ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่309 แยกย้าย
ตอนที่309 แยกย้าย
เถ้าแก่ลู่เจ้าของร้านเนื้อย่างได้แต่จ้องมองฉีเล่ยด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ จากนั้น จึงได้ยิ้มให้กับเขาและพูดขึ้นว่า “พ่อหนุ่ม นับว่าเธอเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่งจริงๆ”
ฉีเล่ยพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยขอบคุณสำหรับคำชื่นชม
“แต่เธออย่าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้จะดีกว่า ตอนนี้เธอมีทางเลือกเพียงแค่สองทาง…”
เถ้าแก่ร้านจ้องมองฉีเล่ยพร้อมกับเอ่ยแนะนำจากใจจริง
“หนึ่ง.. ต้องให้ลิงน้อยตัวนั้นอยู่ติดตัวกับเธอด้วยตลอดเวลา หากนึกย้อนถึงเหตุการณ์เก่าๆที่เคยเกิดขึ้น ถ้าเจ้าลิงน้อยนั่นไปไหนมาไหนกับเธอทุกที่ ไม่แน่ว่าปัญหาต่างๆที่เคยเกิดขึ้น อาจจะไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้”
ฉีเล่ยยิ้มพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า “แล้วอีกหนึ่งทางเลือกล่ะครับ?”
“เธอเองก็รู้แล้วนี่!”
เถ้าแก่เจ้าของร้านยิ้มขื่นก่อนจะพูดต่อว่า “แต่ฉันคิดว่าเธอเองก็คงตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า ต้องการที่จะเลือกอย่างไหน?”
ความจริงแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจได้ยากอะไรเลยสำหรับฉีเล่ย นั่นเพราะในถ้ำคืนนั้น เขาได้ให้คำมั่นสัญญาแล้วว่า จะนำเจ้าลิงน้อยกลับไป และดูแลมันจนกระทั่งเติบใหญ่ จนกว่าจะสามารถใช้ชีวิตตามลำพังเองได้
แม้ว่าการตัดสินใจของเขาในครั้งนี้ จะนำมาซึ่งอันตรายที่ไม่อาจคาดเดาได้ แต่ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เขาก็ยังเลือกที่จะนำเจ้าลิงน้อยกลับไปด้วยอยู่ดี
“ครับ ผมไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ ยังไงผมก็คงต้องพามันกลับไปด้วย แล้วก็ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เลี้ยงดูมันจนกว่าจะโต”
ฉีเล่ยหัวเราะเบาๆ และเถ้าแก่ลู่ก็ดูเหมือนจะเข้าใจในการตัดสินใจของฉีเล่ยดี เขาจึงไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่กำชับชายหนุ่มให้ดูแลตัวเองให้ดีๆเท่านั้น
แม้เถ้าแก่ลู่จะรู้ดีว่า เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเมืองนี้ ล้วนแล้วแต่เกี่ยวพันกับเขาจิ่วเหลียน แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะพูดอะไรมากไปกว่านี้
“ถ้ามีโอกาส ผมคงจะต้องกลับไปที่นั่นอีกอย่างแน่นอน ผมต้องการไปสืบดูให้รู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เถ้าแก่ลู่จ้องมองฉีเล่ยด้วยสีหน้าตกอกตกใจ ก่อนจะถามขึ้นว่า “นี่เธอเตรียมจะไปจากที่นี่แล้วเหรอ?”
“อืมม อยู่ที่นี่ต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร น่าจะเสียเวลาเปล่า ผมว่าสู้กลับไปบ้านไปทำอะไรที่มีประโยชน์มากกว่านี้จะดีกว่า”
ฉีเล่ยลุกขึ้นเดินไปยืนข้างเถ้าแก่ลู่ และกำลังจะยกมือขึ้นกอดอำลาหลังจากที่นั่นพูดคุยกันอยู่นาน แต่เมื่อนึกถึงเรื่อง ‘สายเลือดคำสาป’ แล้ว เขาก็ถึงกับต้องหยุดชะงักไปในทันที และไม่กล้าที่จะแตะเนื้อต้องตัวเถ้าแก่ลู่
หลังจากระล้าระลังอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดฉีเล่ยก็หัวเราะออกมา ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
“โชคดีนะพ่อหนุ่ม ดูแลตัวเองให้ดี แล้วก็เดินทางปลอดภัยนะ”
เถ้าแก่ลู่ร้องตะโกนบอกพร้อมกับโบกไม้โบกมือร่ำลาฉีเล่ย
หลังจากที่ได้ฟังข้อมูลเพิ่มเติมจากเถ้าแก่ลู่นั้น ฉีเล่ยรู้สึกว่าตนเองเริ่มจะเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับเขาจิ่วเหลียนมากขึ้นเรื่อยๆ และนั่นทำให้เขายิ่งมั่นใจว่า เบื้องหลังเทือกเขาแห่งนี้จะต้องมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่อย่างแน่นอน
แต่ถึงอย่างนั้น ฉีเล่ยเองก็ไม่เก็บเรื่องนี้มาครุ่นคิดอะไรมากมายนัก เพราะรู้ดีว่า ตนเองนั้นยังไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะทำอะไรได้ อีกทั้งการแข่งขันการแพทย์แผนจีนก็กำลังรอคอยเขาอยู่ และเขาก็ไม่สามารถพลาดโอกาสที่จะเข้าร่วมการแข่งขันนี้ได้
ฮวาโหล่วจ้องมองฉีเล่ยที่เพิ่งกลับมาถึงห้องพัก ก่อนจะเอ่ยถามออกไปว่า
“กลับมาแล้วเหรอ? ได้ความคืบหน้าอะไรมาบ้าง?”
“จะว่าได้ก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ได้ก็ไม่เชิง ผมได้ฟังเรื่องเล่าเพิ่มมาอีก แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนัก”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ฉีเล่ยก็หันไปมองเจ้าลิงน้อย แต่ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ เพราะเขารู้สึกว่าเจ้าลิงน้อยดูแปลกไปเล็กน้อย
ระหว่างที่อยู่ในป่าบนเขานั้น ตัวเขาเองก็ไม่ทันได้ฉุกคิดเรื่องนี้…
หากลิงที่เถ้าแก่ลู่เล่าว่าลงมาจากเขาจิ่วเหลียนนั้น ก็น่าจะต้องเป็นลิงที่มาจากป่าแห่งนั้น แต่ตอนที่เจ้าลิงใหญ่เสียชีวิต และมีสัตว์ป่าน้อยใหญ่ทั่วทั้งป่าพากันมาแสดงความเสียใจนั้น เขากลับไม่เห็นลิงแม้แต่ตัวเดียว
หรือพูดง่ายๆก็คือว่า เจ้าลิงน้อยที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ อาจจะเป็นลิงตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่ในป่านั่นก็เป็นได้
ฉีเล่ยได้แต่นึกเสียดาย ที่เมื่อครู่เขาไม่ถามไถ่เรื่องนี้จากเถ้าแก่ลู่ให้ชัดเจน แต่จะครุ่นคิดไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นอยู่ดี
ฉีเล่ยจ้องมองเจ้าลิงน้อยพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า “ว่ายังไงเจ้าหนู เจ้ารู้ไหมว่าในป่าบนเขานั่น ยังมีลิงเหลืออยู่อีกบ้างไหม?”
และดูราวกับว่า เจ้าลิงน้อยจะสามารถเข้าใจในคำพูดของฉีเล่ยได้ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของมันนั้น พลันสลดลงพร้อมกับส่ายหน้าไปมา ราวกับว่ามันกำลังตอบคำถามของเขา
ฉีเล่ยครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็รู้ว่าคงจะไม่สามารถหาคำตอบจากเจ้าลิงน้อยได้ไปมากกว่านี้แน่ เขาจึงได้ล้มเลิกความคิดที่จะถามมันต่อ
“นี่คุณคงต้องกลับแล้วใช่ไหม?”
หลังจากที่ได้เห็นสีหน้าของฉีเล่ยในเวลานี้ ฮวาโหล่วก็ดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง
“ใช่! อ่อ.. ขอที่อยู่บ้านคุณให้ผมหน่อยสิ ไว้มีโอกาสผมจะแวะไปเยี่ยมเยียน”
ฉีเล่ยเงยหน้าขึ้นตอบ ก่อนจะเอ่ยถามหญิงสาวต่อ
ฮวาโหล่วชะงักไปเล็กน้อย เพราะคิดไม่ถึงว่า จู่ๆฉีเล่ยจะถามเรื่องนี้ขึ้นมา สีหน้าของเธอดูลังเลเล็กน้อย แต่ในที่สุดก็ตอบกลับไปว่า
“ต่อให้ฉันบอกไป คุณก็คงหาไม่เจอหรอก เอาเป็นว่า คุณให้ที่อยู่ของคุณมาก็แล้วกัน ไม่แน่ว่า ฉันอาจจะไปเยี่ยมเยียนคุณบ้างก็ได้!”
หลังจากที่ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันระยะหนึ่ง ฉีเล่ยก็คล้ายจะรับรู้ได้ว่า ความรู้สึกของตนที่มีให้กับฮวาโหล่วนั้น เริ่มจะแตกต่างไปจากเดิม เขายังจำได้ชัดเจนว่า เมื่อครั้งที่พบเห็นหญิงสาวคนนี้ครั้งแรก เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเธอจะสวยอะไรมากมายนัก และไม่ได้รู้สึกประทับใจอะไรมากเป็นพิเศษ
แต่ทำไมเมื่อต้องแยกจากกันจริงๆ เขาถึงได้รู้สึกว่ามันแปลกๆ คล้ายกับไม่อยากจะจากกันอย่างนั้นล่ะ?
ฉีเล่ยยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ความจริงแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะต้องกลับไปเข้าแข่งขันการแพทย์แผนจีนแล้วล่ะก็ ผมก็ยังไม่อยากจะกลับไปในตอนนี้ บอกตามตรง ผมยังอยากจะกลับไปสำรวจเทือกเขาจิ่วเหลียนอีกครั้ง นอกจากความลับที่ซ่อนอยู่แล้ว ขุนเขาสายธารก็น่าหลงใหลมากจริงๆ”
ไม่เพียงแค่นั้น ฉีเล่ยยังนึกถึงความลับมากมายจากหมอเทวดาในตำนานอย่างฮัวโต๋อีกด้วย
“เข้าแข่งขันแพทย์แผนจีนเหรอ?”
ฮวาโหล่วถึงกับหัวเราะออกมา ก่อนจะพูดต่อว่า “งั้นก็ดีสิ! พวกเราสองคนอาจได้พบกันอีก!”
ฉีเล่ยไม่ได้คิดอะไรมากมายเกี่ยวกับคำตอบของฮวาโหล่ว เขาเพียงแค่หัวเราะออกมาเท่านั้น ก่อนจะตอบกลับไปว่า
“ดีเลย! ผมหวังว่าพวกเราจะมีโอกาสได้พบกันอีกนะครับ”
ฮวาโหล่วพยักหน้า จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก
………
แม้ว่าทั้งสองคนต่างจะต้องแยกย้ายกันกลับไปทำงานของตัวเอง แต่ทั้งคู่ก็ยังต้องนั่งรถไฟขบวนเดียวกันกลับไป ต่างฝ่ายต่างรู้สึกว่า วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน
“คุณมีอะไรจะพูดกับฉันอีกไหม?”
ระหว่างที่กำลังเก็บของเตรียมตัวลงจากรถไฟนั้น ฮวาโหล่วก็หันมายิ้มให้กับฉีเล่ย ก่อนจะเอ่ยถามออกไป
“มีอะไรจะพูดรึเปล่าน่ะเหรอ?”
ฉีเล่ยเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ถึงแม้อยากจะพูดออกมาดังๆ แต่ก็รู้สึกว่าไม่สามารถพูดออกมาได้ในตอนนี้ หรืออาจจะไม่สามารถพูดได้ตลอดไป
คำพูดที่ฉีเล่ยต้องการจะพูดออกมานั้น คล้ายติดอยู่ที่ริมฝีปากอยู่นาน และท้ายที่สุด เขาก็ไม่สามารถเอ่ยมันออกมาได้ ทำได้เพียงแค่กลืนลงลำคอไปอย่างยากลำบาก จากนั้น เขาก็ได้ยิ้มให้ฮวาโหล่ว พร้อมกับพูดออกไปว่า
“เอ่อ.. ไม่มีอะไร ผมแค่อยากอวยพรให้คุณมีความสุข นี่เป็นเบอร์มือถือของผม มีเวลาเมื่อไหร่ก็มาเยี่ยมเยียนผมได้เสมอ”
ฉีเล่ยอยากจะมอบทุกอย่างที่อยู่ในกระเป๋าของเขาในตอนนี้ให้กับฮวาโหล่วทั้งหมด รวมถึงคัมภีร์เจินจิ่วเจี่ยอี่จิงฉบับที่เขาคัดลอกมาด้วย
“เอิ่ม.. ผมมีความสุขมากที่ได้ร่วมเดินทางไปกับคุณในทิปนี้” ฉีเล่ยเอ่ยบอกเป็นประโยคสุดท้าย
ฮวาโหล่วจ้องมองฉีเล่ยพร้อมตอบกลับไปว่า “ฉันเองก็เหมือนกัน ขอบคุณนะคะ”
หลังจากนั้น ฮวาโหล่วก็ได้ก้าวเดินลงจากรถไฟไปอย่างช้าๆ และการเดินทางร่วมกันของทั้งคู่ก็ได้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้
ฉีเล่ยไม่สามารถอธิบายความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจเวลานี้ได้ หลังจากได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันระยะหนึ่ง เมื่อต้องแยกจากกัน ฉีเล่ยจึงอดที่จะรู้สึกแปลกๆไม่ได้ แต่ถึงอย่างไร งานเลี้ยงย่อมต้องมีวันเลิกรา
“ลาก่อนครับ!”
แม้แต่เจ้าลิงน้อยข้างกายฉีเล่ย ยังดูเหมือนไม่อยากจะแยกจากฮวาโหล่ว มันทอดสายตามองตามร่างของหญิงสาวไปพร้อมกับโบกมือไปมาไม่หยุด
“เอาล่ะ ทางข้างหน้าหลังจากนี้ ก็จะเหลือแกกับฉันเพียงแค่สองคนแล้วนะเจ้าลิงน้อย!”
แม้การเดินทางมาเขาจิ่วเหลียนครั้งนี้ ฉีเล่ยจะพกเอาความสงสัยคลางแคลงใจกลับไปด้วยมากมาย แต่อย่างน้อย เขาก็ยังได้คัมภีร์เจินจิ่วเจี่ยอี่จิงติดมือกลับไป แม้ว่าฉบับจริงจะถูกเสี่ยวไห่แย่งชิงไปได้ แต่ครั้งนี้ก็นับว่าเดินทางมาไม่เสียเที่ยว
สิ่งเดียวที่เขารู้สึกเสียดายก็คือ เขายังไม่สามารถหาคำตอบเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนเขาจิ่วเหลียนเมื่อหลายสิบปีก่อนได้
เมื่อรถไฟเริ่มเคลื่อนตัวออกจากชานชะลา ฉีเล่ยจึงได้เหม่อมองออกไปทางหน้าต่าง และพบว่า ฮวาโหล่วยังคงยืนอยู่ที่ชานชะลา โบกไม้โบกมือมาทางตนเองไม่หยุด
“สถานีต่อไป ปักกิ่ง”
*****