ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่320 เริ่มแผนการ
ตอนที่320 เริ่มแผนการ
ฮวาโหล่วส่ายหน้าไปมา เธอเข้าใจดีว่าฉีเล่ยกำลังจะบอกอะไร
“อย่าเพิ่งคิดไปไกลจะดีกว่า ในเมื่อมีหนึ่งในสองสำนักเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แน่นอนว่าต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วไปแน่ เพียงแต่ตอนนี้ สิ่งที่นายควรต้องใส่ใจให้มากก็คือความปลอดภัยของตัวเอง!”
ฉีเล่ยพยักหน้าเห็นด้วย
การใช้ชีวิตในวังมังกรของเขาเริ่มไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะนอกจากเขาจะถูกวางยาในครั้งนี้แล้ว ยังมีจือหยางอีกคนที่คอยหาทางเล่นงานเขาลับหลังอยู่เช่นกัน
“ผมไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมไม่ว่าผมจะไปที่ไหน หลายคนถึงได้มองผมเป็นศัตรูไปหมด?”
ฉีเล่ยไม่รู้ว่าควรจะต้องหัวเราะ หรือว่าร้องไห้ดี
ฮวาโหล่วส่งสายตาค้อนให้ ก่อนจะตอบกลับไปว่า
“นั่นเป็นการพิสูจน์ว่า ทักษะทางการแพทย์ของนายไม่ธรรมดายังไงล่ะ มิหนำซ้ำ ยังไปกระทบกับผลประโยชน์ของคนพวกนั้นด้วย ไม่งั้นสองตาของพวกเขาคงไม่คิดจะมองนายด้วยซ้ำไป!”
ฮวาโหล่วยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อว่า “อีกอย่าง ตอนนี้นายเองก็ยังไม่ถึงกับปีกกล้าขาแข็งเต็มที่ หากพวกเขาปล่อยให้ปีกของนายเติบใหญ่จนแข็งแกร่งมากกว่านี้ พวกเขาจะสามารถจัดการกับนายได้ยังไงกัน จริงมั้ย?”
ที่ฮวาโหล่วพูดมาก็มีเหตุผล จากนั้น ฉีเล่ยก็ได้เอ่ยถามออกมาด้วยกระหายใคร่รู้
“แล้วอีกสองสำนักที่เหลือล่ะ?”
“สองสำนักที่เหลือก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ สำนักเข็มเงินชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า มีความเชี่ยวชาญในการใช้เข็มรักษาผู้ป่วย ส่วนสำนักสำนักซุนเหมี่ยวนั้นดูเหมือนผู้ก่อตั้งจะเป็นหมอเทวดาซุนซื่อเหมี่ยน ทั้งสองสำนักต่างก็มีเอกลักษณ์ในการรักษาเฉพาะตัว”
ฮวาโหล่วยังคงวิเคระห์ต่อ “เท่าที่ฉันรู้มา สองสำนักนี้ไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่าการศึกษาเรื่องการแพทย์ แล้วก็ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอะไรที่น่าสงสัย ในความคิดของฉัน สำนักแพทย์ผีต่างหากที่เราควรจะให้ความสนใจให้มากๆ”
ความหมายในคำพูดของฮวาโหล่วนั้นชัดเจน เรื่องที่เกิดกับฉีเล่ยในครั้งนี้ แน่นอนว่าสำนักแพทย์ผีต้องอยู่เบื้องหลัง ลำพังตัวอันจื่อเตาคนเดียวอาจไม่ตัดสินใจทำรุนแรงถึงเพียงนี้ก็เป็นได้
แต่แน่นอนว่า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการคาดเดาทั้งสิ้น ส่วนความจริงจะเป็นเช่นใดนั้น คงต้องรอให้เรื่องราวทั้งหมดกระจ่างชัด และถูกเปิดเผยออกมาเสียก่อน
แม้ฮวาโหล่วจะเห็นฉีเล่ยดูเป็นปกติและมีชีวิตชีวา แต่เธอก็อดที่จะเอ่ยถามออกไปด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
“นี่ฉีเล่ย! นี่นายไม่เป็นอะไรแน่ใช่มั้ย?”
ฉีเล่ยหัวเราะออกมา พร้อมกับยกมือขึ้นตบหน้าอกตัวเอง ปากก็เอ่ยตอบหญิงสาวกลับไปว่า “ไม่ต้องห่วง! คุณดูสิ ร่างกายของผมมีตรงไหนที่ดูผิดปกติบ้าง?”
“แล้วนี่นายคิดจะทำยังไงต่อไป?”
ความจริงแล้ว ฮวาโหล่วอยากจะให้ฉีเล่ยนำคลิปการสนทนาของหวงเหอตี้กับอันจื่อเตาที่เขาได้อัดไว้ ออกมาเผยแพร่และเปิดโปงความชั่วช้าของทั้งสองคนในตอนนี้เลย แต่ฉีเล่ยกลับไม่เห็นด้วย
นั่นเพราะเรื่องนี้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังมีทั้งตระกูลหวงและสำนักแพทย์ผี ทางที่ดีไม่ควรเข้าไปขัดขวางแผนการของพวกเขา ควรแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ก่อน ปล่อยให้คนเหล่านั้นตายใจ ระหว่างนั้นค่อยคิดหาแผนการที่จะเปิดโปงโดยไม่ให้คนทั้งคู่สามารถดิ้นหลุดได้
แผนการของฉีเล่ย ทำให้ฮวาโหล่วที่คิดจะคัดค้านตั้งแต่แรก กลับไม่สามารถหาเหตุผลมาโต้แย้งได้
“หลังจากได้หลักฐานมากพอแล้ว และรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงแล้ว ผมถึงค่อยคืนชีพ..”
หลังจากพูดจบ ฉีเล่ยก็หัวเราะเย้ยหยันออกมา
หลังจากนั้น ฮวาโหล่วก็ได้เดินออกไปจากห้องพักของฉีเล่ย และทำตามแผนการของเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เธอยังคงทำการสืบหาความจริงในเรื่องนี้ต่อไป เริ่มทำการสอบถามทุกคนที่เกียวข้องกับเหตุการณ์ในคืนนั้นต่อ เพื่อให้แผนการเป็นไปอย่างสมจริง
ส่วนฉีเล่ยนั้น ก็เริ่มค้นหาข้อมูลของสำนักแพทย์ผีในอินเทอร์เน็ต การใช้พิษเป็นอาวุธทำร้ายคนเช่นนี้ นับว่าไม่ใช่เรื่องปกติ
แต่แล้วดูเหมือนว่า…
ทำไมสถานการณ์ถึงได้คล้ายกันมากขนาดนี้?
ฉีเล่ยกำลังนึกถึงคู่รักชาวเหมี่ยวที่เขาพบในเจียงหลิง หรือว่า.. สองเรื่องนี้จะเชื่อมโยงกัน?
ทางด้านฮวาโหล่วนั้น ก็ได้ไปพบหวงเหอตี้ เธอยังคงจำเหตุการณ์ขัดแย้งระหว่างหวงเหอตี้และฉีเล่ยในวันที่ทั้งคู่พบกันในวังมังกรวันแรก จนนำไปสู่การเดิมพันในครั้งนั้นได้
“นี่! คุณฮวาครับ ถึงแม้ผมจะไม่ใช่คนมีชื่อเสียงอะไรมากมาย แต่ผมก็ไม่ใช่คนที่จะคิดทำอะไรเลยเถิดได้ขนาดนั้น ผมจะคิดฆ่าฉีเล่ยไปทำไมกัน? ถ้าผมทำแบบนั้น จะมีประโยชน์ต่อการเดิมพันระหว่างผมกับเขาตรงไหน?”
ขณะนั้นเอง ชายวัยกลางคนที่ชื่ออันจื่อเตาก็ได้พูดแทรกขึ้นว่า “พวกเราเองก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจประธานฉีไม่น้อยไปกว่าคุณ ที่สำคัญ พวกเราไม่ใช่คนที่ลงมืออย่างแน่นอน!”
หลังจากที่ฮวาโหล่วได้ฟังคำแก้ตัวของคนทั้งคู่ เธอก็ได้แต่นึกหยันอยู่ในใจ ‘หึ! สองคนนี้ช่างตีสีหน้าเก่งนัก โกหกหน้าตาย ทำเหมือนตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ช่างไร้มโนธรรมสำนึกจริงๆ!’
แต่ในขณะที่ฮวาโหล่วกำลังจะหันหลังเดินออกจากห้องไปนั้น อันจื่อเตาก็รีบร้องตะโกนถามออกไปทันที
“คุณฮวาครับ ว่าแต่ตอนนี้อาการของประธานฉีเป็นยังไงบ้าง?”
หากไม่ใช่เพราะคำบอกเล่าของฉีเล่ยก่อนหน้านี้ ฮวาโหล่วคงจะเชื่อสนิทใจว่า อันจื่อเตามีความเป็นห่วงเป็นใยฉีเล่ยด้วยความจริงใจ แต่ตอนนี้เธอรู้ความจริงทุกอย่างแล้ว เธอจึงรู้ว่า แท้จริงอีกฝ่ายกำลังรอว่าฉีเล่ยจะสิ้นใจตายจริงๆเมื่อไหร่ต่างหาก
เธอจ้องมองอันจื่อเตาแน่นิ่ง ก่อนจะแสร้งถอนหายใจและตอบกลับไปว่า “เฮ้อ.. อาการทรุดลงเรื่อยๆ และดูเหมือนจะเริ่มหนักขึ้น ไม่แน่ว่าฉันอาจจะต้องรีบพาเขาออกจากที่นี่โดยด่วน”
“ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากจริงๆ! ขอให้คุณฮวาหาฆาตกรให้พบโดยเร็ว อย่าเสียใจไปเลยนะครับ ผมเชื่อว่าสวรรค์จะเมตตา อาจทำให้เกิดปาฏิหารย์ขึ้นก็ได้!”
ฮวาโหล่วพยักหน้า สายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของอันจื่อเตาพร้อมตอบกลับไปว่า “ฉันก็เชื่อแบบนั้น! ตอนนี้ฉันก็กำลังรอคอยให้ปาฏิหารย์เกิดขึ้น และหวังว่าฉีเล่ยจะตื่นขึ้นมาได้”
อันจื่อเตาไม่เข้าใจความหมายที่แฝงเร้นในคำพูดของฮวาโหล่ว แต่ก็รู้สึกตะหงิดๆเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นก็แสร้งหัวเราะ พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ใช่ๆ ผมก็หวังว่ามันจะเป็นแบบนั้น”
ฮวาโหล่วแสร้งทำเป็นตระเวนสืบหาความจริงไปในที่ต่างๆด้วยสีหน้าที่ทุกข์ระทมเคร่งเครียด แต่ความจริงแล้ว ภายในใจนั้นกลับเปี่ยมไปด้วยความสุข
ตอนนี้เธออยากจะเห็นหน้าอันจื่อเตาในตอนที่รู้ว่าฉีเล่ยยังคงสบายดีจริงๆ
…….
ในคืนวันที่สองหลังจากนั้น จู่ๆฉีเล่ยก็ผลุดลุกขึ้นจากเตียง สายตาจ้องมองไปทางฮวาโหล่วที่กำลังนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ พร้อมกับพูดขึ้นยิ้ม
“ได้เวลาแล้ว!”
ฮวาโหล่วยังคงสงบนิ่งในตอนแรก แต่เมื่อเห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของฉีเล่ย เธอก็รีบเอ่ยถามออกมาทันที “นี่นายแน่ใจนะ?”
“แน่สิ!”
ฮวาโหล่วพยักหน้า ส่วนฉีเล่ยก็กลับลงไปนอนบนเตียงต่อ จากนั้น ฮวาโหล่วก็วิ่งออกไปนอกห้อง พร้อมกับร้องตะโกนเสียงดังราวกับคนคลุ้มคลั่ง
“แย่แล้ว! ช่วยด้วย ฉีเล่ยทรุดหนักอีกแล้ว!”
เสียงร้องตะโกนของฮวาโหล่วนั้น ได้ปลุกทุกคนในวังมังกรให้ตื่นขึ้น แพทย์อาวุโสสองสามคนที่รับหน้าที่ดูแลรักษาฉีเล่ย หลังจากได้ยินเสียงร้องตะโกน ก็รีบรุดมาที่ห้องพักของเขาทันที
ในเวลานี้ ต้องบอกว่าเรื่องของฉีเล่ยเป็นเรื่องที่ทุกคนภายในวังมังกรต่างก็ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งผู้เฒ่าเจ้าของวังมังกรเอง
แต่ที่ทุกคนยังคงสงบนิ่งอยู่ได้นั้น เพราะว่าฉีเล่ยยังไม่เสียชีวิตจริงๆ
“เกิดอะไรขึ้น?”
เวลานี้ ไม่เพียงแพทย์อาวุโสที่รับผิดชอบดูแลอาการของฉีเล่ยเท่านั้นที่วิ่งมา แต่ยังมีอีกหลายคนที่พากันวิ่งมาที่ห้องของเขาด้วยเช่นกัน และในกลุ่มนั้นก็มีสองน้าหลานหวงเหอตี้กับอันจื่อเตาด้วย
“แย่แล้วค่ะ! จู่ๆฉีเล่ยก็กระอักเลือดออกมาเต็มเลย ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆถึงได้เป็นแบบนี้?”
ฮวาโหล่วร้องบอกพร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปที่กองเลือดสีแดงบนพื้น แววตาของอันจื่อเตาเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนจะดับไปอย่างรวดเร็ว
เลือดสีแดงที่นองอยู่กับพื้นนั้นเป็นเลือดจริง เพียงแต่ไม่ได้เกิดจากการกระอักเลือดออกมาเท่านั้นเอง
เวลานี้มีแพทย์แผนจีนเก่งๆอยู่มากมาย แต่กลับไม่มีใครคิดที่จะสังเกตเลือดบนพื้นเลยแม้แต่คนเดียว ทุกคนต่างก็มุ่งความสนใจไปที่อาการป่วยของฉีเล่ย
“จริงเหรอนี่? นี่เขากระอักเลือดมากขนาดนี้เชียวเหรอ? ไหนๆ ขอฉันตรวจอาการของเขาดูหน่อย!”
หนึ่งในทีมแพทย์อาวุโสที่คอยดูแลฉีเล่ยรีบเดินตรงเข้าไปที่เตียงของ และตั้งใจจะตรวจชีพจรของเขาดู
ในบรรดาแพทย์แผนจีนที่อยู่ในวังมังกรแห่งนี้ หลายคนผ่านประสบการณ์มามากมาย และไม่ได้มาที่นี่ในฐานะของผู้เข้าแข่งขัน แต่มาในฐานะผู้ตัดสินต่างหาก
ฮวาโหล่วเดินเข้าไปอย่างเงียบๆพร้อมกับไม้ถูพื้น เธอจัดแจงเช็ดทำความสะอาดเลือดที่เปื้อนเต็มพื้นออก เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นเข้ามาตรวจสอบเลือดพวกนี้ได้อีก