ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่60 พ่อบ้านฟาง
ตอนที่60 พ่อบ้านฟาง
เมื่อกวาดสายตามองตรงไปยังภาพฉากตรงหน้า ฉีเล่ยถึงกับขยี้ตาสงสัยว่าตัวเองมาผิดที่รึเปล่า?
นี่คือบ้านเลขที่ 01 ถนนหนานกวน ตามที่โลเคชั่นบอกมาไม่มีผิด ฉีเล่ยพยายามยกมือถือขึ้นมาจับจ้องหน้าจอ ก็พบว่าทุกอย่างถูกต้องตามที่ชูซินซูบอกไว้
อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าของเขา มันเสมือนกำลังบอกกับเขาว่า ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เขาคู่ควรจะมา
มันเป็นวิลล่าเดี่ยวที่สร้างขึ้นบนยอดเขาหนานกวน ซึ่งเป็นใจกลางของอุทยานวิทยาแห่งชาติ โดยมีหุบเขาหนานกวนทั้งหมดเป็นสวนหลังบ้าน ตึกอาคารเป็นคฤหาสน์สไตล์ยุโรปคล้ายกับปราสาทของมหาเศรษฐีแบบในหนัง ตั้งอยู่ท่ามกลางพฤกษาเขียวขจีและทะเลสาบสีครามใส ทั้งยิ่งใหญ่ เปล่งประกาย และหรูหราเกินพรรณนา
มีวิลล่าที่คล้ายกับแบบนี้อีกหลายหลังอยู่ถัดจากคฤหาสน์หลักหลังนี้ บ้านพักอาศัยราคาแพงที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้ฉีเล่ยเคยเห็นมาคงเป็นคฤหาสน์ตระกูลหวู่ แต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับที่นี่แล้ว คฤหาสน์ของสองพ่อลูกตระกูลหวู่กลับกลายเป็นส้วมไปเลย…
เมื่อเดินทางมาถึง คนขับแท็กซี่ก็ถึงกับอุทานลั่นและหันมากล่าวกับเขาว่า ที่แห่งนี้คือที่อยู่อาศัยของบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในจีน ตัวตนและภูมิหลังของคนเหล่านี้ค่อนข้างลึกลับเป็นอย่างมาก ผู้คนชนชั้นธรรมดาอย่างพวกเรามีเพียงน้อยคนนักที่รู้จักพวกเขา
เมื่อจับจ้องไปที่ประตูรั้วเหล็กขนาดมหึมา ก็รู้ได้ทันทีว่าแค่ประตูรั้วบานหนึ่งก็มีค่ากว่าบ้านทั้งหลังของคนทั่วไปแล้ว ฉีเล่ยเหลือบมองไปที่สวนหน้าบ้านคฤหาสน์ ช่างกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ประมาณได้คร่าวๆประมาณหมื่นตารางเมตรเห็นจะได้ เขาถึงขั้นอึ้งไปชั่วขณะ และไม่ค่อยมั่นใจเลยว่า ควรเรียกที่นี่ว่าบ้าน คฤหาสน์ หรือวิลล่าดี…
ที่นี่คือบ้านของชูซินซู
พระเจ้าช่วยลูกช้างด้วย…
“นี่คุณคนนั้นน่ะ! มาทำอะไรที่นี่ครับ?”
ชายร่างกำยำในชุดสูทสีดำสนิท ใส่อุปกรณ์หูฟังไร้สายอยู่ข้างหนึ่งเอ่ยเสียงดังหนักแน่นยิงคำถามใส่ฉีเล่ยทันที เขาคนนี้เฝ้าสังเกตอยู่เป็นเวลานานแล้ว แต่ก็เห็นว่าฉีเล่ยยังคงยืนนิ่งไม่ขยับไปไหนเลย
ฉีเล่ยก้าวตรงเข้าไปหาและยิ้มกล่าวขึ้นว่า
“สวัสดีครับ ผมมาหาคนในบ้านหลังนี้”
“มาหาคนที่นี่?”
บอดี้การ์ดร่างกำยำปั้นหน้าดุใส่ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อคำพูดของฉีเล่ยเลย แววตาที่จับจ้องเปี่ยมล้นไปด้วยความสงสัย
“ไม่ทราบว่ามาหาใครครับ?”
ฉีเล่ยชี้ไปยังคฤหาสน์หลังนี้และกล่าวถามขึ้นว่า
“ไม่ทราบว่าเจ้าของบ้านหลังนี้คือคุณชูรึเปล่า?”
บอดี้การ์ดปั้นสีหน้าเยาะเย้ยขึ้นทันที ก่อนกล่าวสบประมาทตอบไปว่า
“อะไรกัน? บอกว่ามาหาคนที่นี่ไม่ใช่รึไง? กับแค่ชื่อสกุลยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ”
“ผมทราบชื่อสกุลของเธอครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่าเธออาศัยอยู่ที่นี่จริงๆรึเปล่า?”
สีหน้าของบอดี้การ์ดมืดทมิฬลงทันทีและกล่าวว่า
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณเป็นใคร แต่เชิญออกไปด้วยครับ สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่คนอย่างคุณควรมา”
“โอ๊ะ?”
ฉีเล่ยผงะไปชั่วครู่
“เห็นฉันเป็นคนแบบไหนกัน?”
“พูดอะไร? ผมมีหน้าที่เฝ้าคฤหาสน์แห่งนี้ รบกวนอย่ามาสร้างปัญหาครับ ที่แห่งนี้มีบอดี้การ์ดเฝ้ายามอยู่ตลอด24ชม. ทั้งทิศเหนือใต้ออกตก ถ้าคิดจะมาปล้นที่นี่ก็ขอให้หยุดความคิดนั่นซะ”
พอได้ยินแบบนั้น ฉีเล่ยก็เข้าใจได้ทันทีว่า ในสายตาบอดี้การ์ดคนนี้เขามาในฐานะอะไร
ฉีเล่ยถูกมองว่าเป็น‘ขโมย’ไปซะแล้ว
“ผมมาที่นี่เพื่อมาหาเจ้าของบ้านหลังนี้จริงๆ”
“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว สงสัยต้องออกแรงสักทีใช่ไหมถึงจะเข้าใจ? เก้าในสิบที่แจ้งมาว่า มาที่นี่เพื่อหาคนในบ้าน ล้วนมาไม่ดีกันหมด ถ้ายังไม่รีบไสหัวไป ผมต้องใช้ความรุนแรงจริงๆแล้ว”
“เออ เออ ช่างมันเถอะ เดี๋ยวผมค่อยอธิบายทีหลังแล้วกัน”
ฉีเล่ยไม่ให้ความสนใจกับเขาอีกต่อไป และเดินตรงเข้าไปกดกริ่งประตูรั้วมหึมาทันที
“นี่! นี่คุณจะทำอะไร? อย่ากดกริ่งโดยไม่ได้รับอนุญาต!”
บอดี้การ์ดรีบตรงเข้ามาหยุดทันที
“น่ารำคาญ”
ฉีเล่ยสบถออกไปคำหนึ่งและกล่าวเจือน้ำเสียงหงุดหงิดว่า
“ถ้าผมเป็นขโมยจริง มีเหรอจะโผล่หัวออกมาโท่งๆและเดินมากดกริ่งแบบนี้? คิดหน่อยสิ คิดหน่อย!”
“หยุดเดี๋ยวนี้!
บอดี้การ์ดไม่รับฟังใดๆอีกต่อไป และรีบพุ่งออกไปคว้าแขนเสื้อของฉีเล่าเพื่อหยุดไม่ให้เดินไปต่อ
ฉีเล่ยขมวดคิ้วแน่น
“ทำเสื้อผ้าผมยับหมดแล้ว! เพิ่งซื้อมาใหม่วันนี้เองนะ”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์หน้าคฤหาสน์เริ่มเกิดความโกลาหล บอดี้การ์ดอีกสองสามคนที่ยืนเฝ้าอยู่จุดอื่นก็รีบวิ่งเข้ามาเสริมทันที ระหว่างทางยังรีบปลดกระบองจากที่คาดเอวออกมาเตรียมเข้าปะทะ
อ่าหะ…ต้องให้ใช้กำลัง?
จังหวะชุลมุนฉีเล่ยกวาดมือลูบไล้ท่อนแขนของบอดี้การด์คนนั้นทันที พอได้จังหวะก็สกัดจุดให้แขนอีกฝ่ายชาและบิดแขนแนบเข้าแผ่นหลังบอดี้การ์ดคนนั้น
แต่ฉีเล่ยยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น ยกเท้าแตะเข้าไปที่ข้อพับเจาะยางอีกฝ่ายจนทรุดตัวลง พอเห็นบอดี้การ์ดอีกสามคนวิ่งกรูเข้ามา ก็ผลักร่างบอดี้การ์ดคนนั้นล้มใส่ทั้งสามคนจนล้มกลิ้งระเนระนาด
พอเห็นว่าสหายของพวกตนกำลังตกอยู่ในอันตราย กลุ่มบอดี้การ์ดจากลานหน้าบ้านก็กระชับกระบองในมือแน่นวิ่งรุมกันออกมาเพื่อหยุดฉีเล่ย
“หยุด!”
ในขณะนั้นเอง สุ้มเสียงตะโกนลั่นก็ดังขึ้นจากหน้าประตูคฤหาสน์
เสียงตะโกนเป็นของชายแก่คนหนึ่ง อายุประมาณ60ปีเห็นจะได้ หวีผมเรียบแปล้ไปทางด้านหลัง สวมชุดคลุมจีนสีขาว อย่างกับเป็นพวกปรมาจารย์ไทเก๊กในสวนอะไรแบบนั้น
ชายผู้นี้ดูทรงพลังอย่างมาก อาศัยเพียงเสียงตะโกนก็สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของบอดี้การ์ดได้ในชั่วอึดใจ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ชายแก่เหลือบมองมาที่ฉีเล่ยเล็กน้อย ก่อนจะหันไปถามพวกบอดี้การ์ด
“พ่อบ้านฟาง เขาทำตัวลับๆล่อๆอยู่หน้าประตูรั้วนานแล้ว ผมกลัวว่าเขาจะเป็นขโมยน่ะครับ เลยรีบตรงมาหยุด แต่ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะลงมือลงไม้แบบนี้”
บอดี้การ์ดที่โดนฉีเล่ยเตะเล่นงานไปเมื่อครู่ รีบลุกขึ้นปัดเศษดินเศษฝุ่นบนเสื้อผ้าพลางอธิบายให้ชายแก่คนนั้นฟัง
เมื่อได้ยินแบบนั้น พ่อบ้านฟางก็หรี่ตาแคบจับจ้องมาทางฉีเล่ยทันที
“คุณมาทำอะไรที่นี่?”
แววตาของตาแก่คนนี้ทั้งดุดันและอันตรายอย่างยิ่ง เพียงจ้องตากันกลับเสมือนมีคมมีดแหลมมาจ่อคอหอย เพียงปราดตาเดียวฉีเล่ยก็รู้ได้ทันทีว่า อีกฝ่ายเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เช่นกัน
“ผมมาหาเจ้าของบ้านหลังนี้”
“มาหาใคร?”
“ชูซินซู”
“ซินซู?”
พ่อบ้านฟางจับจ้องไปยังฉีเล่ยอีกคราและเอ่ยถามย้ำขึ้นว่า
“คุณเป็นใคร? มาที่นี่ทำไม?”
“โอ้? ชูซินซูอยู่ที่นี่จริงๆเหรอเนี่ย?”
ฉีเล่ยคลี่ยิ้มขึ้นทันใด ทีแรกก็อดกังวลไม่ได้ว่าเขามาผิดที่รึเปล่า และอาจสร้างปัญหาให้คนอื่นโดยไม่ตั้งใจ
“ใช่เธออยู่ที่นี่ แต่คุณเป็นใคร?”
พ่อบ้านฟางเอ่ยถามซ้ำน้ำเสียงเรียบนิ่งไร้ระลอกคลื่นอารมณ์ใด
เผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้ ฉีเล่ยจึงพยายามกล่าวตอบอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ผมชื่อเล่ย แซ่ฉี เรียกผมว่าฉีเล่ยเลยก็ได้ พอดีชูซินซูบอกให้ผมมาหาเธอ ช่วยพาผมเข้าไปได้ไหมครับ?”
“ฉีเล่ย? คุณคือคุณฉีรึเปล่าครับ?”
สีหน้าของพ่อบ้านฟางดูผงะไปชั่วครู่ ทั่วใบหน้าของเขาอัดแน่นไปด้วยความประหลาดใจ
“ใช่ครับ ผมฉีเล่ย ไม่ทราบว่า…”
ฉีเล่ยปั้นสีหน้างุนงงไม่น้อย ไม่เข้าใจเลยสักนิด ทำไมหลังจากพูดชื่อตัวเองออกไปเสร็จ ทัศนคติของชายแก่คนนี้ที่มีต่อเขาถึงได้เปลี่ยนไป ราวกับหน้ามือเป็นหลังเท้าได้ขนาดนี้?
“คุณฉีครับ เชิญเข้ามาก่อนครับ เชิญเข้ามา”
จู่ๆพ่อบ้านฟางก็รีบจับมือฉีเล่ยเดินจูงเข้าคฤหาสน์กันไปสองคนทันที พวกบอดี้การ์ดถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก แต่ก่อนจะเข้าตัวคฤหาสน์ไป พ่อบ้านฟางหันมากล่าวกับพวกนั้นว่า
“พวกนาย วันหลังก็หัดระวังหน่อย เวลามีแขกมาหารีบมาแจ้งฉันก่อน เข้าใจไหม!”
“คะ-ครับ!”
พวกบอดี้การ์ดรีบเอ่ยตอบโดยพร้อมเพรียงทันที
จากนั้นพ่อบ้านฟางก็จูงฉีเล่ยเข้าไปในตัวคฤหาสน์ และกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นราวกับเจอคนดังว่า
“คุณฉี หลังจากที่คุณหนูกลับมา เธอก็เล่าเรื่องที่คุณช่วยชีวิตไว้บนเครื่องบินไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ คุณฉีสามารถรักษาอาการป่วยของคุณหนูได้จริงๆ สำหรับโรคร้ายที่คุณหนูกำลังเผชิญอยู่ สมาชิกตระกูลชูทุกคนต่างพยายามอย่างหนักเพื่อเฟ้นหาแพทย์เลื่องชื่อมากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครสามารถค้นหาต้นเหตุโรคของเธอได้เลย”
“ต้นเหตุ?”
ฉีเล่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“แต่ที่ผมช่วยไปเป็นแค่ระงับอาการกำเริบของเธอเท่านั้น ต่อให้เป็นผมเองถ้าจะให้รักษาต้นเหตุให้หายก็ยังยาก…”
พ่อบ้านฟางกล่าวต่อว่า
“ไม่ ไม่ ไม่เลยครับ ครั้งนี้แตกต่างไปจากทุกครั้งเลย โดยปกติคุณหนูมักจะอาการกำเริบทุกๆสองถึงสามวัน ดังนั้นจึงต้องพกยาพิเศษติดตัวไปตลอด แต่บางครั้งเนื่องจากเป็นธุระด่วน เธอจึงลืมพกมันไป”
“ถึงแบบนั้นนะคุณฉี หลังจากที่คุณระงับอาการกำเริบของคุณหนูบนเครื่องบิน ตั้งแต่นั้นมาในช่วงสองสามวันมานี้ อาการของเธอก็ไม่กำเริบอีกเลย! คุณหนูบอกว่า ทั้งหมดต้องยกให้เป็นความดีความชอบของคุณ!”
“ความดีความชอบของผม?”
ฉีเล่ยตกใจ
“ใช่ครับ ความดีความชอบของคุณเลย! คุณถือเป็นผู้มีพระคุณต่อสกุลชู!”
ฉีเล่ยก็แค่ปฏิบัติตามหน้าที่เท่านั้น แต่ใครจะไปคิดว่า การช่วยเหลือใครสักคนบนเครื่องบิน จะทำให้เขากลายมาเป็นผู้มีพระคุณต่อผู้อื่นไปซะได้