ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่315 พิธีเปิดการแข่งขัน
ตอนที่315 พิธีเปิดการแข่งขัน
“คุณฉีไม่ต้องห่วงเรื่องการทดสอบรอบแรก ตระกูลหวงฝูเป็นตระกูลเก่าแก่หลายร้อยปี ย่อมต้องมีมีเส้นสายอยู่บ้างพอสมควร ผมรับรองว่า พวกเราทั้งคู่จะไม่ถูกคัดออกอย่างแน่นอน!”
หวงฝูหัวเอ่ยบอกฉีเล่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง และดูมั่นอกมั่นใจอย่างมาก ในที่สุด ฉีเล่ยจึงได้ตอบกลับไปว่า
“ตกลง! ผมรับปากคุณ”
ในเมื่อภารกิจครั้งนี้ไม่ใช่ง่ายๆ ถึงแม้เขาจะมั่นใจในพลังหยินและหยางของตนเอง แต่การมีพันธมิตรก็น่าจะดีกว่าไม่ใช่หรือ?
หลังจากที่ฉีเล่ยพยักหน้ารับปากเช่นนั้น หวงฟู่หัวก็ถึงกับยิ้มออกมาด้วยความโล่งอก
“ดีครับ! หวังว่าความร่วมมือของเราสองคนในครั้งนี้ จะเป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากทุกอย่างเรียบร้อย นอกจากยาอายุวัฒนะแล้ว ผมก็จะมอบเงินจำนวนห้าสิบล้านให้คุณด้วย หวังว่าคุณเฉินจะพอใจนะครับ?”
หลังจากที่ทั้งคู่ตกลงเป็นพันธมิตรกันแล้ว จึงได้นั่งคุยกันต่ออีกครู่หน่อยก่อนจะแยกย้ายกันไป ส่วนรายละเอียดอื่นๆนั้น พวกเขาจะปรึกษาหารือกันอีกทีเมื่อการแข่งขันเริ่ม
ระหว่างที่ฉีเล่ยลุกขึ้นก้าวเดินออกไปจากโต๊ะ ฮวาโหล่วก็โทรเข้ามาพอดี และเมื่อรู้ว่าฉีเล่ยอยู่ที่ร้านกาแฟ เธอก็บอกให้เขารออยู่ที่นั่นก่อน เธอกำลังจะลงไปพบ
หลังจากวางสายจากฮวาโหล่วแล้ว ฉีเล่ยที่ได้ก้าวเดินออกไปสองสามก้าว จึงได้เดินถอยหลังกลับมาทันที แต่ในจังหวะที่เขากำลังจะหันหลังกลับนั้น ก็ได้ชนเข้ากับใครบางคน ทำให้เขาถึงกับกระเด็นถอยหลังไปเล็กน้อย
และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง จึงได้รู้ว่าตนเองชนเข้ากับชายหนุ่มในวัยราวสามสิบปีผู้หนึ่ง กับเด็กหนุ่มอีกสองสามคนที่หน้าตาบ่งบอกว่าไม่ใช่คนดีอะไรนัก
“เดินประสาอะไร? ตาบอดรึยังไง?”
สีหน้าท่าทางของชายหนุ่มผู้นี้บ่งบอกว่าไม่ง่ายเลยที่จะมีเรื่องด้วย หลังจากที่ถูกฉีเล่ยชนเข้า เขาก็ยืนจ้องมองสำรวจฉีเล่ยอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อมั่นใจว่าไม่ใช่คนสลักสำคัญอะไร จึงได้เริ่มหาเรื่องทันที
“ผมขอโทษครับ”
ฉีเล่ยรู้ตัวว่าตนเองนั้นเป็นฝ่ายผิด จึงได้เอ่ยขอโทษ และไม่ถือสาท่าทางการแสดงออกของชายหนุ่มผู้นี้
“แค่ขอโทษก็พองั้นเหรอ?”
ชายหนุ่มหันไปมองหน้าเด็กหนุ่มสองสามคนที่มาด้วย ก่อนจะหันมาพูดกับฉีเล่ยยิ้มๆว่า
“เอาแบบนี้ก็แล้วกัน คุกเข่าโขกศรีษะขอโทษพวกเรา พร้อมกับพูดว่า พี่หยางครับ ผมผิดไปแล้วครับ ปล่อยผมไปเถอะนะครับ! แล้วฉันจะไม่ถือสาอะไร”
เห็นได้ชัดว่า การกระทำของชายผู้นี้คือต้องการที่จะข่มเหงรังแกผู้อื่น
ฉีเล่ยจ้องมองชายหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าพี่หยาง พร้อมตอบกลับไปว่า “ผมว่าคุณออกจะทำเกินไปแล้วนะครับ?”
“เกินไปงั้นเหรอ? เกินไปตรงไหนกัน? เธอรู้มั้ยว่าเสื้อผ้าที่ฉันใส่อยู่ราคาเท่าไหร่?” พี่หยางตอบกลับในทันที
ฉีเล่ยหัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะเอ่ยถามออกไปว่า “โอ้! ดูจากภายนอก คุณเองก็ไม่น่าจะธรรมดาเหมือนกันสินะ?”
ฉีเล่ยเองก็ไม่คิดที่ถอย และเริ่มอยากจะรู้ภูมิหลังของคนกลุ่มนี้แล้วเช่นกัน
“ท่านผู้นี้ชื่อว่าจือหยาง เป็นประธานสมาคมสมุนไพรท้องถิ่น อะไรกัน?! ขนาดจือหยางยังไม่รู้จัก แบบนี้ยังกล้าเรียกตัวเองว่าหมอจีนอีกเหรอ?” ลูกน้องคนหนึ่งของจือหยางเอ่ยตอบแทน
‘สมาคมสมุนไพรท้องถิ่นงั้นเหรอ?’
ตลอดชีวิตการเป็นแพทย์แผนจีนที่ผ่านมา ฉีเล่ยไม่เคยได้ยินชื่อสมาคมนี้มาก่อนเลยจริงๆ และเพิ่งจะได้ยินจากคนพวกนี้เป็นครั้งแรก
ฉีเล่ยก้าวเดินไปข้างหน้าเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เอ.. ทำไมผมถึงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของคุณจือมาก่อนเลย? บอกตามตรง ผมเพิ่งจะมารู้จักตอนที่คุณแนะนำตัวนี่เองล่ะ”
จือหยางแสยะยิ้ม ก่อนจะเอ่ยตอบฉีเล่ยไปว่า “ในเมื่อรู้แล้ว ทำไมยังไม่คุกเข่าโขกศรีษะขอโทษฉันอีกล่ะ?”
ความจริงจือหยางก็ไม่ควรต้องโกรธอะไรมากมายขนาดนี้ เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ เขาเพิ่งจะเจอเรื่องไม่สบอารมณ์มา และชายหนุ่มที่ทำให้เขาโกรธนั้น ก็มีฐานะที่ตัวเขาไม่ควรจะไปมีปัญหาด้วยอย่างยิ่ง ดังนั้น อารมณ์โกรธทั้งหมดจึงได้มาระบายลงกับฉีเล่ยแทน
“นี่! ไม่ได้ยินที่ฉันพูดรึยังไง?”
ระหว่างที่พูด จือหยางก็เดินตรงเข้าไปคว้าคอเสื้อของฉีเล่ยไว้ และเวลานี้ ก็เริ่มมีผู้คนเข้ามามุงดูกันมากมายแล้ว
หลายคนในที่นี้เป็นแพทย์แผนจีนจากโรงพยาบาลต่างๆ พวกเขาล้วนรู้จักจือหยางดี ด้วยตำแหน่งประธานสมาคมสมุนไพรท้องถิ่นนี้ ทำให้จือหยางค่อนข้างจะมีอำนาจในการควบคุมตลาดสมุนไพรทั่วประเทศ เขาจึงได้กลายเป็นคนที่ทำตัวกร่างไม่ไว้หน้าใครแบบนี้
จะเว้นก็เพียงแค่ไม่กี่คนที่มีภูมิหลังเหนือกว่าเขาเท่านั้น!
ผู้คนที่เข้ามามุงดูเหตุการณ์เริ่มมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนถึงกับหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายภาพเหตุการณ์ไว้
ฉีเล่ยจ้องมองจือหยางแน่นิ่ง พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก “คุณกำลังรนหาที่ตาย!”
จือหยางฟังแล้วถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฮ่าๆๆ รนหาที่ตาย? นี่! ฉันจะบอกอะไรให้ ในสายตาของฉัน แกเองก็ไม่ต่างจากสวะคนหนึ่งเท่านั้น!”
ฉีเล่ยหัวเราะออกมาเช่นกัน ก่อนจะตอบกลับจือหยางไปว่า “ทำไม? ที่ทำเป็นไม่กลัวก็เพราะคิดว่าตัวเองมีพวกมากกว่าสินะ หรือคิดที่จะรุมกัน?”
ฮวาโหล่วได้บอกเขาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ภายในวังมังกรแห่งนี้ ทุกคนมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ ขอเพียงแค่ไม่ส่งผลกระทบต่อการแข่งขันเท่านั้น พูดง่ายๆก็คือปลอดกฏหมาย!
จือหยางหัวเราะหึๆ ก่อนจะล้วงเอามีดพกในกระเป๋าออกมาชี้หน้าฉีเล่ย พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ในเมื่ออยากเล่นสนุก ฉันก็จะจัดให้เต็มที่!”
และทันทีที่พูดจบ จือหยางก็ได้พุ่งมีดในมือเข้าใส่ที่ลำคอของฉีเล่ยอย่างรวดเร็ว และหากฉีเล่ยไม่สามารถหลบได้ทัน เขาคงต้องสิ้นใจตายอยู่ตรงนั้นอย่างแน่นอน
มีดอาบยาพิษ!
แต่ถึงอย่างนั้น ฉีเล่ยก็สามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ นั่นเพราะพลังหยินและหยางในร่างไม่เพียงเพิ่มศักยภาพในการต่อสู้ให้ แต่ยังช่วยให้เขาเคลื่อนไหวได้รวดเร็วยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย
“มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!”
ฉีเล่ยคำรามออกมา แต่ในขณะที่เขาจะทันได้ตอบโต้กลับไป เสียงร้องตะโกนของฮวาโหล่วก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ฉีเล่ย นี่นายอยู่ที่ไหน?!”
หลังจากเข้ามาภายในร้านกาแฟ ฮวาโหล่วก็เห็นคนมากมายพากันมุงดูอะไรอยู่ เธอถึงกับใจหายวาบ
“อย่าบอกนะว่า…”
คิดได้เพียงแค่นั้น ฮวาโหล่วก็ถึงกับขนหัวลุก แล้วรีบวิ่งเข้าไปในร้านทันที
ฉีเล่ยจึงจำต้องถอยออกมา พร้อมกับร้องตะโกนตอบกลับไปว่า “ผมอยู่นี่!”
ในวินาทีที่ฮวาโหล่วกำลังเดินฝ่าฝูงชนเข้ามานั้น เธอก็ได้เห็นรอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้าของจือหยาง ทำให้เธอรู้สึกขยะแขยงและรังเกียจอย่างมาก
“นี่คุณเป็นใคร? ทำไมต้องทำร้ายฉีเล่ยด้วย?”
“โอ้โหสาวน้อย! รูปร่างหน้าตาไม่เลวเลยนี่”
แม้ว่าฮวาโหล่วจะไม่ใช้หญิงสาวผิวขาวอะไรมากมายนัก แต่หน้าตาของเธอก็นับว่าสะสวยไม่เบา จึงไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะพูดเช่นนั้น
เมื่อเห็นสายตาหื่นของจือหยาง ฉีเล่ยก็เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายได้ทันที จึงได้เอ่ยเตือนเสียงเย็น
“จือหยาง ถ้าแกกล้าแม้แต่จะคิดชั่วๆ รับรองว่าฉันไม่ให้แกตายดีแน่!”
แต่จือหยางกลับหัวเราะร่วน ก่อนจะตอบกลับฉีเล่ยไปอย่างไม่รู้สึกเกรงกลัวต่อคำขู่
“ไม่ต้องห่วง! ไว้ฉันจัดการกับแกก่อน แล้วจะรับดูแล้วแม่สาวน้อยคนนี้เอง แหมๆ รูปร่างหน้าตาดีขนาดนี้ ใครจะปล่อยไปง่ายๆ”
“ในเมื่อแกอยากจะลองดีนักก็ได้!”
ทันทีที่พูดจบ ฉีเล่ยก็เป็นฝ่ายพุ่งเข้าจู่โจมจือหยางก่อน แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีมีดสั้นอยู่ในมือก็ตาม
จือหยางสามารถหลบการจู่โจมของฉีเล่ยได้เพียงแค่สองสามครั้ง จากนั้นก็ถูกเขาฟันข้อศอกเข้าที่ลำตัวอย่างแรง
“โอ๊ย!!!”
เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นไม่หยุด หลังจากจัดการกับจือหยางแล้ว ฉีเล่ยก็หันไปถามลูกน้องอีกสองสามคนของเขาว่า
“แล้วพวกแกล่ะ อยากจะมีเรื่องกับฉันด้วยมั้ย?”
ฉีเล่ยยืนแสยะยิ้มแน่นิ่งรอฟังคำตอบ แต่ในสายตาของพวกเขานั้น รอยยิ้มของฉีเล่ยเวลานี้ไม่ต่างจากรอยยิ้มของปีศาจ กระทั่งคนมีมีดสั้นในมือยังไม่สามารถเอาชนะคนมือเปล่าได้ นั่นหมายความว่าคนผู้นี้ต้องเก่งกาจ แล้วก็แข็งแกร่งมากแค่ไหน?
จือหยางได้แต่ยืนนิ่งด้วยความสงสัย ในขณะที่ฉีเล่ยร้องตะโกนถามออกไปว่า
“ทำไม? ตอนนี้รู้จักลัวแล้วรึไง? ทำไมไม่ปากดีเหมือนเมื่อครู่อีกล่ะ? เมื่อครู่ฉันชนแกเป็นความผิดของฉัน แต่ตอนนี้ แกบีบให้ฉันต้องลงมือ คือความผิดของแก!”
หลังจากพูดจบ ฉีเล่ยก็กระทืบเท้าลงกับพื้นอย่างแรงหนึ่งครั้ง ก่อนจะหันหลังเดินออกจากร้านไปในทันที แต่ก้าวไปได้เพียงแค่สองสามก้าว เขาก็หันกลับมามองจือหยางอีกครั้ง พร้อมกับเอ่ยเตือนว่า
“วันหน้าวันหลัง อย่าได้ไปหาเรื่องคนอื่นแบบนี้อีก!”
ทุกคนในที่นั้นได้แต่ยืนเงียบกริบ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คนเดียว
“พวกเราไปกันเถอะ!”
ฉีเล่ยหันไปบอกฮวาโหล่ว จากนั้นทั้งคู่ก็ได้เดินกลับไปที่โรงแรมของตนเอง
……
พิธีเปิดการแข่งขัน…
การแข่งขันแพทย์แผนจีนได้จัดขึ้นมาหลายปีแล้ว แต่ในทุกๆปีก็ไม่ได้ใหญ่โต และมีรางวัลที่ดึงดูดใจผู้เข้าแข่งขันมากเหมือนปีนี้ ซึ่งไม่มีใครรู้เหตุผลเช่นกัน
ว่ากันว่า เจ้าของวังมังกรที่ใหญ่โตแห่งนี้ ก็คือผู้ที่กำลังยืนพูดอยู่บนเวทีในเวลานี้นั่นเอง และดูจากผมสีขาวโพลนทั้งศรีษะนั้น แน่นอนว่าเขาย่อมอยู่ในวัยชรา แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ดูมีอำนาจและน่าเกรงขามไม่น้อย
“ผู้เฒ่าคนนี้อายุเท่าไหร่เหรอ?”
ฉีเล่ยจ้องมองชายชราที่ยืนอยู่บนเวที พร้อมกับเอ่ยถามออกมาด้วยความอยากรู้