ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่321 เปิดโปงอันจื่อเตา
ตอนที่321 เปิดโปงอันจื่อเตา
ฉีเล่ยได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว เมื่อแพทย์อาวุโสเดินตรงเข้ามา เขาได้โคจรพลังหยินและหยาง จัดการเปลี่ยนลมปราณภายในร่างกายเพื่อให้ชีพจรปั่นป่วน
ในระหว่างที่รอให้แพทย์อาวุโสท่านนั้นตรวจชีพจรของฉีเล่ย บรรยากาศภายในห้องก็ยิ่งกดดัน และเคร่งเครียดมากขึ้น ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
สีหน้าของอันจื่อเตายังคงนิ่งเรียบ ดูเหมือนอาการของฉีเล่ยเวลานี้ได้อยู่ในการคาดคะเนของเขาก่อนแล้ว และเวลานี้ก็เพียงแค่รอคอยผลตรวจจากแพทย์อาวุโสท่านนั้น
“ลมปราณภายในร่างปั่นป่วนระส่ำระสาย หยินหยางในร่างเสียสมดุล อวัยวะภายในทั้งหมดใกล้ล่มสลาย”
สีหน้าของแพทย์อาวุโสท่านนั้นเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดมากขึ้นในระหว่างที่เอ่ยออกมา แต่เพื่อความมั่นใจ เขาจึงได้ทำการตรวจชีพจรของฉีเล่ยใหม่อีกครั้ง
หลังจากผ่านไปเกือบสินาที ในที่สุด แพทย์อาวุโสท่านนั้นก็ลืมตาขึ้น เขาหันไปจ้องหน้าฮวาโหล่วครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมองไปทางผู้คนที่มาเฝ้าดูด้านนอก แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า
“พลังในร่างกายเหลือน้อยเต็มทีแล้ว…”
ฮวาโหล่วถึงกับนิ่งอึ้งไปด้วยความตกใจ รวมถึงคนอื่นๆ ต่างก็จ้องมองแพทย์อาวุโสท่านนั้นด้วยอาการตกใจไม่ต่างกัน
แม้ทุกคนจะรู้ดีว่า ผู้ที่ถูกผงห้าพิษสลายกระดูกเข้าไปนั้น ยากนักที่จะรอดชีวิตได้ แต่เมื่อความจริงปรากฏขึ้นตรงหน้า หลายคนก็ยากที่จะยอมรับได้เช่นกัน
“อาวุโส ไม่มีหนทางรักษาได้จริงๆเหรอครับ?”
ใครบางคนเอ่ยถามออกมา แพทย์อาวุโสท่านนั้นส่ายหน้าไปมา พร้อมกับเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“ลมหายใจไม่ปกติย่อมเป็นสัญญาณไม่ดีอยู่แล้ว เวลานี้พลังหยินและหยางในร่างยังปรวนแปรสับสน ขาดซึ่งสมดุลแบบนี้ ทุกท่านในที่นี้ก็เป็นแพทย์แผนจีนเหมือนกัน ย่อมต้องรู้ดีว่าสมดุลของหยินและหยางนั้น มีผลอย่างไรกับร่างกายคนเรา”
แต่แล้วจู่ๆ อันจื่อเตาก็ถอนหายใจออกมาเสียงดัง พร้อมกับเดินตรงเข้ามาที่เตียงของฉีเล่ย ก่อนจะพูดขึ้นด้วยใบหน้าทุกข์ระทม
“เฮ้อ.. น่าเสียดายจริงๆ! ประธานฉีเป็นอัจฉริยะแพทย์แผนจีนที่ยังหนุ่มนัก เกิดเรื่องเลวร้ายแบบนี้กับเขาได้ยังไงกัน…”
เมื่อได้ฟังคำพูดของอันจื่อเตา ทุกคนที่รายล้อมอยู่ในเหตุการณ์เวลานี้ ต่างก็มีหน้าตาเศร้าโศกตาม นั่นเพราะไม่เพียงฐานะของฉีเล่ย แต่พรสวรรค์ทางด้านการแพทย์แผนจีนของเขานั้น ยังเป็นที่เลื่องลืออย่างมากในเวลานี้ จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายที่วงการแพทย์แผนจีนจะต้องสูญเสียผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้ไป
เมื่อเห็นอันจื่อเตาแสดงท่าทางเสแสร้งออกมาเช่นนั้น ฮวาโหล่วก็ได้แต่แอบเย้ยหยันอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอต้องการให้ทุกคนมองดูฉีเล่ยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะเริ่มแผนการต่อไป
“น่าเสียดายมากจริงๆ!”
ผู้เฒ่าเจ้าของวังมังกรดูเหมือนจะโกรธมาก แต่ต่อหน้าทุกคนเวลานี้ เขาเองก็ไม่สามารถระเบิดอารมณ์ออกมาได้มากนัก จึงได้แต่ข่มอารมณ์ไว้ภายในใจ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ฮวาโหล่ว จากนั้น ทั้งสองคนก็ได้เดินออกจากห้องของฉีเล่ยไปด้วยกัน
“คุณฮวา ไม่ต้องเป็นห่วง ยังไงฉันก็ต้องสืบหาความจริงในเรื่องนี้ให้ได้ ฉันจะต้องมีคำอธิบายนี้ให้กับคุณแน่!”
ฮวาโหล่วที่ควรจะต้องแสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยว และคับแค้นใจอย่างมากออกมา กลับมีท่าทีสงบนิ่งจนผิดปกติ เธอยกมือขึ้นป้องปากพร้อมกับกระซิบบอกผู้เฒ่าวังมังกรว่า
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันรู้ตัวการที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แล้ว และตอนนี้เขาก็อยู่ในห้องของฉีเล่ยด้วย!”
“นี่มันหมายความว่ายังไง…” ผู้เฒ่าวังมังกรเอ่ยถามกลับไปด้วยสีหน้างุนงง
หลังจากที่ได้คลุกคลีกับผู้เฒ่าวังมังกรมาสองสามวันนี้ ฮวาโหล่วก็ดูเหมือนจะพอรู้จักอุปนิสัยใจคอของผู้เฒ่าคนนี้ดีขึ้นมาก จึงไว้และกล้าที่จะบอกไปว่า
“ฉีเล่ยไม่ได้เป็นอะไรค่ะ! เขาแค่แกล้งเล่นละครตบตาคนอื่นเท่านั้นเอง รอดูต่อไปดีกว่านะคะ…”
ผู้เฒ่าวังมังกรถึงกับนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย และไม่สามารถเอ่ยปากพูดอะไรออกมาได้ครู่หนึ่ง แต่หลังจากที่คลุกคลีกับฮวาโหล่วในสองสามวันนี้ ก็ได้ทำให้เขาเริ่มรู้จักอุปนิสัยใจคอของหญิงสาวคนนี้ขึ้นมาก เขาจึงเลือกที่จะนิ่งเงียบ และปล่อยให้หญิงสาวเป็นคนจัดการกับเรื่องนี้เอง
“ได้! ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า พวกเธอสองคนยังมีอุบายอะไรอีก” ผู้เฒ่าวังมังกรเอ่ยตอบยิ้มๆ
หลังจากนั้น ฮวาโหล่วก็เดินกลับไปที่ห้องของฉีเล่ยอีกครั้ง
บรรยากาศภายในห้องพักของฉีเล่ยค่อนข้างตึงเครียด หลังจากเดินเข้าไปข้างใน สายตาของฮวาโหล่วก็กวาดมองทุกคนในห้อง และเธอก็พบแววตาตื่นเต้นดีใจในดวงตาของอันจื่อเตา
‘หึ! ปล่อยให้พวกแกดีใจไปก่อน หลังจากนี้ดูสิว่าจะยังยิ้มออกอีกมั้ย?’
เวลานี้ อันจื่อเตาที่กำลังยืนอยู่หน้าเตียงของฉีเล่ยนั้น ได้จ้องมองร่างของเขาที่นอนหลับตาแน่นิ่ง จากนั้น น้ำตาก็เริ่มไหลอาบสองแก้ม ปากก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเศร้าโศกอย่างมาก
“มีใครบ้างที่ไม่รู้จักประธานฉีผู้โด่งดัง และมากความสามารถ แต่.. แต่กลับคิดไม่ถึงว่า…”
“ประธานฉี คุณไม่ต้องเป็นห่วงไปนะ สภาแพทย์แผนจีนในปักกิ่งที่คุณสู้อุตส่าห์ก่อตั้งมากับมือ ผมรับปากว่าจะช่วยดูแลให้เป็นอย่างดี จะไม่มีทางปล่อยให้ล่มสลายไปอย่างแน่นอน”
คนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางในเรื่องนี้ หากได้ฟังคำพูดของอันจื่อเตา ย่อมต้องรู้สึกซาบซึ้งใจกับคำพูดของเขาเป็นอย่างมาก และอดที่จะประทับใจในความมีน้ำใจของเขาไม่ได้
“งั้นเหรอครับ?!”
แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงพูดดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
“ใคร?! เมื่อครู่ใครพูด?!”
อันจื่อเตาหันมองไปรอบห้องพร้อมกับเอ่ยถามขึ้น แต่กลับพบว่า ทุกคนต่างก็หันไปมองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างทำหน้าเลิกลั่ก
“ไม่ต้องไปมองหาหรอก ผมเป็นคนพูดเอง! แล้วตอนนี้ผมก็กำลังนอนอยู่หน้าคุณยังไงล่ะ!”
หลังจากได้ยินคำพูดประโยคนี้ อันจื่อเตาก็รีบหันกลับมามองฉีเล่ยอีกครั้ง และพบว่า อีกฝ่ายได้ลืมตาขึ้นพร้อมกับจ้องมองเขาอยู่ด้วยแววตาขี้เล่น
“นี่เธอ.. เธอ.. ยังไม่ตายงั้นเหรอ?! ทะ.. ทำไมจู่ๆถึงได้ฟื้นขึ้นมาได้?!” อันจื่อเตาพูดขึ้นด้วยสีหน้าตกอกตกใจ
“ทำไม?! คนยังไม่ตายลืมตาไม่ได้งั้นเหรอครับ? อีกอย่าง ในเมื่อผมฟื้นขึ้นมาแล้ว คุณจะให้ผมนอนหลับตานิ่งๆหรือยังไง?”
ฉีเล่ยตอบกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ตายแล้วฟื้นงั้นเหรอ?! ไม่! เป็นไปไม่ได้!
อันจื่อเตาแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง และยิ่งไม่อยากเชื่อว่าคนตายแล้วจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้จริง แต่เมื่อเห็นแววตาขี้เล่นของฉีเล่ย เขาก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างได้
“นี่เธอแกล้งตายงั้นเหรอ?!”
อันจื่อเตาร้องตะโกนถามออกมาด้วยความหวาดกลัว และกระวนกระวายใจ
“ก็ใช่น่ะสิ! นี่คุณดูไม่ออกรึไง?”
เมื่อได้รู้ความจริง อันจื่อเตาก็รีบหันมองไปรอบตัว และพบว่า ทุกคนในห้องกลับยืนนิ่ง ไม่มีใครรู้สึกตกใจและประหลาดใจเหมือนเขาเลย
แพทย์อาวุโสที่ตรวจอาการฉีเล่ยถึงกับยิ้มออกมา พร้อมกับเอ่ยถามอันจื่อเตาว่า “คุณไม่รู้สึกแปลกใจบ้างเหรอว่า ทำไมถึงมีคุณที่ประหลาดใจอยู่คนเดียว?”
“นี่ทุกคน…” อันจื่อเตากัดฟันกรอด
ฉีเล่ยถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง เขาลุกขึ้นมานั่งบนเตียงสายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างของอันจื่อเตา พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“นี่คุณคิดว่าจะสามารถตบตาทุกคนได้งั้นเหรอ?”
จากนั้น ฉีเล่ยก็ยกหลังมือขึ้นเช็ดริมฝีปากที่ซีดขาวของตนเองออก เผยให้เห็นริมฝีปากที่แดงระเรื่อดังเช่นคนปกติ แม้กระทั่งลมหายใจที่อ่อนระทวยก่อนหน้านี้ ก็กลับมาเป็นปกติเช่นกัน
“นี่.. นี่เธอไม่ได้ถูกพิษสินะ?”
อันจื่อเตาเอ่ยถามออกมาพร้อมกับหรี่ตาลง เวลานี้ เขาเริ่มเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่การเล่นละครตบตาของฉีเล่ย
“ไม่ๆๆ ความจริงผมถูกผงห้าพิษสลายกระดูกเข้าจริงๆ เพียงแต่คุณพลาดไปตรงที่ว่า ก่อนจะวางยาผม คุณลืมสำรวจความแข็งแกร่งของร่างกายผมให้ดีซะก่อน ไม่งั้นคุณคงจะรู้ว่า สภาพร่างกายของผมในตอนนี้ พิษระดับนั้นไม่สามารถทำอันตรายอะไรได้”
ฉีเล่ยตอบกลับไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
เมื่อครั้งที่ผงห้าพิษสลายกระดูกได้กระจายไปทั่วร่างของเขานั้น ได้ทำให้เส้นประสาททั่วร่างเป็นอัมพาตเสียก่อน และในตอนนั้นเอง กายหยางบริสุทธิ์ของเขาก็เริ่มทำงานทันที แต่หลังจากนั้น เขาก็แค่เล่นละครต่อไปเท่านั้นเอง
“ในเมื่อไม่ได้ถูกพิษก็นับว่าเป็นเรื่องดี แต่มันไม่เลวไปหน่อยเหรอที่จะโยนความผิดทั้งหมดให้ฉัน?” อันจื่อเตารีบร้องบอกทันที
“อ่อ.. คุณจะปฏิเสธสินะว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย?”
ฉีเล่ยเอ่ยถามพร้อมกับจ้องลึกลงไปในดวงตาของอันจื่อเตา
อันจื่อเตารู้ดีว่า หากเขายอมรับ ไม่เพียงผู้เฒ่าวังมังกรที่จะไม่ยอมปล่อยเขาไป ทุกคนในที่นี้ก็คงไม่ยอมเช่นกัน
“ต้องไม่ใช่ฝีมือของฉันอยู่แล้ว ทำไมฉันจะต้องทำเรื่องแบบนี้ดวย? ใครๆก็รู้ว่าผงห้าพิษสลายกระดูกเป็นของหายาก แล้วก็สูญหายไปนานแล้วด้วย อีกอย่าง ฉันเองก็อยู่แต่บนเขา จะไปหาผงห้าพิษสลายกระดูกมาจากที่ไหน?”
“งั้นเหรอ?! แล้วที่สำนักแพทย์ผีล่ะมียาพิษชนิดนี้บ้างมั้ย?”
ฉีเล่ยจ้องมองอันจื่อเตาด้วยแววตาสนอกสนใจ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“บังเอิญว่าผมมีคลิปที่คุณพูดคุยกับแพทย์หนุ่มคนหนึ่งที่นี่ คุณอยากจะให้ผมเปิดให้ทุกคนในที่นี้ฟังมั้ยล่ะ? ดูเหมือนในคลิปคุณจะพูดถึงแผนการทั้งหมดด้วย…”
ความจริงแล้ว ฉีเล่ยเองก็ไม่อยากจะเปิดโปงหวงเหอตี้ไปด้วย แม้ว่าเขาจะใช้วิธีที่ไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่ได้โหดเหี้ยมถึงกับต้องการฆ่าคน เขาจึงเลี่ยงที่จะไม่เอ่ยชื่ออีกฝ่ายออกมา