ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่326 กลับวังมังกร
ตอนที่326 กลับวังมังกร
“นี่เป็นเพียงร่างจำลองที่ข้าทิ้งไว้บนหุบเขาศิลาเหลืองแห่งนี้เท่านั้น”
“ร่างจำลอง?!”
ฉีเล่ยไม่รู้ว่าตนเองควรจะหัวเราะ หรือว่าร้องไห้ดี จึงได้ร้องถามออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นี่ไม่ใช่นิยายแฟนตาซีนะครับ”
“ร่างจำลองของข้าจะคงอยู่ได้ภายในคฤหาสน์บนหุบเขาศิลาเหลืองแห่งนี้เท่านั้น เพราะที่นี่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เป้าหมายเดียวของข้าคือ การรอคอยผู้ที่จะมาสืบทอดวิชาความรู้ของข้า และเวลานี้ ข้าก็ได้พบผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนแล้ว ซึ่งก็คือเจ้า!”
“ผมเหรอครับ?!”
ฉีเล่ยร้องตะโกนถามออกไปด้วยความตื่นเต้นอย่างที่สุด แต่ก็ต้องตอบกลับไปว่า
“ผมเชื่อว่าคุณเป็นหมอเทวดาจางจงจิง แต่จุดมุ่งหมายที่ผมมาหุบเขาแห่งนี้ก็เพราะว่า ต้องการนำดอกอวิ๋นชูกลับไปช่วยเพื่อนร่วมอาชีพที่ถูกพิษ จึงไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานกว่านี้”
ปรากฏว่าเมื่อฉีเล่ยพูดจบ ร่างของใครบางคนก็ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาในทันที
“อาวุโสอยู่ตรงนี้มาตลอดเหรอครับ?”
ฉีเล่ยร้องถามออกมาด้วยความตกใจ พร้อมกับจ้องมองร่างของจางจงจิง ด้วยดวงตาเบิกโพลง ริมฝีปากอ้ากว้างบ่งบอกว่าไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
ใบหน้าของจางจงจิงเคร่งขรึมไม่ต่างจากภาพวาดที่ฉีเล่ยเคยเห็นในหนังสือ สีหน้าเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่แผ่นซ่านออกมาจากร่างของจางจงจิงได้
“พลังหยินและหยางในกายเจ้าได้มาจากที่ใด?”
จางจงจิงดูเหมือนจะไม่ใส่ใจกับอาการตกอกตกใจของฉีเล่ย แต่เอ่ยถามในสิ่งที่อยากรู้แทน
หลังใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ฉีเล่ยจึงได้หยิบเอาประคำโลหิตม่วงออกมา พร้อมตอบกลับไปว่า “ประคำเม็ดนี้เป็นของปรมาจารย์ผู้หนึ่ง และพลังหยินหยางที่ผมได้มาก็มาจากสิ่งนี้”
“ฮ่าๆๆๆ นี่คงจะเป็นโชคชะตาสินะ!”
จางจงจิงร้องตะโกนออกมาพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะจ้องหน้าฉีเล่ย และเอ่ยถามออกมาว่า “พ่อหนุ่ม เขาเต็มใจจะศึกษาวิชาที่จะเป็นประโยชน์ต่อโลกใบนี้หรือไม่?”
ฉีเล่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น “อาวุโสจาง ผมขอบอกตามตรง ต่อให้ผมจะได้เรียน หรือไม่ได้เรียนวิชาจากคุณ ผมก็ได้ตั้งปณิธานนับแต่ก้าวเข้ามาในวิชาชีพนี้แล้วว่า จะอุทิศตนช่วยผู้คนบนโลกใบนี้”
เขาจ้องมองจางจงจิงแน่นิ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “เหตุผลหนึ่งที่ผมตัดสินใจที่จะร่ำเรียนวิชาจากคุณก็เพราะว่า ผมจำเป็นต้องนำดอกอวิ๋นชูกลับไปช่วยถอนพิษให้กับทุกคน และดูเหมือนนี่จะเป็นเพียงหนทางเดียวที่จะช่วยพวกเขาได้”
จางจงจิงพยักหน้าด้วยความพอใจ และได้เดินเข้าไปหาฉีเล่ย ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก “เอาล่ะ เจ้าหลับตา แล้วเริ่มโคจรพลังหยินและหยางในร่างได้”
หลังจากเอ่ยจบ เขาก็ค่อยๆยื่นฝ่ามือของตนเองออกไปสัมผัสที่จุดตันเถียนของฉีเล่ย พร้อมกับเอ่ยบอกว่า “เริ่มโคจรพลังหยินและหยางไปที่ดวงตาทั้งสองของเจ้าได้แล้ว”
ฉีเล่ยพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเริ่มโคจรพลังหยินและหยางในร่างของตนไปที่ดวงตาทั้งสองอย่างว่าง่าย เขาเองก็อยากรู้เช่นกันว่า หลังจากนั้นจะเกิดอะไรชึ้น
จางจงจิงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะดึงเข็มเงินออกมาจากร่าง แล้วเริ่มฝังเข็มลงไปที่ใต้ดวงตาทั้งสองข้างของเขาในทันที ปากก็ร้องบอกว่า
“อาจเจ็บปวดบ้างเล็กน้อย”
แต่ดูเหมือนจะเจ็บปวดไม่น้อย เพราะเสียงกรีดร้องของฉีเล่ยยังคงดังออกมาไม่หยุด ระหว่างนั้น จางจงจิงก็ได้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“อดทนไว้ ถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว”
เวลานี้ ฉีเล่ยเจ็บปวดราวกับถูกเข็มนับพันๆเล่มทิ่มแทงเข้าที่ดวงตาทั้งสองข้างของตนเอง มันเป็นความเจ็บปวดที่ยากจะรับไหว แต่เมื่อได้ยินคำพูดของจางจงจิง ฉีเล่ยก็จำต้องอดทนแม้จะทนได้ยากก็ตาม
“ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนอาวุโส? ผมจะทนต่อไปไม่ไหวอยู่แล้ว…”
ฉีเล่ยปิดตาอยู่ จึงไม่รู้ว่าด้านหน้าของตนเวลานนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง และไม่รู้ว่าจางจงจิงต้องการที่จะทำสิ่งใดต่อ
กระทั่งเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ในที่สุดฉีเล่ยก็ได้ยินเสียงของจางจงจิงดังขึ้นอีกครั้ง
“เสร็จเรียบร้อยแล้ว!”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพลังหยินและหยางในร่างหรืออย่างไร ทำให้ฉีเล่ยรู้สึกตัวเบาขึ้นมาก และสัมผัสได้ว่ากายหยางพิสุทธิ์ของเขานั้น มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป แต่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเลวร้ายจึงไม่คิดอะไรมาก
หลังจากลืมตาขึ้นมอง ปรากฏว่า สิ่งที่ฉีเล่ยเห็นนั้นแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้มาก ครั้งนี้เขาพบว่า ร่างของจางจงจิงดูคล้ายภาพลวงตาขึ้นมาก จึงได้ร้องถามออกไปด้วยความตกใจ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับผู้อาวุโส?”
“ไม่มีอะไร นี่เป็นเรื่องปกติ”
จางจงจิงเอ่ยตอบ “วิชาที่ข้าถ่ายทอดให้เจ้านี้ จะช่วยให้เจ้าสามารถตรวจสอบภายในร่างกายของมนุษย์ได้”
ระหว่างที่พูดนั้น จางจงจิงก็ได้ยื่นตำราเล่มหนึ่งให้กับฉีเล่ยพร้อมกับเอ่ยบอกว่า “นี่คือตำราเกี่ยวกับการรักษาพิษและโรคระบาด ตำราเล่มนี้แตกต่างจากตำราของข้าที่ผู้คนทั่วไปใช้ศึกษากัน เอาล่ะ ตอนนี้ด้วยวิชาที่ข้าถ่ายทอดให้ เจ้าจะสามารถมองเห็นดอกอวิ๋นชูได้แล้ว”
“หลังจากเจ้าโคจรพลังหยินและหยางในร่างไปไว้ที่ดวงตาทั้งสองข้าง ดวงตาของเจ้าจะมีศักยภาพที่ไร้ขอบเขต”
สีหน้าของฉีเล่ยเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นดีใจอย่างมาก
“ข้าซ่อนดอกอวิ๋นชูเอาไว้ หากเจ้าสามารถหามันพบ นั่นหมายความว่า ดวงตาของเจ้าได้เปลี่ยนไปแล้ว”
หลังจากพูดจบ ร่างของจางจงจิงก็ค่อยๆ จางหายไปอย่างช้าๆ
“ข้าเหลือเวลาอยู่บนโลกใบนี้ไม่มากนัก จงจำไว้ว่า ภารกิจของเจ้ากับข้าคือการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์บนโลกใบนี้ แม้จะต้องสละชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องชีวิตผู้อื่นก็จงทำ ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”
หลังจากเห็นฉีเล่ยพยักหน้าหนักแน่น จางจงจิงก็ได้ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ จากนั้น ร่างของเขาก็ได้อันตรธานหายไปในอากาศ
ฉีเล่ยรู้สึกใจหายไม่น้อย แม้จะได้พูดคุยกับจางจงจิงเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ แต่เขากลับรู้สึกคุ้นเคย และผูกพันอย่างบอกไม่ถูก
แต่ถึงอย่างไร จางจงจิงก็ได้เสียชีวิตไปนานแล้ว เขาคือหมอเทวดาในอดีตนับพันปี การที่ร่างจำลองของเขาสลายหายไป นั่นย่อมหมายความว่า ภารกิจของเขาได้สิ้นสุดลงเพราะมีผู้มาสานต่อแล้วนั่นเอง
จากนั้น ฉีเล่ยจึงได้กลับไปที่ต้นอวิ๋นชูอีกครั้ง และเมื่อเขาโคจรพลังหยินและหยางมาที่ดวงตาตามที่จางจงจิงบอก ไม่ถึงสามวินาที เขาก็สามารถมองเห็นดอกอวิ๋นชูที่อยู่บนต้นได้ในทันที
……
ภายในวังมังกรเวลานี้
ในบ่ายของวันที่สอง หลู่เซินบุกเข้าไปหาผู้เฒ่าวังมังกรโดยไม่สนใจว่าจะมีใครห้ามปราม และเมื่อไปถึงเขาก็ร้งอตะโกนโวยวายเสียงดัง
“ผู้เฒ่า… นี่มันปาเข้าไปวันที่สองแล้วนะครับ การปรุงยาถอนพิษต้องใช้กระบวนการอย่างน้อยหนึ่งวัน ถ้าฉีเล่ยไม่กลับมาภายในวันนี้ นั่นหมายความว่าพวกเราทุกคนในที่นี้จะต้องตายอย่างแน่นอน!”
คำพูดของหลู่เซินได้สร้างความตื่นตระหนกให้คนอื่นๆที่เหลือ
“นั่นน่ะสิ! นี่ก็บ่ายของวันที่สองแล้ว ยังไม่มีข่าวคราวของฉีเล่ยเลย ไม่ใช่ว่าเขาจะหนีเอาตัวรอดไป แล้วทิ้งพวกเราให้ตายอยู่ที่นี่หรอกเหรอ?”
คนอื่นๆต่างก็พากันโวยวายขึ้นมาเช่นกัน
“ทุกคนอย่างเพิ่งร้อนใจไป พวกเรายังมีเวลาอีกครึ่งวัน อีกอย่าง ทางผู้เฒ่าวังมังกรก็ได้เตรียมการสำหรับปรุงยาแก้พิษไว้พร้อมแล้ว ทันทีที่ประธานฉีกลับมา พวกเราจะสามารถลงมือได้ในทันที”
ฮวาโหล่วพยายามที่จะปลอบประโลมให้ทุกคนคลายความกังวลใจ
แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เพราะทุกคนยังคงต้องการคำอธิบายที่ดีกว่านี้ กระทั่งหวงฝูหัวเองก็อดรนทนไม่ได้ เขาจ้องมองหลู่เซินที่ปลุกระดมคนอื่นๆ พร้อมกับตวาดเสียงดัง
“หลู่เซิน อย่าให้มันมากเกินไปนัก!”
ระหว่างตระกูลหลู่ของหลู่เซิน กับตระกูลหวงฝูของหวงฝูหวงนั้น ฐานะของสองตระกูลอยู่ในระดับเดียวกัน เมื่อหวงฝูหัวแสดงอาการโกรธเกรี้ยวออกมาเช่นนี้ หลู่เซินก็ถึงกับหวาดกลัวได้เช่นกัน
“เอาล่ะทุกคน อย่าเพิ่งโวยวายอะไรนักเลย ยังไงก็คงต้องรอฉีเล่ยกลับมา ต่อให้พวกเราทะเลาะกันไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร”
ผู้เฒ่าวังมังกรตัดบทในที่สุด ก่อนจะสั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับรอที่ห้องพัก
เวลาผ่านไป และตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกเพียงแค่ห้าชั่วโมงเท่านั้น แต่กลับไม่มีข่าวคราวจากฉีเล่ยเลย
สี่ชั่วโมง…
สองชั่วโมง…
สามสิบนาที…
หลู่เซินนำคนออกมาที่ลานด้านนอกอีกครั้ง พร้อมกับร้องตะโกนโวยวายเสียงดัง
“นี่พวกคุณกำลังเล่นตลกอะไรกับชีวิตของพวกเรากันแน่?”
ฮวาโหล่วคร้านที่จะสนใจ และได้แต่เงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ในใจได้แต่หวังว่าขอให้ปาฏิหารย์เกิดขึ้นทีเถิด…
หากฉีเล่ยไม่สามารถกลับมาได้ภายในเวลาที่กำหนด การปรุงยาถอนพิษอาจล่าช้า ซึ่งนั่นหมายถึงชีวิตของผู้คนในที่นี้ และผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอที่สุดคงจะต้องตายก่อน
“นี่สาวน้อย ฉันพูดกับเธออยู่นะ เธอทำแบบนี้อยากจะมีเรื่องกับฉันมากรึไง?”
หลู่เซินตวาดใส่ฮวาโหล่วที่ยังคงนั่งนิ่งไม่สนใจตนเอง พร้อมกับยกมือขึ้นเตรียมตวัดฟาดใส่ใบหน้าของหญิงสาว แต่หวงฝูหัวได้เข้ามาขวางไว้ก่อน
และในระหว่างนั้นเอง เสียงเฮลิคอปเตอร์ก็ดังขึ้นอยู่บนฟากฟ้า
“นั่น…”
“กลับมาแล้ว! เขากลับมาแล้ว!”
เหลือเวลาอีกเพียงแค่สิบกว่านาที ในที่สุดฉีเล่ยก็กลับมาถึงวังมังกรทันเวลา
ฮวาโหล่วมั่นใจว่าหากฉีเล่ยกลับมาต้องได้ดอกอวิ๋นชูกลับมาด้วยอย่างแน่นอน นั่นเพราะจากหลายๆครั้งที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ฉีเล่ยก็ไม่เคยทำให้เธอผิดหวังเลยสักครั้ง
“หลายวันนี้ลำบากคุณมากเลยสินะ?”
ฉีเล่ยเอ่ยถามฮวาโหล่ว เพราะรู้ว่าเธอคงจะต้องอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างมากมาย จากนั้นจึงได้เดินตรงเข้าไปหาแพทย์อาวุโสท่านเดิม พร้อมกับเอ่ยถามว่า
“อาวุโส ข้าได้ดอกอวิ๋นชูมาแล้ว พวกเราลงมือได้เลย”