็บไปเลย! นั่นน่ะ ยังอยู่บนโต๊ะเหมือนเดิม”
‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?’
และนั่นทำให้ฉีเล่ยยิ่งอยากรู้มากขึ้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น มีใครบ้างไม่อยากได้เงิน?
ฉีเล่ยรีบโบกมือไปมา พร้อมกับพูดขึ้นว่า “นี่เถ้าแก่ไม่ต้องกลัว ผมไม่ได้พาเจ้าลิงน้อยตัวนั้นมาด้วย!”
“จริงเหรอ?!”
เถ้าแก่เอ่ยถามพร้อมกับหันมองสำรวจไปรอบๆ และหลังจากมั่นใจว่า ไม่มีลิงน้อยอยู่ในบริเวณนั้น เขาจึงได้อนุญาตให้ฉีเล่ยเข้ามาในร้านได้
เมื่อเข้าไปในร้าน ฉีเล่ยก็เริ่มเอ่ยถามเรื่องที่ตนเองอยากรู้ทันที “เถ้าแก่ครับ ผมอยากรู้เรื่องที่เถ้าแก่เล่าเมื่อวานนี้ เพราะเจ้าของร้านรถเช่าก็เล่าให้ผมฟังแบบนั้นเหมือนกัน”
“ฉันกับเขาเป็นเพื่อนโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก เหตุการณ์ที่เขาจิ่วเหลียนครั้งนั้น ทำให้เมืองนี้ทั้งเมืองเปลี่ยนแปลงไปหมด”
“การที่เมืองนี้ตกอยู่ในสภาพรกร้างแบบนี้ มันมีเหตุผลอื่นด้วย…”
สีหน้าแววตาของเถ้าแก่ร้านเปลี่ยนเป็นเศร้าโศก เขาหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบ พร้อมกับเริ่มรำลึกถึงความหลังเก่าๆ
เหตุการณ์ที่มีสุสานโบราณปรากฏขึ้นนั้นเป็นเรื่องจริง และเหตุการณ์ที่ทีมนักโบราณคดีหายตัวไปก็เป็นความจริงเช่นกัน
ในตอนนั้น พวกเขาทั้งสองคนยังเป็นเด็ก และผู้คนต่างก็คิดว่าเป็นเพราะความลึกลับของเทือกเขาจิ่วเหลียน แต่เมื่อวันเวลาล่วงเลยผ่านไป บางคนก็เชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อ
วันเวลายังคงล่วงเลยไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง ก็มีลิงตัวหนึ่งลงมาจากเขาจิ่วเหลียน แต่ความจริงแล้วมีคนอุ้มมันลงมานั่นล่ะ
แต่เพราะบนเขาจิ่วเหลียนมีลิงอยู่มากมาย ทุกคนจึงไม่ได้สนใจเจ้าลิงตัวนั้นมากนัก มิหนำซ้ำบางคนยังรังแกกลั่นแกล้งมันอีกด้วย
แล้วหลังจากนั้น เหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวก็เกิดขึ้น
“ฉันจำได้ว่า ใครก็ตามที่สัมผัสแตะต้องเจ้าลิงตัวนั้น นอกจากคนที่เป็นคนนำมันลงมาแล้ว คนอื่นล้วนเสียชีวิตกันหมด รวมถึงครอบครัวของคนๆนั้นด้วย”
ระหว่างที่เล่า เถ้าแก่ร้านยังทำสีหน้าหวาดกลัวออกมาให้เห็นด้วย
“พวกเราก็เลยเรียกมันว่าสายเลือดคำสาป!”
เถ้าแก่เล่าไปก็นึกดีใจไปว่า โชคดีที่ตอนเด็กๆเขาไม่ได้ไปแตะต้องสัมผัสเจ้าลิงตัวนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่อยู่มาถึงป่านนี้แน่
“แล้วตอนนี้คนที่นำเจ้าลิงตัวนั้นลงมาจากเขา ยังมีชีวิตอยู่ไหมครับ?”
เถ้าแก่ร้านส่ายหน้าไปมา พร้อมกับเล่าต่อว่า
“เป็นเพราะเห็นว่า ตั้งแต่นำลิงตัวนี้ลงมา ก็เกิดเรื่องแปลกประหลาด และเพื่อความปลอดภัยของคนในเมือง เขาก็เลยนำมันกลับไปไว้ที่เขาจิ่วเหลียนเหมือนเดิม”
“แต่น่าแปลก สองวันหลังจากที่เอาเจ้าลิงตัวนั้นกลับไปส่ง ตัวเขาและสมาชิกในครอบครัวก็หายไปทั้งหมด ถ้าไม่ใช่เพราะบ้าน และสิ่งของในห้องของพวกเขา พวกเราคงจะคิดว่า พวกเขาไม่เคยมีชีวิตอยู่ในโลกนี้มาก่อนแน่!”
ฉีเล่ยเริ่มรู้สึกว่า เรื่องราวต่างๆดูเหมือนจะยิ่งซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่องเหลือเชื่อที่ได้ฟังมา ก็ยิ่งทำให้เขาอยากรู้มากขึ้น และได้แต่แอบคิดว่า มีใครเล่นตลกอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า?
เถ้าแก่ร้านเล่าต่อว่า “ฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันเกิดจากอะไร? แต่นับตั้งแต่นั้นมา คนในเมืองก็ได้ตัดขาดกับเขาจิ่วเหลียนอย่างเด็ดขาด เรียกได้ว่า ของอะไรที่มาจากที่นั่น จะไม่มีใครกล้าแตะต้องเลยแม้แต่น้อย”
“พ่อหนุ่ม เงินของเธอเมื่อคืนนี้เอากลับไปเถอะนะ ฉันยังไม่อยากให้ตัวเองกับคนในครอบครัวหายตัวไป!”
ฉีเล่ยได้แต่ให้คำมั่นสัญญากับเถ้าแก่ไปว่า “เชื่อผมเถอะนะครับ! ผมจะต้องช่วยทุกคนในเมืองแก้ปัญหานี้ให้ได้!”